หน้ากากวงการมายา ‘ก๊อต จิรายุ’ ความลับ ความรัก ชีวิตแบ็กดรอป ที่แรก


ให้คะแนน


แชร์

เลือกบทที่ได้ใช้ศักยภาพ เลือกบทที่จะอยู่กับโปรดักชั่น เรารู้สึกได้ปล่อยของ ในฐานะของคนที่ทำงานและทำงานหนัก รู้สึกอยู่ถูกที่

ชีวิตเรามีสองทางเลือก ไม่สู้ก็เลิก เลือกอะไร เลือกทั้งสองอย่างเลยครับ บางนิสัยควรจะเลิก บางนิสัยควรจะสู้เพื่อจะสร้างมันขึ้นมา ไม่รักตัวเองไม่ขวนขวายหาความรู้ต้องเลิก การเห็นเรื่องไร้สาระเป็นเรื่องมีสาระต้องเลิก การเสพสื่อต่างๆ โดยที่พิจารณาแล้วว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรู้ทิ้งไป

โซเชียลมีเดีย ถ้าคัดกรองแล้วที่มีสาระเนี่ยจะมีอยู่ประมาณหนึ่ง ที่ไม่มีสาระก็มหาสาร ดังนั้นถ้าเราทุ่มเวลาทั้งหมดไปกับเรื่องไร้สาระ วันนึงที่เราจะคิดหรือประมวลผลอะไรที่มันต้องใช้สาระ มีแต่ขยะอยู่ในหัว มันเลยเป็นที่มาของไอเดียตีบตัน คิดไม่ออก จริงๆ มันไม่ใช่ตีบตัน แต่เหมือนเราสะสมขยะอยู่ในบ้าน พอวันนึงเราจะหาของกินเราเลยหาไม่เจอ 

‘ปัจเจกชน’ ต้องกล้าที่จะเป็นตัวเอง

ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ผมปล่อยทุกอย่างเต็มที่แต่เป้าหมายที่มันใหญ่ระยะทางมันมีมันมีทั้งเป้าหมายภายในและภายนอก ชีวิตไม่ได้มีข้างนอกอย่างเดียวให้จัดการมีข้างในด้วย แต่การจะพูดเรื่องของข้างในต้องมีสภาวะข้างในใกล้ๆ กันถึงจะคุยกันรู้เรื่อง ทีนี้เวลาผมให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ ไม่ได้สนใจเรื่องของภายในให้ความสำคัญกับภายนอก เราก็เลยต้องคัดกรองคำพูด บางทีก็บอกปัดไปบ้าง เพราะคำตอบของเราเค้าอาจจะไปไม่ถึง

ถ้าเลือกได้เราอยากมีชื่อเสียงในทางที่สร้างสรรค์ ความสร้างสรรค์ในที่นี้คือการเป็นปัจเจกชนการกล้าที่จะเป็นตัวเอง

Thairath Talk : ต่อสู้กับปัญหา

มันไม่ใช่ปัญหานะ ผมไม่ต้องต่อสู้นะ ผมแค่เข้าใจสะเดามันขม อ้อยมันหวาน ต้องเข้าใจธรรมชาติ แต่ละคนเติบโตมาได้วัตถุดิบต่างกัน เขาไม่ได้ผิดที่เขาไม่ชอบในความเป็นตัวเองของผมในขณะเดียวกันผมก็ไม่ผิดที่ผมจะเป็นตัวเองในแบบนี้ พอเราเข้าใจเราจะอยู่ร่วมพื้นดินกันได้โดยที่ไม่รังเกียจกัน 

ชีวิตวัยเด็ก ที่ไม่สนเรื่องความรวย-จน

จริงอยู่ฝูงคนอาจะเป็นกลุ่มคนที่เดินตามกัน แต่ปัจเจกคนก็เดินตามปัจเจกคนคนอื่นนะ

Thairath Talk : คุณถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน ชีวิตส่วนตัวคือ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของคุณ

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมถูกตั้งคำถามมาว่าจะแต่งงานเมื่อไหร่ รักกับแฟนยังไง คิดยังไงกับวงการซึ่งมันเป็นคำถามที่เป็นแพทเทิร์น ที่ไม่อยากตอบด้วย แต่บางทีเราเข้าใจ ให้เกียรติเขา ถ้าบางทีเราให้คอนเทนต์เขาได้ควรจะให้ แต่เราพยายามที่เป็นตัวเองให้ถึงที่สุดครับ

ผมถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวใหญ่ ญาติเป็นสิบคน ผมมีลูกพี่ลูกน้องสองคนมาอยู่ในผ้าห่มเดียวกัน ยายผมไปขอผ้ามาจากร้านตัดผ้าแล้วมาปะให้เป็นผืนใหญ่และหลานสี่คนก็นอนด้วยกัน ส่วนลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงอีกสองคนก็แยกอีกห้องไป

เราไม่ได้ร่ำรวยมาก เรียกว่าเกือบจนยังได้เลย อยู่ในครอบครัวใหญ่ ตอนเด็กเราไม่สนใจเรื่องความรวยความจน เราสนใจแค่ว่าเราสนุกยังไง เราอยู่ยังไง เรากินยังไง ครอบครัวใหญ่มันทำให้เราเห็นคุณค่าความเป็นครอบครัว มันทำให้รู้สึกว่าผมกับน้องชายเนี่ยนอนคว่ำหน้าผลัดกันเกา ผมก็ชอบให้เกา ผลัดกันเกาหลัง ส่วนอีกสองคน ก็นอนห่างๆ เพราะอีกคนนึงกรน เป็นความสุขอย่างหนึ่ง

Thairath Talk : คุณได้เรียนรู้อะไรกับการที่ได้เติบโตมาในครอบครัวที่มีคนเยอะ 

ข้อดีคืออบอุ่น ผมโชคดีที่โตในยุคนั้น ไม่ใช่โซเชียลมาพรากจินตนาการของผมไป ผมยังสามารถเล่นลูกแก้ว เล่นแปะแข็ง ซ่อนแอบ วิ่งไช่จับ จุดประทัดลอยกระทง ซึ่งมันไม่ดี

ข้อเสียที่อยู่ในครอบครัวแออัดมีมั้ยเหรอ ผมว่ามันเป็นข้อดีนะ อย่างปลาตัวหนึ่งเนี่ยแม่จะสอนว่ากินต้องดูคนอื่นด้วย ว่าเพื่อนได้กินหรือยัง ญาติๆ เนี่ยได้กินกันหมดหรือยัง พี่ตั้งสี่คนมีน้องอีกสองคน คิดต้องคิดด้วย แต่ฟังจบก็กินหมดเลย

Thairath Talk : ชีวิตเดินทางมาเป็น ก๊อต ปัจจุบัน ได้อย่างไร 

รู้สึกเมื่อตัวเองจน เมื่อตอนที่ทำงานแล้วไม่บริหารเงิน ทำงานได้เยอะแล้วไม่เหลือเงินสักบาท เลยเกิดการตั้งคำถามกับตัวเองว่าฉันมีอะไรผิดปกติหรือเปล่าหนอ เขาหาเงินได้น้อยกว่าเราเขามีกินมีอยู่แบบไม่ปวดหัวและไม่เครียด แต่ในขณะผมได้เงินมากกว่าเขาหนี้สินเพียบพะรุงพะรังเลย สุดท้ายเนี่ยทุกคนบริหารเงินหมด แต่ผลลัพธ์ของการบริหารเงินเนี่ยมันมีบริหารแล้วมีเหลือ บริหารแล้วมีหนี้ บริหารแล้วมีพอดีๆ ผมสลับเป็นหนี้กับพอดีๆ ตลอดชีวิต

Thairath Talk : คุณแปลกแยกไหม เวลาเรามีความคิดแบบนี้ กับสังคมคนรอบข้าง

แปลกแยกครับ (ชอบแยกตัวไปอยู่คนเดียวไหม) ใช่ครับ ถ้าอยู่ร่วมกับคนที่คิดใกล้ๆ กันไม่ได้อยู่คนเดียวดีกว่า เพราะว่าวันที่เราต้องการจะสร้างตัวเองเนี่ย บางทีความคิดด้านลบของคนที่ไม่คุ้นชินกับการคิดบวกมันบั่นทอน เพราะฉะนั้นเราต้องสร้างและสะสมศิลปะในการอดทน และเราต้องเข้าใจว่าที่เค้าคิดลบและคิดด้านบวกไม่ได้ มันมีสาเหตุซึ่งเราเข้าใจและเพราะอะไร

Thairath Talk : ที่อยากเป็นดาราเพราะ?

ผมอยากเป็นนักแสดงนี่เป็นทัศนคติที่ทำให้ผมไม่ดังก่อนหน้านี้ในประเทศไทย เพราะว่าผมไม่สนใจเรื่องอีเวนต์อะไรเลย ผมแสดงอย่างเดียว จนวันนึง ตอนนั้นเล่นชาติพยัคฆ์ กับพี่นกแล้วผมรู้สึกแล้วว่า มันน่าจะมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติไป เราปฏิเสธสิ่งที่มาคู่กันไม่ได้ ก็เลยค่อยๆ ปรับตัว ค่อยๆ เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตบ้าง

พอมีงานก็ต้องออกงาน ใช่ สมัยก่อนปฏิเสธเลยหรอ ไม่ออกงานเลย ไม่ชอบ เพราะอะไร มันไม่ใช่ตัวเราหรอ ผมรู้สึกว่าผมชอบการแสดง ชอบกระบวนการทำงาน แล้วนั่นเป็นเรื่องของผมที่ผมต้องใส่ใจนอกเหนือกว่านั้น ผมไม่สนใจ แต่ปัจจุบันนี้ผมเปลี่ยนมุมคิดใหม่ การที่ผมได้ไปออกอีเวนต์หรือการที่ผมได้ไปเจอคน มันก็เป็นการะพบปะกับคนที่ได้เสพงานของเรา แล้วมันจะมีข้อเสียตรงไหน พอมันโตขึ้นจะคิดกว้างและลึกลง แต่ตอนเป็นเด็กเนี่ย เอาตัวเองเป็นหลักก็กูอยากทำแค่นี้

Thairath Talk :เริ่มรู้สึกว่าตัวเราต้องเปลี่ยนตอนอายุเท่าไหร่
เปลี่ยนตอน อายุ 25

ช่วงอายุ 19-24 คิดตามผู้หลักผู้ใหญ่แต่ไม่ได้วิเคราะห์ตามผู้ใหญ่ ไม่รู้จะสังเคราะห์ที่ไหน เพราะไม่มีความรู้ไปสังเคราะห์ไม่มีประสบการณ์ ใช้ชีวิตวนอยู่ในอ่าง ไปเที่ยวไปนู่นนี่กับเพื่อนมีแต่ความไร้สาระ สะสมแต่ความไร้สาระมา จนอายุ 25 มีคนบอกเบญจเพส ผมแอนตี้เรื่องนี้มาก ผมไม่สนใจผมบอกกว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีของไอ ผมไม่สนว่าใครจะบอกว่าเบญจเพส ใครจะเชื่อก็เชื่อไป ผมไม่เชื่อ (อย่ามาสะกดจิตฉัน) สะกดจิตไม่ได้อยู่แล้ว เพราะผมเชื่อว่าคนเหมือนเวฟที่มีขึ้นมีลง

จะมีใครบอกได้ว่าวันนี้น้ำนิ่ง จะมีใครบอกได้บ้างว่าพรุ่งน้ีคลื่นจะสูง แล้วใครจะมาแม่นยำว่า 25 เบญจเพสอะไม่เชื่อ

Thairath Talk : คนในวงการต้องการคนที่มีวิธีคิดแบบนี้ 

ผมว่าน่าจะเป็นส้มที่ค่อยๆ ออกผล ผมปลูกมา 5 ปีและวันนี้มันค่อยๆ ออกผลแล้ว ที่ถูกจุด ถ้า 5 ปีที่แล้วผมหว่านเมล็ดบนพื้นปูนจะไม่มีอะไรงอกมาเลย

Thairath Talk : คุณเชื่อในพรสวรรค์หรือพรแสวงมากกว่ากัน 

ผมเชื่อทั้งสองอย่าง พรสวรรค์คืออะไร คือการที่มนุษย์ใช้ความสามารถและศักยภาพของตัวเองได้ พรแสวงคือ เอาความสามารถที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพาตัวเองไปสู่จุดที่ตัวเองตั้งใจจะเป็น เรารู้ว่าความ Success จะกระจายไปสู่พ่อแม่เครือญาติสหายเราจะรู้ว่า เราจะรู้ว่าขนาดความสำเร็จเราแผ่ขยายขึ้น

ชีวิตเคยหลงระเริง ‘ตัวกูของกู’

มันมีอยู่แล้วครับ ผมใช้คำว่าอีโก้ระหว่างวันบางทีเราเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เราก็จะเฮ้ยทำไมทำแบบนี้วะ มันควรจะทำแบบนี้หนึ่งสองสามสี่นู่นนี่นั่นแต่พอเรากลับมาดูตัวเองเราจะรู้ว่าอีโก้ไม่ได้ช่วยอะไร มีแต่ทำให้เจ๊งลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ

(เคยเกิดขึ้น?) ทุกคนมีครับ บางครั้งมันแก้ไขได้ไวบางครั้งใช้เวลาอยู่เป็นวัน บางครั้งใช้เวลาเป็นอาทิตย์ บางครั้งใช้เวลาเป็นเดือน ตราบใดที่เรายังมีชื่อเสียงเรียงนาม เรามีอัตราตัวตนแน่นอน เรามีฉัน เรามีกู เรามีของกู ถ้าเราบอกเราไม่มีอีโก้ก็คงเป็นการตลบตะแลงจนเกินไป

ผลลัพธ์การแสดง

Thairath Talk : มาสเตอร์พีซสุดๆ ของเรา

ผมให้เรื่องที่ผมทำงาน เป็นเรื่องที่สนุกและเอนจอยที่สุด ก็คือภาพยนตร์ที่กำลังจะออกคือคืนยุติธรรม จริงๆ ผมอยากพูดมากกว่านี้ แต่พูดเยอะไม่ได้ จำกัดมามีซีเคร็ทซ่อนอยู่ การทำงานเรื่องนี้ซับซ้อนกว่าทุกเรื่อง ผมสร้างแบล็กสตอรี่ของตัวละครนี้ไม่เหมือนกับบทที่เขาให้มา แล้วตรงข้ามกับไดเร็กเตอร์ คุณตีความใหม่ ตีความเพื่อให้ตัวเองเล่นได้

Thairath Talk : คืนยุติธรรม ตัวละครคล้ายโจ๊กเกอร์?

เราทำก่อนโจ๊กเกอร์นะ ซึ่งอาจจะมีความคล้ายในเรื่องของตัวละครที่ถูกแรงกดดัน จากหลายหน่วยมีความคล้ายกันตรงนั้น สิ่งที่ผมนำมาเป็นวัตถุดิบของละครตัวนั้นก็คือ เขาเคยเป็นผู้กระทำแล้ววันนึงเขาทิ้งคาแรกเตอร์นั้นไปใช้ชีวิตธรรมดา แล้ววันนึง เขาไปมีชีวิตธรรมดา เขาถูกกระทำ เขาไม่ได้เสียใจที่เขาถูกกระทำ แต่เขาเสียใจที่ทำไมเขาถึงทิ้งคาแรกเตอร์นั้นไป มันมีความเสียใจที่ลึกลงไปกว่านั้นอีก บทมันซ้ำซ้อน การตีความชั้นเดียวทำให้เวลาการแสดงไม่ฟินกับมัน

Thairath Talk : วิธีการเข้าถึงตัวละคร 

เห็นภาพกว้างก่อน เหมือนกูเกิลแมพ และกับมาจุดตัวเองเพื่อที่จะดำเนินไปมันเป็นการทำงานแบบนั้น ถ้าเราไม่มองภาพกว้างเราจะขาดซึ่งรายละเอียด หนึ่งในนิสัยที่ทำให้ผมมีวันนี้ได้คือนิสัยทำงานเกินเงินเดือน ทำการบ้านซะพันนึง เล่นให้พอดีกับบทที่ได้ เบื้องหลังที่ไม่มีคนเห็นก็ซ้อมๆ ตอนผมเล่นคมแฝก ผมหิ้วคมแฝกไปฟิตเนสทุกวัน หลังจากกออกกำลังกายเสร็จผมซ้อมคมแฝก ยังไงถ้าผมซ้อมตีเกินหมื่นทียังไงอยู่ในกล้องมันน่าจะสวย การซ้อมจะทำให้เราไปกองด้วยความมั่นใจ

Thairath Talk : เล่นกับมันใช้เวลานานมั้ยกว่าจะหลุดจากตัวละครนี้

มันจะมีกระบวนการทางความคิดที่บอกว่านี้ไม่ใช่เรา เวลาสร้างตัวละคร เราต้องหาตัวเองให้เจอว่าฉันคือใคร ฉันกินยังไง ฉันอยู่ยังไง ฉันจัดการยังไงกับเรื่องนี้ พอเราเห็นตัวละครชัดเราจะรู้เลยว่า มึงกินต่างจากกูยังไง มึงแต่งตัวยังไง นอต่างยัง กิจวัตรที่ต่างกับก๊อต จิรายุยังไงเมื่อเราเห็นว่าเขาไม่ใช่เรา เราก็รู้ความต่าง เราต้องหาอะไรโพรเทคเราด้วยไม่งั้นเราจะกลืนเข้าไปกับสิ่งเหล่านี้ เล่นเสร็จต้องปล่อยเลยประโยชน์จากการถือไว้คืออะไร บางคนถือว่าเพราะต้องการการสรรเสริญจากคนที่เข้าใจน้อยนิด

Thairath Talk : เล่นบทชั่วอย่าคิดมันชั่ว?

คิดแบบนี้เพื่อไม่ตัดสินตัวละครไวเกินไป เราต้องไม่ตีความว่าตัวละครนี้ทำเรื่องที่ชั่ว ทุกคนคิดว่าฉันทำสิ่งที่ดีต่อตัวเอง มันถูกต้อง ต้องทำอย่างนี้ แล้วแต่คนมองว่าจะมองยังไง

ปัจจุบัน ความสุขอยู่ที่

Thairath Talk : วิธีการพ้นทุกข์ 

การกลับมาอยู่ที่ตัวเองและมองความอยากของตัวเอง มองเห็นความทุกข์ตัวเองด้วยแล้วเราก็จะเห็นสาเหตุของการทุกข์อยากจะให้มันดีอยากจะให้มันพ้นจากสถานการณ์นี้ 

Thairath Talk ความสุขของคุณอยู่ที่ไหน

ความสุขของผมกลับบ้านไปกินข้าวกับแม่ นั่งดูหนังกับพ่อ เห็นแม่หัวเราะตาหยี ผมอายุ 31 ยังนอนตักพ่อได้ ยังกอดแม่ได้ ปั่นจักรยานกับเขาได้ ผมยังเอนจอยกับเขาได้ ผมอาจจะมีความกังวลบ้างในเรื่องทรัพย์สินในอนาคตที่จะเกิดขึ้น แต่ผมจะไม่ให้ความกังวลนั้นอยู่นานผมจะเห็นว่าผมกังวลเรื่องอะไร เมื่อไหร่ที่ผมกังวลแสดงว่าผมมองโลกแคบ เมื่อไหร่ที่ผมมองโลกกว้างผมจะเห็นโอกาสเยอะมาก เราต้องฝึกมองแบบนี้ เพราะโอกาสไม่มีเพราะเราคับแคบทางจิตใจ

 

ผู้เขียน :  Jun Talk

กราฟิก : Sathit Chuephanngam

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/1853886
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/1853886