"ขันเงิน-เดย์" เล่าวันวานไทยเทเนี่ยม บทเรียนเกือบเสียเพื่อนที่ชื่อ "เวย์"


ให้คะแนน


แชร์

ตอนแรกเราทำเองกันหมดครับ ส่งให้ MTV, Channel V, ผมเป็นพี่ใหญ่ เคยเรียนรู้เพราะเราออกอัลบั้มมาหลายอันแล้วว่าต้องเดินสายแบบนี้ จะทำมิวสิกวิดีโอต้องไปจ้างใคร แล้วต้องส่งใครบ้าง

เราก็ศึกษาตรงนั้น เราทำมา 4 อัลบั้มก็จะเข้าใจตรงนั้น ค่อยๆ ทำไปด้วยกันด้วยแรงที่เราทำได้ แล้วมันค่อยๆ หมุนมาเรื่อยๆ จนมันใหญ่ขึ้นๆ จนถึงทุกวันนี้ ตอนแรกก็ทำเองทุกขั้นตอน ถ่ายรูปหน้าปกกันเอง ผลัดกันถ่าย สมัยนั้นคือเราต้องเก็บตังค์ซื้อกล้องดิจิตอลเพื่อจะมาถ่ายรูปกันเอง จัดฉากกันเองจากสิ่งที่เราเคยเห็น คือเราเรียนรู้มาจากการทำอัลบั้มมาก่อนหน้านี้ว่าทำยังไงบ้าง”

เมื่อถามว่าอุปสรรคหลักๆ ในช่วงนั้นคืออะไร ขันเงินตอบทันทีว่า คือเรื่องเงิน “ไม่มีตังค์ครับช่วงนั้น แล้วเวย์กับเดย์จะไปทำงานร้านอาหาร และให้ผมอยู่บ้าน เขาบอกยูทำเพลงไป เพราะนี่คือความหวังของเราคือการทำเพลงตามความฝัน เราเป็นพาร์ทเนอร์กัน สองคนเขาก็ไปทำงานและจ่ายค่าเช่าบ้านส่วนของผมให้ เพื่อให้ผมทำเพลงอยู่ที่บ้าน เวลาเขาทำงานเสร็จ เขาจะกลับมาอัดเพลงกัน เราก็ช่วยกัน เพราะถ้าทุกคนไปทำงานร้านอาหารหมด ไม่มีใครทำเพลง มันก็จะไปถึงช้าลง

แล้วมันยากมากครับกว่าจะทำให้คนยอมรับ เพราะตอนนั้นเพลงฮิปฮอปยังไม่ใช่เพลงที่คนไทยฟังสักเท่าไร มาถึงวันนี้เราเลยภูมิใจว่ามันมาถึงจุดที่ทุกคนยอมรับ แล้วตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว จากสิ่งที่คนมองว่ามันแปลกประหลาด กลายเป็นทุกคนยอมรับและชื่นชอบ เราช่วยกันสร้างขึ้นมา มันก็รู้สึกไม่เหนื่อยฟรี หายเหนื่อย

ซึ่งจริงๆ ก็มีหน่วยร่วมหลายๆ คน อย่างเช่น โจอี้ บอย หรืออย่างสมัยนั้นก็มีดาจิม คือช่วยกันสร้าง ของเราก็อาจจะมาอีกมุมนึง เราก็ตั้งใจทำออกมาเรื่อยๆ ต่อไป เพราะตอนนี้เริ่มส่งไม้ต่อให้น้องๆ อย่างเช่น Twopee หรือน้องๆ จากรายการ The Rapper ที่เราไปทำกัน คือแทนที่จะสร้างแค่เรา แต่ตอนนี้เราสร้างให้กับทุกคนด้วย”

ถึงตรงนี้เดย์เสริมว่า “เราภูมิใจแน่นอน เพราะเราเริ่มมาตั้งแต่ต้นกว่าจะมาถึงตรงนี้ คนยังไม่ยอมรับในสิ่งที่เราพูดทันที แต่พอได้ไปสัมผัสกับพวกน้องๆ ที่ติดตามเรา เขาร้องได้ เรารู้สึกดีใจจนถึงทุกวันนี้ อันนี้แหละเป็นความภูมิใจอันนึง เพราะมันไม่ได้ทำมาง่ายๆ เราก็เหนื่อยมากที่ทำ สนุกมากที่ทำ มั่นใจและเชื่อว่าสิ่งที่ทำมันจะเกิดผลได้ ความรู้สึกมันมากกว่าที่จะพูดได้ครับ”

บทเรียนที่ได้จากความผิดพลาด

การเดินทางบนถนนสายดนตรีร่วมกัน 3 คน มาตลอด 20 ปี มีทั้งวันที่ประสบความสำเร็จ และวันที่ต้องเจอกับความผิดพลาด ขันเงินบอกว่า ที่ผ่านมาลองผิดลองถูกมาเยอะ แต่ก็เหมือนเป็นการปูทางให้กับรุ่นน้องวงการเพลงให้เห็นและเดินตามรอยมา

“เราลองผิดลองถูกมาเยอะ ถามว่ามีอันไหนมั้ยที่รู้สึกว่าไม่น่าทำเลย ก็มีจนถึงทุกวันนี้แหละ ไม่ใช่ว่าไม่น่าเลยเพราะมันไม่ใช่เรา แต่คือไม่น่าลองเลย เสียตังค์ฟรี” ก่อนจะหัวเราะและเล่าต่อไปอีกว่า “คือมันไม่ใช่ว่ามันผิดหรือมันถูก แต่ว่าเราลองหลายๆ แบบ เราก็บุกเบิกเรื่องสตรีมมิ่ง เรื่องการทำบริษัทของตัวเราเอง การกำกับมิวสิกวิดีโอเอง จัดคอนเสิร์ตเอง เราทำหลายอย่างมาก

ซึ่งเราลองผิดลองถูกให้น้องๆ ได้เห็นและทำตามเรามา เขาก็ประสบความสำเร็จกันไปในแต่ละด้านของเขา อันนั้นคือความภาคภูมิใจ ทุกวันนี้ก็มีทางเดินที่สมบูรณ์แบบให้น้องๆ เดินไปสู่ความสำเร็จ เวลาคุยกับน้องๆ เขาก็จะมาปรึกษาว่าตรงนี้ยังไงดี เราก็แนะนำไปตามประสบการณ์ของเรา ซึ่งทุกอย่างมันก็มี 2 ด้านอยู่แล้ว”

วันที่ เวย์ ประกาศออกจากวง

และอีกหนึ่งประเด็นร้อนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือเรื่องที่เวย์เคยประกาศออกจากวง หลังจากอยู่ด้วยกันมานานกว่า 19 ปี และขันเงินก็ยอมรับว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องดังกล่าวมาจากตนเอง และแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งขันเงินบอกว่าเป็นธรรมดาที่คนจะสนใจมากกว่าแค่เรื่องผลงาน พร้อมทั้งยืนยันว่าแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเรียบร้อยหมดแล้ว

“จริงๆ เป็นเรื่องธรรมดา เป็นพาร์ทของชีวิตของคนในแวดวงบันเทิงอยู่แล้ว ว่าคนจะสนใจมากกว่าแค่สิ่งที่เราทำหรือผลงาน ก็ดีครับ ขอบคุณที่สนใจ” ขันเงินหัวเราะก่อนจะพูดต่อว่า “คือมาถึงตอนนี้เราก็ยืนยันว่าเพื่อนยังไงก็คือเพื่อน เราก็ได้จัดการปัญหาทุกอย่างที่ผมทำพลาด แก้ปัญหาทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างก็ positive ดูดีครับ และอาจจะมีอะไรดีๆ ที่จะได้เห็นครับ ถามว่าจะมีโอกาสได้เห็นการกลับมาแบบฟูลทีมมั้ย แน่นอนครับ เดี๋ยวรอดูกันไป รับรองว่าสนุกแน่ เดี๋ยวมีอะไรให้สนุกอีกครับ”

เมื่อถามว่าได้รับบทเรียนอะไรจากตรงนี้บ้าง ขันเงินบอกว่า ความรักเป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้กลับมาได้ “ก็ได้บทเรียนที่ดีที่สุด คือความรักเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเวลาเราสร้างอะไรมาด้วยกันนานๆ มันก็มีความผิดพลาด การแตกหักได้ในระหว่างครอบครัวเราเอง แต่เพราะว่าความรักถ้ามันเป็นจุดสำคัญที่สุด มันก็จะหาหนทางกลับมาสู่ตรงนั้นได้”

ถึงตรงนี้เดย์ยืนยันถึงมิตรภาพของไทยเทเนี่ยมว่าเป็นเหมือนเหล็กที่แตกไม่ได้ “ก่อนหน้านั้นมีคอนเสิร์ตชื่อ Unbreakable แล้วมันเกิดการ break up ขึ้นมา มันก็เป็นความรู้สึกที่ไม่ดีแน่นอน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเราเป็นพี่น้องกัน เราโตมาด้วยกัน เราสร้างตรงนี้มาด้วยกัน มีความผูกพัน จนได้ปรับความเข้าใจกัน เปลี่ยนทัศนคติทุกสิ่งทุกอย่าง เราก็เข้าใจกัน 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว สิ่งที่หวังก็คือจะให้ทุกคนได้เห็นว่าเรา Unbreakable ของจริง ซึ่งไทยเทเนี่ยมมันเป็นเหล็กที่แตกไม่ได้ พอมันแตกมันจะมีแม่เหล็กอันนึงทำให้เรารวมตัวกันอีกครั้งนึง

ทุกคนมีความผิดพลาด มีด้านดีและด้านไม่ดี และสิ่งที่เรียนรู้และสอนบทเรียนก็คือมีการทำผิดเกิดขึ้น ในศาสนาผมก็คือสารภาพและจะมีการให้อภัย แก้ไขปรับปรุง ไม่ใช่ว่าพอมีความผิดพลาดแล้วแยกกัน โกรธกัน ไม่คุยกันอีกเลย

อันแรกเลยที่พวกเราเกิดขึ้นมาได้เพราะเราเป็นพี่น้อง เรารักกัน ไม่มีกินด้วยกัน มาม่าซองเดียวเรายังอยู่ด้วยกันได้ ไข่ลูกเดียว ข้าวจานนึงก็แบ่งกันมาแล้ว พอมันเกิดแบบนี้ขึ้น มันไม่มีทางที่เราจะแตกกันได้ Unbreakable ผมคิดว่ามันเป็นคำที่ถูกต้องสำหรับพวกเราแล้ว”

Bring It Back หยิบเพลงเก่ามาเล่าใหม่

ขันเงินเล่าถึงที่มาการทำอัลบั้ม Bring It Back ที่เป็นการหยิบเพลงเก่าของวงไมโคร, เจ เจตริน, นูโว, ซิลลี่ ฟูลส์ กลับมาเล่าใหม่ในสไตล์ไทยเทเนี่ยมไว้ว่า “ถ้ายังจำกันได้ ที่เราออกเพลงเมื่อ 3 ปีที่แล้ว คือเพลง “สบายดีหรือเปล่า” อันนั้นเราเอาเพลงของ XYZ มาทำใหม่เป็นรูปแบบของไทยเทเนี่ยม ก็คล้ายๆ กัน คือเป็นจุดเริ่มต้นของไอเดียที่เราจะทำอัลบั้มนี้

พอได้คุยกับทางสนามหลวงมิวสิก ก็เออ…เราน่าจะมาทำด้วยกัน ซึ่งเมื่อก่อนไทยเทเนี่ยมก็เริ่มมากับสนามหลวง ประมาณ 15 ปีที่แล้ว ประจวบเหมาะกับเราคิดว่าทำไมไม่ทำโปรเจกต์ร่วมกัน เลยมาทำ 5 เพลงนี้ครับ เราเริ่มต้นโปรเจกต์นี้เมื่อสิ้นปีที่แล้ว พอช่วงโควิดเราก็เลยมาทำให้มันเสร็จช่วงนี้พอดีครับ

เรื่องการเลือกเพลง จริงๆ ผมกับเดย์เป็นแฟนเพลงวงไมโคร เราเลยเลือกเพลง “รักปอนปอน” ส่วนเพลงอื่นๆ ก็จะเป็นเพลงแนวอกหัก ไม่แฮปปี้ เพราะไทยเทเนี่ยมตั้งแต่เริ่มมา เราไม่เคยมีเพลงอกหักเลย เพราะฉะนั้นเราก็อยากทำอะไรที่มันแปลกใหม่ พูดถึงสิ่งที่เราไม่เคยพูดถึง และนำมาสร้างใหม่ให้มันเป็นซาวนด์ของเราในยุคนี้

ทั้ง 5 เพลงนี้คือไม่เหมือนกันเลย ต่างจากของเดิมโดยสิ้นเชิง มีแค่เพลง “รักปอนปอน” ที่ยังมีกลิ่นอายของเดิมอยู่ เพราะเรารู้สึกว่าเราชอบสไตล์เดิมของเขาแล้ว เพียงแต่เอามาปรับซาวนด์ เพราะฉะนั้นเพลงรักปอนปอนซาวนด์จะออกมายุค 80 แต่เรานำมาประยุกต์ให้มันเป็นซาวนด์ยุค 80 สมัยใหม่

เพลง “กองไว้” ของพี่เจ เจตริน ก็ออกมาในยุค 90 เราก็ละเลงให้เป็นยุค 90 แต่เป็นซาวนด์ 90 ที่เรียบเรียงเป็นสมัยใหม่ ส่วน “ไหนว่าจะไม่หลอกกัน” กับ “ใจโทรมๆ” จะเป็นซาวนด์สมัยนี้เลย เมื่อเราฟังเพลงฮิปฮอปสมัยนี้แบบเด้งๆ โยกๆ สไตล์ที่น้องๆ เขาทำสมัยนี้ เราก็ทำแบบนั้น ส่วนเนื้อร้องยังเป็นเหมือนเดิม พี่เดย์ก็จะใส่แร็ปเข้ามาครับ”

จากนั้นเดย์เล่าถึงการเพิ่มท่อนแร็ป ซึ่งเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของไทยเทเนี่ยมไว้ว่า “จริงๆ ก็ไม่ยากนะ เพราะมันมีคอนเซ็ปต์ของเพลงอยู่แล้ว แล้วเราก็เอาความรู้สึกที่เคยเป็นเหมือนเพลง “ลืมไปไม่รักกัน” หยิบยืมมาใช้ แล้วก็แร็ปเป็นเมโลดี้นิดหน่อย เพราะเพลงอาจจะเศร้า แต่พอมีท่อนแร็ปมันก็จะฉุดขึ้นให้ไม่เศร้าไปกว่านี้ ทำให้เป็น Positive ขึ้น ทำให้สนุกขึ้น ฟังแล้วไม่ได้รู้สึกว่าเสียใจซะทีเดียว พอถึงตรงแร็ปแล้วคือแบบฉันโอเคแล้ว”

ขันเงินเสริมว่า ถึงแม้จะเป็นเพลงอกหัก แต่ไทยเทเนี่ยมสไตล์คือไม่ยอมรับว่าตัวเองอกหัก ดังนั้นเพลงที่ออกมาจึงเป็นเพลงเศร้าที่ยังยิ้มได้ “เราก็จะฟูมฟายไม่ได้ ต้องเข้มแข็ง เราต้องมองภาพ Positive ความรักมันก็มีความเศร้า แต่เราก็ต้องออกจากตรงนั้นให้ได้ ไม่ใช่จมปลักกับตรงนั้น เรายังคงต้องคงคาแรกเตอร์ของเรา คือเศร้าแบบยิ้มได้ สิ่งที่ผ่านมาคือเป็นสิ่งที่ดีที่ผ่านมาในชีวิต อย่าไปคิดว่าเป็นสิ่งไม่ดี ถึงเขาจะหักอกเรา แต่มันก็เป็นบทเรียนของเรา ทำให้เราเดินไปข้างหน้าได้”

เมื่อถามว่าหยิบเพลงเก่ามาทำใหม่ แสดงว่าคิดถึงยุค 90 รึเปล่า ขันเงินบอกว่า คิดถึง พร้อมทั้งเล่าถึงความรู้สึกเมื่อพูดถึงยุค 90 ว่าเป็นความโชคดีที่ได้เห็นชีวิตแบบนั้น “จริงๆ แล้วผมอยู่ในยุค 90 และผมเคยออกอัลบั้มตอนยุค 90 ถามว่าคิดถึงยุคนั้นมั้ย มันก็คิดถึง เราก็เลยเอาเพลงยุคนี้กลับมาทำใหม่ เราคิดว่าเป็นเพลงที่ดีมาก แต่น้องๆ รุ่นใหม่อาจไม่เคยฟัง เราเลยได้ชื่ออัลบั้มนี้มาคือ Bring It Back เราพยายามเอาสิ่งที่เรารักมาถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังได้ฟังในสิ่งที่เราชอบ เป็นเพลงที่เราฟังตั้งแต่เด็กแล้วรู้สึกว่าไมโครเป็นฮีโร่ของเรา

ผมโตมากับสมัยร็อก สมัยก่อนไม่มีฮิปฮอปให้ฟัง เหมือนเอาความเป็นร็อกมาผสมเป็นตัวเรา ถ่ายทอดในแบบของเราครับ ผมว่ายุค 90 เป็นยุคที่มีความสุขในโลกที่มันไม่มีอะไรที่ต้องถืออยู่ในมือ มันคิดถึงยุคที่นัดกันแล้วถ้าใครผิดเวลาคือไม่เจอกันนะ เพราะว่าตามตัวกันไม่ได้ จนมาถึงยุคเพจเจอร์ถึงพอตามตัวกันได้ ซึ่งมันเป็นความสุขอีกแบบนึง โชคดีที่เราได้เห็นชีวิตแบบนั้น”

ด้านเดย์บอกว่า เมื่อนึกถึงยุค 90 ทำให้นึกถึงการที่จะทำอะไรสักอย่างจะต้องไขว่คว้าตามหาด้วยความรัก “ความเป็นยุค 90 มันไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีอินเทอร์เน็ต เราอยากจะไขว่คว้าอะไรอย่างนึง เราต้องไปหาด้วยความรักมันจริงๆ สมมติเราอยากจะรู้อะไร เราต้องเข้าห้องสมุด อย่างการฟังเพลง เราต้องรอเวลาที่ทีวีจะเปิดมิวสิกวิดีโอนี้ รอเวลาวิทยุเปิด เราต้องขอให้เปิดหน่อย ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดยิ่งยากหน่อย แต่เราทำได้อย่างเดียวคือรอเวลาจะได้ดูวิดีโอ แล้วเราก็เอาไม้กวาดทำเป็นกีตาร์แล้วสนุกไปกับมัน มันเป็นความสุขอย่างหนึ่ง”

ก้าวต่อไปของไทยเทเนี่ยม

กับคำถามว่าคิดจะทำเพลงต่อไปอีกนานแค่ไหน ขันเงินตอบทันทีแบบไม่ต้องคิดว่า ตราบใดที่ยังไม่เหนื่อยเกินไปก็ยังคงทำต่อ เพราะรักในสิ่งที่ทำ “ต้นแบบของเราคือคาราบาวครับ ตราบใดที่มันยังมีเสียงเพลง ตราบใดที่เรายังไม่เหนื่อยเกินไป เราก็ยังทำไปเรื่อยๆ เหมือนพี่แอ๊ด เพราะเขารักในสิ่งที่เขาทำ เขาจะไปสร้างเงินมหาศาลขนาดไหน เขาก็ยังไปทัวร์คอนเสิร์ตของเขา เพราะนั่นคือสิ่งที่เขารัก ไม่มีการรีไทร์ เพราะมันทำให้เราไม่ได้รู้สึกแก่จนต้องอยู่บ้านเฉยๆ มันเติมไฟให้เราได้ไปร้องเพลง ได้ไปพบปะแฟนเพลง ได้ทำในสิ่งที่เรารัก และนี่คือแผนของเราที่เราน่าจะไปทางนั้นครับ”

เราถามต่ออีกไปว่า แล้วจะทำอะไรต่อดี เพราะน่าจะทำมาเกือบหมดแล้ว ขันเงินตอบว่า “จริงๆ มันต้องลองค้นคว้าดูนะ ถามว่าลองฟีทกับลูกทุ่งดีมั้ย อันนั้นก็ยังไม่เคยทำ เวย์เคยทำแล้ว แต่ยังไม่เคยทำในนามของไทยเทเนี่ยม เดี๋ยวต้องหาข้อที่ทำให้มันตื่นเต้น อันนั้นคือสิ่งที่เราต้องค้นคว้า ถามว่าอยากทำงานกับคาราบาวมั้ย เราเองก็เคยทำงานกับพี่แอ๊ด คาราบาว ไปแล้ว แต่ถ้าทำกับทั้งวงเลยก็น่าสนใจ” เดย์เสริมทันที “ผมก็อยากเอาเพลง “นางงามตู้กระจก” มาลองทำเหมือนกันนะ”

จากนั้นขันเงินขยายความต่อถึงการชวนศิลปินมาร่วมทำงานเพลงว่า “ปกติเวลาเราทำเพลง เราจะไม่พยายามไปทาบทามคนที่ไม่รู้จัก มันต้องคุยกันบ้าง เราคุยกันรู้เรื่อง มีสิ่งที่เราชอบร่วมกัน บางคนเราไม่รู้จักเขาเลย ไม่รู้ว่าชีวิตเขาเป็นยังไง เขาอาจจะไม่ได้ชอบฟังเพลงเราก็ได้ มันต้องสนทนาแล้วสนุกก่อนเริ่มทำอะไร เพราะมันต้องเกิดจากความสนุกก่อน เวลาทำอะไรร่วมกัน ถึงจะมีอารมณ์ร่วมว่าเออ…เราควรจะเขียนแบบไหน อยากจะพูดเรื่องนี้มั้ย มันต้องเป็นอารมณ์นั้นครับ”

เมื่อถามว่าแบบนี้ก้าวต่อไปของวงไทยเทเนี่ยมจะเป็นยังไงต่อไป จะมีเซอร์ไพรส์อะไรอีก ขันเงินบอกสั้นๆ ว่า “ต้องรอชมกันครับ นั่นคือความตื่นเต้น” ก่อนจะหัวเราะออกมา ด้านเดย์รีบบอก “To be continue ต้องลุ้นครับ พอบอกแล้วมันไม่ลุ้นไง” และยิ้มกว้าง ปิดท้ายการสนทนาด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแห่งความสุข.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
กราฟิก : Varanya Phae-araya
ภาพ : Penguin บินได้, GMM Grammy, อินเทอร์เน็ต

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1935116
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1935116