ปั้นจั่น ปรมะ เล่าเรื่องที่คนไม่ค่อยรู้ ผูกพัน อ้อย กาญจนา ในฐานะน้าหลาน


ให้คะแนน


แชร์

ช่วงที่ป่วยก็รับรู้มาตลอด?
“มันมีช่วงแก็ปที่ไม่ได้เจอ แต่รู้ว่าน้าอ้อยเป็นโรคหัวใจ อย่างเมื่อวานตอนที่แจ้งข่าวไปว่าเป็นโรคหัวใจ อย่างที่น้องบอกว่าน้าไม่อยากให้คนในวงการทราบว่าเป็นมะเร็งเพราะว่าเป็นเรื่องใหญ่

แล้วตามที่ผมเข้าใจคือน้าเองก็ยังอยากทำงาน รายการล่าสุดที่เพิ่งไปถ่ายมาที่จริงตอนนั้นคือหนักแล้ว แต่ว่าก็ยังฝืนไปเพราะอยากทำงาน

ตอนที่น้าอ้อยเสียก็คือเป็นทั้งมะเร็งและหัวใจด้วย การให้ยาคือน้องก็น่าจะบอกแล้วว่ามันขัดกัน ถ้าจะให้ยามะเร็ง มันก็มีผลต่อหัวใจ ถ้าให้ยาหัวใจมันก็มีผลต่อมะเร็ง ฉะนั้นมันก็เลยทรุดหนักลงเรื่อยๆ

ถ้าผมกะไม่ผิดมันก็ประมาณ 2-3 อาทิตย์ที่เริ่มทรุดลง ที่จริงญาติๆ ก็มาเฝ้าได้ประมาณ 1-2 อาทิตย์แล้วครับที่ต้องดูอย่างใกล้ชิด เพราะว่าคุณหมอบอกว่าให้ทำใจ แต่ตอนนั้นทางน้องก็ยังสู้อยู่ เรายังไม่ยอมรับว่าน้าอ้อยจะไปเร็วขนาดนี้ครับ”

เห็นว่าปั้นจั่นก็ไปอยู่ในเหตุการณ์เมื่อวานด้วย?
“ที่จริงในอาทิตย์นี้ผมไป รพ. เกือบทุกวันถ้าไม่มีงาน เพราะไปรับส่งคุณแม่อยู่แล้ว ถ้าเกิดว่าเสร็จเร็วก็ไปเฝ้า ไปช่วยเป็นกำลังใจให้เพลง น้าโต้ง พิณ แต่คุณแม่ไปทุกวันครับ

เมื่อวานคุณแม่แจ้งประมาณ 2 โมงกว่าเกือบ 3 โมงว่าอาการไม่ดีแล้ว รีบขับรถมาจากแถวเลียบทางด่วนแต่รถติดมาก ผมถึงหน้า รพ. คุณแม่ก็ไลน์มาบอกว่าน้าอ้อยไปแล้ว”

ความรู้สึกของคุณแม่เป็นไงบ้าง?
“ตอนเขาโทรมาเขาร้องไห้ แต่ช่วงนี้ผมว่าอารมณ์เดียวกันหมด คือตอนนี้เพลงและคุณแม่ผมอยู่ช่วงจัดพิธี รับแขก ผมก็บอกกับสามีของเพลง เพื่อนๆ เพลงว่าตอนนี้เขายังดูเข้มแข็ง แต่ว่าหลังจากนี้พอทุกอย่างจบพิธีไปแล้ว มันมีเวลาอยู่กับตัวเอง ความเศร้ามันก็คงจะเข้ามา

ตอนนั้นเราก็ต้องช่วยกันดูแลจิตใจกันต่อไป ที่สำคัญคือน้าโต้ง สามีน้าอ้อยที่ยังอยู่ ถ้าพูดไปแล้ววันที่น้าอ้อยเสีย น้าโต้งก็หนักพอสมควร น้าโต้งเองก็ไม่ได้แข็งแรงเหมือนเดิม ก็บอกน้องตลอดว่าตอนนี้ต้องดูแลคนที่อยู่ให้ดีครับ”

น้าอ้อยในความทรงจำของปั้นจั่นเป็นยังไง?
“ในความทรงจำเหรอ ผมชอบไปเล่นกับน้าอ้อยเพราะว่าคุณแม่ผมไม่ค่อยซื้อของเล่นให้ผม น้าอ้อยจะซื้อของเล่นให้ผมเยอะ เวลาปีใหม่ก็จะได้ของเล่นแบบเท่ๆ แต่ก่อนเราไปเที่ยวต่างจังหวัดกันบ่อย เพราะผมเองกับเพลงเกิดเดือนเดียวกัน ห่างกันวันเดียว ก็เลยจัดวันเกิดด้วยกันบ่อยๆ

แต่ก่อนเวลาไปไหนกับน้าจะรู้สึกว่าโอ้โห คือน้าเป็นดารา โห มีแต่คนถ่ายรูปกับน้า ส่วนหนึ่งคือการที่เราอยากเป็นนักแสดงหรือทำงานในวงการ เราก็ซึมซับมาจากตรงนั้นด้วนส่วนหนึ่งครับผม”

ทำไมเราถึงไม่บอกคนอื่นว่าเราเป็นหลานน้าอ้อย เพื่อจะได้เป็นใบเบิกทางที่ดี?
“ที่จริงน้าเคยพูดอย่างหนึ่งว่า สิ่งที่เราทำด้วยตัวเองได้โดยที่น้าไม่ได้ช่วยเหลือ ถ้าปั้นจั่นก้าวด้วยขาของปั้นจั่นเองได้ มันก็เป็นเรื่องที่ดี แล้วปั้นจั่นก็ทำแบบนั้นมาตลอด มันก็ไปได้ดีครับ ส่วนใครที่รู้ ถ้าเกิดว่ามีคนถาม เราก็จะบอก แต่ถ้าใครไม่รู้ เราก็ไม่ได้บอกว่าเป็นหลานน้าอ้อยครับ”

พอเรามาเป็นนักแสดง น้าอ้อยสอนอะไรบ้าง?
“ที่จริงเรื่องการทำงาน น้าไม่เคยบอก เพราะตอนผมเข้า ผมก็โตพอสมควรแล้ว เรื่องที่น้าสอน ผมว่าเป็นเรื่องของการทำบุญไหว้พระมากกว่า ผมไม่ได้มีโอกาสคุยก่อนที่จะแอดมิทเข้าไอซียู แต่ได้มีโอกาสคุยโทรศัพท์ ตอนนั้นก็ให้กำลังใจน้าอ้อยไป ให้น้าอ้อยสู้ๆ สวดมนต์เยอะๆ

คือตอนนั้นเราก็พอจะรู้ เราเป็นผู้ชาย เราก็เลยรู้สึกว่าเราเข้มแข็ง เรามองความจริงมากกว่าผู้หญิงในครอบครัว คือตัวผมเอง หนึ่งเป็นหลาน แล้วมันก็ไม่เท่ากับคนที่เป็นลูกหรือว่าคนที่เป็นพี่สาว แต่ว่าเราก็บอกน้องนะ ปั้นจั่นคุยกับเพลงก่อนหน้านี้ว่าให้เพลงทำใจ แล้วก็บอกคุณแม่ว่าให้แม่ทำใจ แล้วก็คุยกันเรื่องพวกนี้บ่อย

ที่เราต้องคุยเพราะว่า ทำให้มันรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน ถึงเวลาแล้วเหตุการณ์มันเกิดขึ้น เราจะได้อยู่กับมันให้ได้ มูฟออนต่อไปให้ได้ สุดท้ายแล้วคนอยู่ต่างหากที่สำคัญ เขาคงอยากมองกลับมาแล้วเห็นลูกๆ หลานๆ มีความสุข ส่วนพิธีเราก็คุยกันว่าเราจะทำให้เต็มที่ ให้สมเกียรติกับที่น้าเป็นที่รักของประชาชนและเพื่อนๆ แฟนๆ”

เคยได้ร่วมงานกันไหม?
“ถ้าผมจำไม่ผิด ตอนนั้นเป็นละครพระราชนิพนธ์ เป็นละครเทิดพระเกียรติ ได้ถ่ายละครกับน้าอ้อยครั้งหนึ่ง ก็ไม่ค่อยชอบ เกร็งๆ ถ่ายกับคนในครอบครัว ก็จะเขินๆ หน่อย ตอนนั้นเล่นเป็นแม่ลูกกัน”

ความรู้สึกเป็นยังไงเมื่อมองย้อนกลับไป?
“ถ้าพูดแล้วน้าก็เหมือนเป็นแม่คนหนึ่ง เพราะตอนสมัยเด็กๆ เลย ก็เลี้ยงผมไม่ต่างจากลูก เพราะว่าผมห่างกับเพลงปีหนึ่ง น้องคนเล็กของบ้านเราทั้งคู่ก็อายุเท่ากัน ไปไหนก็ไปเป็นแพ็ก บางทีน้าอ้อยไม่ว่าง แม่ก็ไปรับน้องเพลง บางทีแม่ไม่ว่างน้าอ้อยก็มารับผมที่โรงเรียน ซึ่งภาพความทรงจำก็เป็นแบบนั้น

ครอบครัวเราใกล้ชิดกันมาก แต่ว่ามันมีแค่ระยะหลังเท่านั้น อาจจะด้วยเรื่องของเวลา ทำให้เราห่างกัน เพราะว่าตัวคุณแม่กับน้าอ้อยเอง เกษียณก็อยู่บ้าน เจอกันครั้งคราว ส่วนใหญ่จะคุยโทรศัพท์ซะมากกว่า ตัวผมเองก็จะเจอเพลงมากที่สุด เพราะว่าเราจะมีเพื่อนๆ ที่อยู่รุ่นๆ เดียวกัน ใกล้ๆ กัน รู้จักกัน อย่างผมเองก็รู้จักกับสามีเขา”

มีอะไรอยากจะบอกน้าอ้อยอีกไหม?
“ที่จริงผมบอกน้าอ้อยไป แต่ไม่รู้ได้ยินหรือเปล่า ให้น้าอ้อยหลับให้สบายนะครับ ก็ไปอยู่บนสวรรค์อย่างมีความสุข ส่วนน้องๆ ลูกๆ หลานๆ ก็จะช่วยดูแลกันเอง ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าจะเป็นน้าโต้งหรือว่าพิณ ที่ห่วงเพราะเป็นน้องคนเล็ก ไม่ต้องห่วง ปั้นจั่นกับเพลงก็โตพอที่จะดูแลครอบครัวแล้ว เดี๋ยวเราช่วยกันดูแล เพราะเอาจริงๆ ก็มีกันอยู่แค่นี้ ที่เราต้องดูแลกัน”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1920048
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1920048