ควักหัวใจ “อั๋น ภูวนาท” วิพากษ์การเมือง เอาด้วยกับม็อบนศ. แต่อย่าล้มสถาบันฯ


ให้คะแนน


แชร์

“อั๋น ภูวนาท” ซัดรัฐบาล ต้องฟังนักศึกษา อย่าคิดว่าเป็นเด็กเมื่อวานซืนไร้สาระ เชื่อเยาวชนคิดเองไม่มีใครบงการ เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของม็อบปลดแอก แต่จะต้องไม่ล้มสถาบัน

กลายเป็นเรื่องร้อนแรงขึ้นทุกวันกับการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษาที่ออกมาไล่รัฐบาล เรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ และที่ทำเอาถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วประเทศเห็นจะเป็นการชุมนุมที่เวทีธรรมศาสตร์รังสิต ที่ประกาศข้อเรียกร้อง 10 ข้อ และมีการล้อเลียนจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ จุดชนวนให้ถูกตราหน้าว่าเป็นม็อบล้มสถาบัน เรื่องนี้ส่งผลกระทบไปทุกวงการ ในวงการบันเทิงก็มีดาราหลายคนออกมาแสดงความเห็น “เอ็มมี่ เดอะบอตทอมบลูส์” ออกไปชุมนุมกับนักศึกษา , “มะปราง อลิสา ขุนแขวง” โพสต์ข้อความ ยิ่งโต ยิ่งตาสว่าง.เสียดายชีวิตวัยเด็กที่ท่องจำอะไรไม่รู้ โคตรไร้สาร ล่าสุด “ม้า อรนภา กฤษฎี” โดนไปเต็มๆ หลังโพสต์ข้อความ “นอนแหก…อยู่บ้านไป ไม่ต้องมาเรียน เด็กเ_รต” เป็นเหตุให้กลุ่มนักศึกษาไม่พอใจ ออกมาใช้โซเชียลมีเดียถล่ม จนตอนนี้ม้าต้องกระเด็นจากการเป็นพิธีกร รายการ 3 แซ่บ และ ข่าวใส่ไข่ 

คนอื่นแค่โพสต์ เฉียดไปเฉียดมา ไม่กล้าออกมาเปิดหน้าพูดกันตรงๆ แต่สำหรับ “อั๋น ภูวนาท คุนผลิน” ดารานักร้องพิธีกร เมื่อถูกสอบถามถึงเรื่องดังกล่าว อั๋นเปิดใจให้ความเห็นแบบตรงไปตรงมา ถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นว่า ต้องหันมาฟังความเห็นนักศึกษา ฟังสิ่งที่เขาพูด โดยปราศจากคำว่า ม็อบหน่อมแน๊ม ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ซึ่งอั๋นก็เห็นด้วยกับบางสิ่งที่ม็อบนักศึกษาเรียกร้อง แต่อย่าล้มสถาบันฯ 

“เรื่องที่น้องๆ ออกมากัน เอาเป็นว่าผมเข้าใจว่า ทำไมน้องๆ ถึงออกมา แล้วถ้าเราๆ ท่านๆ เปิดใจกันพอสมควร ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตามนะครับ เราก็น่าจะเข้าใจได้ว่า ทำไมเขาถึงออกมา ผมสนับสนุนให้เกิดความคิดต่างครับ และชื่นชมคนที่คิดต่างอย่างสร้างสรรค์และสุภาพของปัญญาชนเสมอ ผมไม่ได้บอกว่าผมเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็แล้วกันนะครับ มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก และมันมีรายละเอียดมากมายเต็มไปหมด และบางครั้งสิ่งที่คนออกมาโจมตี อาจจะเป็นความคิดเห็นของคนบางคนเท่านั้นเองนะ ซึ่งอาจจะเป็นน้องนิสิต นักศึกษา นักเรียนหนึ่งคนที่พูดเรื่องตัดผม เรื่องอะไรที่มันเป็นประเด็นย่อยๆ ถามว่ามันมีเรื่องไร้สาระอยู่ในนั้นมั้ย ผมว่ามันก็ไม่เชิงไร้สาระหรอกครับ มันอาจจะไร้สาระของคุณ แต่มันอาจจะเป็นสาระของเขาก็ได้”

“ถ้าเขาเสนออย่างสร้างสรรค์ด้วยความตั้งใจจริง อย่างเรื่องให้นักเรียนตัดผมสั้น โดยที่ไม่เห็นมีความจำเป็นทั้งๆ ที่ผมเป็นเด็กดีและผมเป็นเด็กเรียนดีมาตลอด แต่ผมอยากไว้ผมยาว ไม่ใช่ว่าจะไว้ลากยาวนะ แต่ผมรู้สึกว่ายาวกว่านี้ ซึ่งถ้าคุณอธิบายมันก็เข้าใจได้นะ แต่ไม่ใช่บังคับแล้วสั่ง หรือบอกว่าเด็กเมื่อวานซืนไร้สาระ แค่ปฏิบัติตามกฎระเบียบแค่นี้ทำไม่ได้หรือไง ผู้หลักผู้ใหญ่เขาก็ทำมาก่อน รุ่นพ่อรุ่นแม่เขายังทำกันได้ทำไมรุ่นนี้จะทำไม่ได้ เด็กสมัยนี้เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ คือเริ่มต้นคุณก็ด่าเขาแล้ว ผมรู้สึกว่าถ้าเริ่มต้นแบบนี้มันผิด ผมแค่ไม่ได้เติบโตมาในครอบครัวแบบนั้น ผมก็เลยเห็นต่าง ผมสามารถคิดต่างจากพ่อจากแม่ได้จริงๆ และเขารับฟัง เพราะเขาสอนผมมาแบบนั้น”
 
“และผมว่าจริงๆ นี่คือพื้นฐานสำคัญเลย ที่บางทีเราควรจะมองย้อนกลับไปว่าระบบการศึกษาในประเทศไทยที่พัฒนาไม่ได้สักที อาจจะเพราะมีผู้ใหญ่ที่ยังคิดแบบนี้อยู่ คำว่าอาบน้ำร้อนมาก่อนมันก็จริง แต่ไม่เสมอไป คำว่าสัมมาคารวะเป็นสิ่งสำคัญจริง แต่ไม่ใช่ว่าเราเถียงผู้ใหญ่ไม่ได้ ถ้าเราคิดต่างอย่างมีเหตุผล ผมว่ามันคนละเรื่องกัน แล้วถ้าผู้ใหญ่ออกมาเปิดกว้างพูดว่า ควรรับฟังความคิดเห็นของเด็ก แต่พูดๆ ไปสักพักนึงก็จะเริ่มปลิ้นออกมาถึงทัศนคติบางอย่าง ที่มีคำว่าเด็กเมื่อวานซืน เด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม หรือมั่นใจอยู่ตลอดเวลาว่าเขาถูกจัดจ้าง มีคนอยู่เบื้องหลัง อาจจะมีก็ได้ ไม่รู้ hidden agenda (วาระซ่อนเร้น) ก็ได้ ก็ไม่รู้ คนที่พูดแบบนี้ก็อาจจะมีก็ได้ในทางกลับกัน หนักซะกว่าด้วยซ้ำ เพราะคุณมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือเปล่า มันคิดได้ร้อยแปดเลย”
 
“แต่เยาวชนที่ผมสัมผัสเองคิดได้เอง แล้วก็ไม่เห็นมีใครบงการเขาสักเท่าไหร่ ผมรู้สึกแบบนั้นนะ หรือแม้แต่ผมนั่งฟังที่เขาว่าเอาเครื่องเสียงมาจากไหน เอาเวทีมาจากไหน นี่กี่แสน โธ่เอ๊ย..ง่ายจะตาย คุณคิดว่าเด็กสมัยนี้หาเงินแสนไม่ได้เหรอ มันหากันไม่ได้ยากเลย แต่ผู้ใหญ่อาจจะไม่เข้าใจว่าเขาสามารถหาได้หรือทำมาหากินกันตั้งแต่เด็กแล้ว ซื้อรองเท้ามาเทรดกันเขาก็ได้เป็นแสนกันแล้ว มันมีวิธีการเยอะแยะที่ผมรู้สึกว่าผู้ใหญ่ไปยึดติดอยู่กับเรื่องนี้ แล้วยิ่งจะทำให้เด็กรู้สึกว่าผู้ใหญ่นี่ล้าหลังมากเลย หรือในยุคนี้ที่ไม่มีใครจัดอีเว้นท์และไม่มีใครจัดคอนเสิร์ตนะ ถ้าเขาเห็นด้วย เห็นพ้องต้องกัน สมมติผมบอกว่าผมจะออกไปต่อต้านยาเสพติด แต่ผมไม่มีเครื่องเสียงและเวที ช่วยผมหน่อยได้มั้ย ผมได้ฟรีทันทีเลยนะครับวันนี้เชื่อมั้ย ไม่ต้องเป็นภูวนาท คุนผลินก็ได้ เป็นแค่เด็กก็ได้ เพราะหนึ่งคือมีคนชื่นชมความตั้งใจและเจตนาที่ดี สองเครื่องเสียง เวที ไฟ ว่าง ไม่มีงาน ไม่มีอีเว้นท์ เอาไปใช้เลย มันหาง่ายมาก”
 
“ผมว่าหลายๆ ประเด็นที่พยายามโจมตีกันไปมามันกลายเป็นบิดเบือนไปซะหมด ถ้าถามผมว่าแก่นสำคัญคือฟังกัน ฟังเขาพูดก่อนโดยที่ไม่ต้องทะเลาะกันและไม่ต้องครอบเขาว่ามันผิด มันไม่มีอะไรหรอกที่ผิดเสมอ ผมว่าเมื่อเขาถามแล้วเราตอบไม่ได้ เราควรตกใจตัวเองมากกว่า ว่าทำไมเราตอบคำถามเขาไม่ได้ในหลายๆ คำถาม และประเทศไทยไม่ควรอยู่ในภาวะที่มีเรื่องที่เราไม่กล้าพูดอีกต่อไป ถ้าเราพูดความจริงอย่างสุภาพ ทุกเรื่องควรต้องคุยกันได้ทั้งหมด” การปราศรัยที่เวทีธรรมศาสตร์รังสิตของเหล่านักศึกษา ที่มีการเรียกร้อง 10 ข้อ และล้อเลียนจาบจ้วงพระมหากษัตริย์ เรื่องนี้ “อั๋น” บอกว่า ไม่ได้เห็นด้วยกับทุกอย่าง เพราะเวลาอยู่บนเวทีมันเต็มไปด้วยความคึกคะนอง
“ผมว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนนะครับ และหลายคนพยายามหลบเลี่ยงที่จะพูดถึง แต่ผมคิดว่าทุกอย่างในโลกต้องมีการปรับตัวทั้งหมด ผมเคารพอย่างไม่มีข้อสงสัยและพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า อยากให้มีสถาบันพระมหากษัตริย์ ในบ้านผมมีติดรูปหมด นี่รูปส่วนพระองค์หมดเลยนะ แต่ก็มีหลายๆ เรื่องที่เราน่าจะคุยกันได้มากกว่านี้ แต่ยังคงความเคารพไว้ได้ ผมว่ามันต้องมีการปรับเปลี่ยนอย่างเหมาะสมเลยล่ะ” “ผมว่าบางทีมันมีความคะนองปาก มันเต็มไปด้วยความคึกคะนอง ของมันขึ้น ผมว่าเป็นไปได้ แต่ผมไม่ได้บอกว่าเหมาะสมหรือมาแก้ตัวแทนเขานะครับ ผมว่าอะไรที่มันเกิดจากความคึกคะนองหรือของขึ้น ไม่ว่าจะพูดกับใครก็ตามถ้ามันเกินเลย เกินกว่าเหตุหรือว่าเราเลือกคำที่ไม่เหมาะสมเราก็ควรต้องขอโทษกันอยู่แล้ว แต่ถ้าเราพูดกันถึงแก่นในหลายๆ เรื่องผมเห็นด้วยนะ”  

เห็นด้วยกับการแก้กฎหมาย
“อันนั้นเห็นด้วย 100% ต้องแก้ ที่สุดของความชัดเจน ผมว่าคนลงประชามติให้รัฐธรรมนูญผ่านหรืออะไรต่างๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้อ่านหรอก ส่วนใหญ่ก็ฟังเขามา ฟังคนนั้นคนนี้วิเคราะห์ มีใครอ่านรัฐธรรมนูญทั้งเล่มบ้าง ไม่มี ก็เลือกๆ กันไปด้วยความเชื่อมั่น หรือความชอบส่วนตัวแล้วคิดว่าคนนี้คงไว้ใจได้ primary vote (ระบบการคัดเลือกผู้สมัครขั้นต้น) ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง ถ้าดูระบบแค่พื้นๆ ก็เห็นแล้ว แค่ส.ว.250 คนก็ผิดปกติแล้วในทุกเหตุผล มันไม่ได้เป็นรัฐธรรมนูญที่สามารถใช้ให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้” นอกจากจะมีข้อเรียกร้องเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ และข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว สิ่งที่เห็นตอนนี้มันเลยเถิดไปจนถึงเรื่องที่ นักเรียนนักศึกษาโพสต์เรียกร้อง ขอเลิกเรียนก่อน 4 โมง ขอทำงานสัปดาห์ละ 4 วัน ขอเงินเดือน 50,000 บาทขึ้นไป ขอให้รัฐบาลช่วยผ่อนรถ จนถูกขนานนามว่าเป็นม็อบหน่อมแน๊ม
“ไอ้พวกประเด็นย่อยๆ แบบนี้ผมไม่ได้คิดว่ามันเป็นมติรวมของคนที่ออกไป คนที่ออกไปรวมตัวกันไม่ได้ออกไปเพราะเรื่องนี้ ผมถึงพูดว่าแก่นไง ผมว่าตรงนี้มันไม่ใช่แก่น แต่มีคนเอาเรื่องแบบนี้มาตีฟู เพื่อทำให้เบี่ยงเบนประเด็น และทำให้มองว่า ม๊อบหน่อมแน๊ม หรือม๊อบไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี้มันช่างไร้สาระหรือปัญญาอ่อนเหลือเกิน เขาก็มีสิทธิพูดได้ครับ ผู้ใหญ่ที่พูดจางี่เง่าๆ ก็มีเยอะแยะ ผมว่าก็คงเหมือนกัน ในสภาฯ ทุกวันนี้ก็ยังมีคนพูดจางี่เง่าอยู่เยอะแยะ แต่ว่าดูที่แก่นมันดีกว่าว่าโดยรวมเขาออกมาเรื่องอะไร ถ้าเขาชูเรื่องนี้เป็นประเด็นตั้งแต่แรกว่านี่คือหัวใจหลัก มันไม่มีวันนี้หรอก” “ถามว่ามันจะจุดระเบิดไปใหญ่ขึ้นมั้ย ไม่รู้ ไม่อยากเดาและไม่ได้อยากให้มีนะ เหนื่อย ถ้าโดยส่วนตัวผมอยากให้ทุกอย่างเป็นระบบ ระเบียบ อยากให้ทุกคนสู้กันตามทำนองครองธรรม ตามกฎหมาย แต่กติกาต้องดีก่อน ทุกอย่างที่พูดคือสิ่งที่เราคิดอย่างจริงใจ อย่างสุภาพ โดยใช้ปัญญาที่เราคิดว่าเรามี และเปิดใจกว้างในการอ่านและฟังคนที่พูดมาหลากหลายมาก ผมชอบมากเลยนะที่จะพุ่งเข้าไปหาคนที่คิดต่าง เพื่อที่จะคุยกับเขาว่าทำไมล่ะ อธิบายผมหน่อยสิ ผมอยากรู้ เผื่อผมจะเข้าใจได้มากขึ้นว่าคุณคิดอะไรหรือเหตุผลคืออะไร ผมอยากเข้าใจจริงๆ แต่ถ้ามันเป็นความคิดเห็น ผมไม่ต้องการเท่าไหร่ ผมต้องการข้อเท็จจริง แต่ข้อเท็จจริงที่มาพร้อมความคิดเห็นผมยังโอเค แต่ถ้าเต็มไปด้วยความคิดเห็น ไม่จำเป็น เสียเวลา ถ้าขึ้นต้นมาว่าชอบกับเชื่อนี่ไม่ต้องคุยต่อแล้ว ไม่ต้องย้อนไปอดีต ผมไม่ได้บอกว่าชอบใครด้วยนะ ผมเอาแค่ปัจจุบัน สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า”

“รัฐธรรมนูญนี้ไม่ว่าใครจะเป็นคนทำ ด้วยเจตนาของใคร ไม่ดีเสมอในความคิดผม ไม่ได้เกี่ยวกับว่าคนร่างคือสถาบันฯ ใด คือทหาร คือตำรวจ คือประชาชน คือพ่อค้า ผมไม่สน แต่มันออกมาเป็นอันนี้มันไม่ได้ ผมไม่ได้มีปัญหากับบุคคลใดเลย ทุกคนเลยนะ ถ้าทำดีก็คือทำดี ถ้าทำไม่ดีก็คือทำไม่ดี เอาเป็นว่าไม่ต้องไปฟื้นฝอยหาตะเข็บ เอาแค่วันนี้จะเดินไปยังไงด้วยกติกาแบบนี้” 

แม้แต่ในครอบครัวของ “อั๋น” เองก็มีความแตกต่างด้านการเมืองและความเห็น
“ด้วยความที่ครอบครัวผมเป็นครอบครัวที่คุยกันและฟังกัน เราไม่เคยถามกันเลยด้วยซ้ำว่าที่ผ่านมาคุณ vote yes หรือ vote no คุณโหวตให้กับใครหรือพรรคไหน แต่ผมมั่นใจว่า คงไม่ได้เลือกเหมือนผมหรอก แต่เราไม่เคยทะเลาะกันเลย และฟังความแตกต่างอย่างเข้าใจ และผมก็พูดแบบที่ผมพูดแบบนี้แหละว่า ถ้าผมเห็นแบบนี้ เพราะผมพูดแบบนี้ เพราะผมได้ยินมาแบบนี้ (แสดงว่าในครอบครัวมีความเห็นต่าง) มี แต่ไม่เคยทะเลาะกันเลยนะ เรามานั่งคุยกันเลย ทำไมชอบคนนี้ ผมมีหนังสือเล่มนี้ลองอ่านดูมั้ย ผมมีคลิปนี้ลองดูมั้ย แล้วถ้าเกิดคลิปไหนผมเกิดความสงสัยผมจะไปย้อนดูคลิปเต็ม ไม่เอาไอ้ที่มันตัดต่อนะ แล้วพอย้อนไปดูคลิปเต็มผมเข้าใจทุกทีเลย แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้มีใครถูกไปหมดหรือผิดไปหมดนะ ผมเข้าใจความเป็นไปของโลกนะครับ แต่ขอแค่ชอบธรรมพอสมควรก็แล้วกัน อย่างที่บอกว่า ผมไม่ได้เห็นด้วยกับทุกอย่างของน้องๆ ที่ออกมา ซึ่งจริงๆ อาจจะไม่ใช่แค่น้องๆ หรอก ผมคิดว่าถ้าเราจะใช้คำว่าคนรุ่นใหม่มันไม่เกี่ยวกับอายุ”  ไม่เห็นด้วยกับการล้มสถาบันฯ
“ผมคิดว่ามันมีคนที่ฮาร์ดคอร์กับเรื่องของการล้มสถาบันฯ ล้มคือให้ไม่มีนะ ผมไม่รู้สึกว่าดีกว่ายังไง ผมยังหาเหตุผลนั้นไม่ได้ว่าดีกว่ายังไง ผมไม่สามารถมั่นใจได้ว่าเมื่อไม่มีสถาบันฯ แล้วประเทศจะดีกว่านี้ ผมจึงไม่สนับสนุน สมมติบอกเป็นประธานาธิบดีกว่า มั่นใจได้ยังไงล่ะ ผมไม่มั่นใจ แต่ทั้งหมดคือถ้าพูดตรงๆ คือมีประธานาธิบดีก็คงจะดี ถ้าคุณได้ประธานาธิบดีที่ดี มันก็จะกลับมาที่เรื่องเดิมคือทุกคนทำหน้าที่ตัวเองหรือเปล่า ผมคิดแค่นี้”

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://mgronline.com/entertainment/detail/9630000087608
ขอขอบคุณ : https://mgronline.com/entertainment/detail/9630000087608