ล้วงสุดใจ 2 หนุ่ม "หยิ่น-วอร์" คู่จิ้นแห่งปี ยังไงเราก็ไม่แยกจากกัน


ให้คะแนน


แชร์

หยิ่น “ของผมที่มาที่ไปคือ ผมไปยืนในงานโอเพ่นเฮาส์ที่ มศว แนะนำน้องๆ แล้วน้องๆ ก็เข้ามาถ่ายรูปเยอะ และทำให้มีภาพตามกระแสโซเชียล แล้วทางค่าย ผู้จัดการก็เห็น เขาก็ดิวมา แต่เขาก็ไม่ได้ถามนะว่าสนใจเรื่องเล่นซีรีส์มั้ย เขาแค่บอกว่าสนใจรีวิวสินค้ามั้ย

ผมก็ดูจะไม่เสียหายอะไร แค่รีวิวสินค้าปกติ ก็รับงานไป และทางค่ายก็คิดจะทำซีรีส์ เขาดูจากคาแรกเตอร์ของเด็กในค่าย ก็ดูตัวผมกับตัวพี่วอร์ ก็จิ้มมาเลยครับ”

วอร์ “ของผมก็ไม่ได้แคสต์เหมือนกัน เขาเลือกตามคาแรกเตอร์ของเรา แล้วก็ทาบทามเรามาเล่น บอกว่าจะได้เล่นบทนี้ครับ”

หยิ่น “คือทางค่ายเขาก็เลือกส่งไปให้เจ้าของนิยายเขาเลือก เขาก็ส่งไปหลายๆ คนนะ แล้วดูคาแรกเตอร์ว่าคนนี้เหมาะมั้ยจนได้เข้ามาทำงานครับ”

หยิ่น “ตัวผมยังไม่เคยแสดงละครหรือทำอะไรมาก่อนเลย ไม่เคยแอ็กติ้งใดๆ มาก่อนเลย ผมก็ไม่เคยติดตามซีรีส์สายวายมาก่อนเลยเหมือนกัน แต่รู้แค่ว่าเป็นแนวชาย-ชาย ประมาณนี้ครับ”

หยิ่น “ถ้าเป็นเวิร์กช็อปกันครั้งแรก เราเคยเจอหน้ากันมาก่อนแล้ว ผมเคยได้คุยกันมานิดนึงแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ทำให้สนิทกันมากหรอก พอเวิร์กช็อปครั้งแรกมันทำให้กล้าที่จะแสดงด้วยกันมากขึ้น ละลายพฤติกรรมได้ส่วนหนึ่ง ทำให้พอที่จะแสดงด้วยกันได้แล้ว จริงๆ ผมเวิร์กช็อปกับพี่วอร์แค่ 10 ชม. แต่ถ้าเรื่องเรียนการแสดง ผมก็จ้างแยกมาเรียนเอง เรียนก็น่าจะประมาณ 10 ชม. เหมือนกัน”

หยิ่น แอบมาแคสต์ซีรีส์โดยที่ที่บ้านไม่รู้

หยิ่น “ผมไม่ได้บอกที่บ้านนะ เพราะว่าคือ ณ จุดๆ นี้ผมต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่างแล้ว ก็พูดได้เลยว่า ผมเป็นครอบครัวที่มีปัญหาทางการเงินอยู่แล้ว ผมมองว่า ถ้าผมได้แสดงละคร ผมสามารถหาเงินส่วนหนึ่งมาให้ครอบครัวได้ ผมก็ไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้ ถ้าบอกไปเดี๋ยวเค้าก็มาเป็นกังวล แล้วจะไม่ได้ทำ

พอไม่ได้ทำก็ไม่ได้ช่วยอะไรครอบครัวเลย คือผู้ใหญ่ยังมีความคิดแบบว่า จะดีเหรอ ทำไมไม่เรียนไปก่อนล่ะ ผมมองว่าถ้าผมเรียนไปด้วยและทำงานไปด้วยได้ มันยิ่งไม่ดีกว่าเหรอ

ก็เลยตัดสินใจที่จะไม่บอกใครเลย คือพ่อผมอยู่ต่างประเทศอยู่แล้ว แล้วตอนนั้นเป็นช่วงที่แม่ผมอยู่ต่างจังหวัดพอดี ผมเป็นลูกครึ่งไทย-ฮ่องกง เลยไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องบอก เพราะบอกไปแล้วโดนแย้ง ผมไม่อยากโดนแย้ง อีกอย่างตอนนั้นผมเช่าหอในมหาวิทยาลัยอยู่กับเพื่อน 5 คน เลยไม่ค่อยได้กลับบ้านบ่อยเท่าไหร่ด้วย

พ่อแม่เขามารู้น่าจะช่วงปลายๆ ที่แม่ผมเล่นโซเชียลได้เก่งขึ้น เขาก็เริ่มเห็นแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรผมมากมายนะ จนกระทั่งซีรีส์เริ่มออน เขาก็เริ่มถามเริ่มคุยอะไรมากขึ้น เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ปกติเลย แม่ผมก็จะเชียร์ไปกับเรา แต่พ่อผมคอยติดตามไปเงียบๆ

แต่เขาก็แบบเคยพูดอยู่ว่าอยากให้เรียนก่อนมากกว่า คนมีอายุเขาก็จะคิดจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในประเทศเขาที่ฮ่องกง นักร้องนักแสดงที่ประเทศเขาเคยมีชื่อเสียง พอชื่อเสียงหายไปก็เครียด ฆ่าตัวตาย ก็เลยจำว่ามันเกิดขึ้น

ผมก็บอกว่ามันไม่ใช่ทุกคนหรอก ถึงแม้ว่าวันหนึ้งจะหมดชื่อเสียงไป ก็ทำอย่างอื่นได้ ก็แค่นั้นเอง เขาก็เข้าใจนะครับ คือบ้านผมทุกอย่างจะให้ตัวเองตัดสินใจอยู่แล้วในการทำอะไรสักอย่างหนึ่ง จะไม่ค่อยคุมขนาดนั้น แต่ทั้งหมดทั้งมวลจะไม่ต้องเดือดร้อนคนอื่น

ผมมีพี่ชาย 1 คนครับ พี่ผมเพิ่งเรียนจบ ช่วงที่ถ่ายซีรีส์เขาอยู่หอ เรียนที่บางนา ก็เลยไม่ค่อยได้กลับบ้าน แต่พอตอนนี้เรียนจบ ช่วงนี้ก็กลับมาอยู่บ้าน”

ครอบครัว วอร์ พ่อแม่ส่งเสริม เห่อผลงานลูกทุกชิ้น

วอร์ “ครอบครัวก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ ผมเป็นคนโชคดีอย่างหนึ่งที่ครอบครัวไม่ได้บังคับให้ทำอะไร หรือเรียนอะไรตั้งแต่เด็กอยู่แล้วครับ มีอะไรเราก็เลยกล้าที่จะบอกเขาไป เขาจะรู้และมั่นใจว่า ถ้าไม่ใช่สิ่งที่ผิดเขาจะสนับสนุนเรา แต่เขาก็ถามว่าผู้จัดการคือใคร เขาจะกังวลเรื่องนี้ ว่าผู้จัดการเป็นยังไง นิสัยยังไง เราก็ต้องอธิบายเรื่องนี้ให้เขาสบายใจ

แต่พ่อก็เฉยๆ เหมือนกันนะ แต่เอาเข้าจริงพ่อผมดูทุกวันเลย(ยิ้ม) อะไรก็แล้วแต่ แล้วแถมอัดวิดีโองาน ทุกวันนี้แม่ถ่ายรูปส่งไลน์มา เป็นพ่อนั่งดูงานของเรา เราก็ ว้าว ไม่คิดว่าพ่อจะเป็นคนแบบนี้ ติดตามงานเรา(ยิ้ม)”

หยิ่น แทรกขึ้นมาว่า “ล่าสุดพ่อผมเล่นทวิตเตอร์แล้วนะ(หัวเราะ) เขาอ่านภาษาไทยไม่ออกครับ แต่เห็นรูปลูกเขาก็เนียนๆ ไปดู (พร้อมทั้งหันไปบอก พี่วอร์ ว่า ว่างๆ ชวนพ่อมานั่งกินข้าวด้วยกันสิ)”

วอร์ “ที่บ้านผมพ่อกับแม่ผมทำงานอิสระ แล้วก็เปิดร้านเวดดิ้ง เช่าชุดแต่งงาน อยู่ที่มหาสารคามครับ บ้านผมเป็นคนต่างจังหวัด ส่วนผมตอนมัธยมเรียนที่สารคาม แล้วเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยขอนแก่น ผมเรียนจบเรียบร้อยครับ”

หยิ่น “ของผมเรียนปีสุดท้ายครับ แต่ในซีรีส์ต้องเล่นเป็นรุ่นพี่ อันนี้ก็คือหนึ่งในความกดดันด้วย ตอนแรกๆ ที่เล่นเรายังไม่สนิทกันขนาดนั้น ในเรื่องเราเป็นรุ่นพี่ ผมก็ถามเขาตลอดว่าจับหัวได้รึเปล่า เออพี่ผมขอโทษนะ พูดแบบนี้ตลอดเลย แต่ถ้าเป็นช่วงนี้ก็ไม่ต้องถามแล้ว เพราะรู้กันแล้วไม่ได้คิดอะไร ปล่อยให้เป็นไปตามการแสดง”

ครั้งแรกที่เจอกัน

เมื่อถามว่า ครั้งแรกที่เจอหน้ากัน เป็นยังไง หยิ่น ได้เล่าให้เราฟังด้วยความขำ เพราะตัวเองนั้นมาสายกว่า 1 ชม. คิดว่า พี่วอร์ จะโกรธรึเปล่า ดูนิ่งมาก

หยิ่น “ผมคิดแล้วว่าเขาผ่านการแสดงมา ทางผู้จัดการเขาก็บอกแล้วว่าเขาเคยเล่นเรื่องนั้นเรื่องนี้มา ผมก็ต้องเล่นคู่กับเขา โอเคเขาเป็นดาราแล้ว ต้องหยิ่งแน่เลย แล้ววันที่มาเจอหน้ากันจริงๆ ผมก็กดดันด้วยแหละ คือผมอยู่ไกลไง ผมเรียนที่ มศว องครักษ์ นครนายก แล้วพี่ผู้จัดการเขานัดทานข้าวแถววิภาวดี

คิดดูว่าผมต้องฝ่าดงรถติดมาขนาดไหน เขานัดกินข้าว 5 โมง แล้วผมเลิกเรียน 4 โมง ชั่วโมงนึงมันก็ไม่ทันอยู่แล้ว ถ้าผมเป็นเด็กใหม่แล้วมาสาย มันก็จะกดดันตัวเอง แล้วพอมาถึงปุ๊บ พี่เขานิ่ง เขาโกรธเรารึเปล่า ทำไมถึงนิ่งวะ (วอร์ แทรกมาว่า จะโกรธทำไม) ก็เลยดูเหมือนแบบน่าจะหมั่นไส้เรามั้ย เป็นเด็กใหม่แล้วยังมาสายอีก คือเราไม่รู้ไง เราก็คิดไปแล้ว

แล้วบวกกับภาพเขาเป็นดารา เขาต้องหยิ่ง เราก็ไม่กล้ามองหน้าเขา มองนิดเดียวก็ไม่มองเลย ไม่ได้คุยกันเลย ตอนนั้นผมน่าจะมาถึงประมาณ 6 โมงกว่ามั้ง เพราะว่าพวกเขากินข้าวกันเสร็จแล้วด้วย แต่ผมเพิ่งมา ทำให้เขาต้องไปกินไอติมต่อที่ยูเนี่ยนมอลล์กัน”

วอร์ “ผมไม่ได้สนใจเลยครับ ผมสนใจแต่ไอติมในถ้วย(ยิ้ม) ก็คือผมเป็นคนที่เข้าหาใครไม่เป็น ผมก็จะอยู่แต่กับของผม ถ้าเกิดไม่รู้จักผมก็จะไม่ได้เริ่มคุยก่อนกับใครเลย มันก็เลยทำให้คาแรกเตอร์ผมเป็นคนเงียบๆ

ถ้าไม่ได้รู้จักใครก่อน ก็ไม่รู้สิ ผมคิดว่าเขาอาจจะไม่ได้อยากคุยกับเราอยู่แล้วก้ได้ เพราะว่าเราไม่ได้สนิทกัน ถ้าเกิดสนิทกันเราก็อาจจะมีการแลกเปลี่ยนความคิดกัน จุดนั้นถึงจะเป็นจุดที่เราเริ่มคุยกันจริงๆ ครับ”

เข้าฉากด้วยกันครั้งแรก-ฉากเลิฟซีน

หยิ่น “วันที่เข้าฉากด้วยกันครั้งแรก เราสองคนจะเป็นคนที่สนิทกันมากที่สุด เพราะว่าคนรอบตัวคือคนกองไง วันที่เจอกันครั้งแรกเราสองคนเลยกลายเป็นคนที่สนิทกันมากที่สุด และสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ ผมยังจำได้อยู่เลยว่า ผมพูดกับพี่เขาว่า ‘พี่ เราต้องเริ่มแล้วเหรอวะ’ เพราะมันเป็นครั้งแรกที่ผมต้องเจอกล้องด้วย

เขาน่าจะเจอกล้องมาก่อน มันน่าจะชินใจในระดับหนึ่งแล้ว ผมไม่เคยรู้เลยว่าการถ่ายซีรีส์ต้องเปลี่ยนมุมกล้องหลายรอบ ต้องเล่นหลายรอบ ผมก็ถามพี่เขาตลอดว่าเราเริ่มแล้วเหรอ”

วอร์ “(หัวเราะขำน้อง)”

หยิ่น “มันกดดันมากครับ คือก็ถ่าย 3-4 เทคอยู่นะ เพราะกล้องมันต้องเปลี่ยนมุมไปเรื่อยๆ ก็ฉากละ 3-4 เทค”

วอร์ “ตัวผมเล่นมาก่อนก็จริงครับ แต่ว่าชั่วโมงบินมันน้อยครับ ที่เล่นมาก่อนเป็นซีรีส์เรื่องยาวที่เล่นเรื่องแรกเหมือนกัน ผมก็คิดเหมือนน้องนะว่า มันเริ่มแล้วเหรอวะ มันก็ยังตื่นเต้นอยู่”

หยิ่น “ฉากเลิฟซีน จะว่าเขินเลยมันก็ไม่ขนาดนั้น มันแค่เขินในการกระทำเฉยๆ แต่ว่าช่วงที่เวิร์กช็อปเราก็ซ้อมมาแล้วแหละ ไม่ใช่ว่าพอเข้าฉากจริง ก็บอกว่าไม่กล้าเล่น มันจะไปเสียเวลาคนอื่นเขา ก็ไม่ได้ทำอย่างนั้นครับ ก็ถ่ายทำกันปกติ ก็มีเขินกันเองนิดหน่อย เขินคนรอบข้างด้วย นิดนึงอะครับ”

วอร์ “มันก็ไม่ขนาดนั้น แต่กลับกลายเป็นว่า ฉากเลิฟซีนมันเป็นฉากที่ผ่านไปเร็วสุด เพราะว่าเราไปให้ความสำคัญกับฉากนี้มาก เลยทำให้เราทำสมาธิกับฉากนี้อยู่แล้ว ความตื่นเต้นมันก็ต้องกดไว้ ต้องเป็นมืออาชีพต่อหน้าทุกคน ถ้าเราทำพลาดมันก็เสียเวลาทุกคน”

หยิ่น “เพราะเขาก็หนักไง ถือทั้งไมค์ ทั้งกล้อง”

วอร์ “เพราะฉะนั้นฉากที่ทุกคนคิดว่ายากที่สุด มันก็เลยผ่านไปได้เร็ว เพราะเราคิดว่ามันยาก เราเลยตั้งใจที่สุด ผมว่าฉากที่ยากที่สุดของผม จะเป็นฉากที่เล่นมุกเสี่ยวๆ อะไรไม่รู้ ฟังแล้วจั๊กกะจี้ ผมยังเขินๆ ว่าเราต้องพูดอะไรแบบนี้ออกไปเหรอวะ แต่ก็ต้องเล่นไป

คือตัวผมเป็นคนพูดอะไรแบบนี้ไม่เลยครับ ผมจะไม่เล่นมุกอะไรแบบนี้ อย่างเช่นว่า ‘คิดไม่ถึงอะดิ แต่เราคิดถึงนะ’ มุกแบบนี้มันยากอ่ะ พอเราอ่านเองเล่นเองยังจั๊กจี้เลย มันควรจะเป็นมุกที่มันตลกอ่ะ ไม่ใช่มุกจีบ”

หยิ่น “ของผมน่าจะเป็นฉากดราม่า ฉากร้องไห้ เรียนการแสดงเขาไม่ได้สอนผมร้องไห้หนิ เขาสอนผมพื้นฐานมากๆ เลย ผมเล่นซีรีส์ดราม่าจ๋าเลย ในนิยายมันดราม่าเล่นไปก็กดดันไป กลัวภาพที่คนอื่นคิด เขาจะมองว่าเราเล่นอะไร ก็กดดันผมต้องทำให้ตัวเองร้องไห้ให้ได้

ก็เป็นการยากในพาร์ทตัวเอง แต่ถ้ายากในพาร์ทคู่ก็คือฉากที่เถียงกันนานๆ เถียงกัน 2-3 หน้ากระดาษ หลักในการจำก็ต้องจำเนื้อบทนั่นแหละ เปลี่ยนใจความได้แต่ต้องอิงในบทอยู่ ถ้าผมไปจำแต่คำตัวเอง แล้วไปตัดคีย์เวิร์ดเขาทิ้ง เขาก็ไม่ได้ยินคีย์เวิร์ด เขาก็พูดต่อไม่ถูก มันก็ยาก ก็คือว่าผ่านมาด้วยดีครับ แต่มองว่ามันควรดีได้อีก”

หยิ่น “ผมดีใจนะที่มีคนรู้จักเรา ไม่คิดหรอกว่าเรานั่งกินข้าวร้านนี้ แล้วพนักงานเดินมาบอกว่า ขอถ่ายรูปหน่อยค่ะ ก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ชีวิตหนึ่งของคนเราจะมีอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ ก็ดีใจครับ”

วอร์ “ผมรู้สึกที่มีคนมาติดตาม มาให้กำลังใจ สนับสนุนเราที่เราจะทำครับ ทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้นในการทำสิ่งต่างๆ ยิ่งเขาบอกว่าชอบเรา ในความเป็นตัวของเราด้วย เราก็ยิ่งโอเค เรามาถูกทางแล้ว ที่เราแตกต่างจากคนอื่น เราไม่ได้ผิด อาจจะดีด้วยซ้ำ ก็เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นอยากที่จะเป็นตัวเองให้มากขึ้น”

เมื่อความดังมาพร้อมดราม่า จนใจดาวน์สุดๆ

วอร์ “ตอนนั้นใจเราดาวน์มากครับ คือเราอยากจะบอกทุกคนไปตอนนั้นมันก็ไม่ได้ เพราะมันจะส่งผลกระทบกับหลายฝ่าย เราก็ได้แต่เงียบ นั่งมองคำด่าว่าและปล่อยไปก่อน”

หยิ่น “มันต้องรอทางผู้ใหญ่เขาเคลียร์กันก่อนครับ คือเราข้ามหน้าเขาไม่ได้ ถ้าเราออกไปพูดปุ๊บ สร้างความเสียหายทั้งในอนาคตและต่อตัวเราเอง ก็อยู่อย่างนี้ถูกแล้ว มันเป็นปัญหาระดับชาติด้วย ก็ต้องให้ผู้ใหญ่เขาเคลียร์กัน”

วอร์ “แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ได้อยู่คนเดียวครับ ได้อยู่ด้วยกัน แก้ปัญหาเบื้องต้นด้วยกัน พากันไปทำบุญ สงบสติอารมณ์ด้วยกัน”

เราอยู่ด้วยกันตลอดเวลา

เมื่อถามว่า เห็นสนิทกันมากขนาดนี้ คุยไลน์กันบ่อยมั้ย วอร์ บอกกับเราว่า “เราไลน์คุยกันไม่บ่อย เพราะว่าเราอยู่กันตลอด ช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกันมากที่สุดไม่เคยเกิน 5 วันเลย ส่วนมากใน 1 เดือนเราจะอยู่ได้ด้วยสัก 25 วันแล้ว ก็เลยแบบพอไม่เจอกันไม่รู้จะคุยอะไรกันแล้ว หรือถ้าเป็นมีมในโซเชียลก็จะแท็กหาไป หรือถ้าเป็นเรื่องที่เราคุยกันค้างไว้ พอบังเอิญไปเห็นก็จะส่งเอามาให้ดู”

หยิ่น “เอาจริงๆ เวลาอยู่ด้วยกัน เราไม่ค่อยคุยกันนะ เพราะผมคุยไม่เก่ง ไม่ว่ายังไงก็ตามผมไม่ชอบอยู่กัน 2 คน ต้องมีคนที่ 3 ที่ทำให้บรรยากาศมันไม่เงียบเกินไป ผมอยู่ 2 คนผมชวนคุยไม่เก่ง ถ้ามี 3 คนสามารถคุยได้แล้ว คุยกันไปเรื่อยๆ ถ้า 2 คนบรรยากาศมันเงียบ”

วอร์ “ถ้าเรื่องที่สนใจผมจะพูดเยอะ แล้วไม่สนใจด้วยว่าใครจะฟัง(หัวเราะ)”

หยิ่น “เรื่องที่น่าจะถกเถียงกัน และคุยกันมากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ เขาชอบมาก ผมก็ชอบนะ แต่ก็แค่ศึกษาเบื้องต้น เพราะว่าเราขี้เกียจรู้ขนาดนั้น แค่รู้แล้วก็จบ ผมชอบฟังแล้วจบแค่นั้น แต่ถ้าสงสัยในจุดไหนก็เสิร์ชกูเกิล”

สนิทมากกว่าความเป็นเพื่อน

หยิ่น “เราเพิ่งเล่นซีรีส์ด้วยกันปีนี้เองครับ ถ้าถามว่ารู้จักกันตอนไหนน่าจะประมาณเกือบ 2 ปีที่แล้ว”

วอร์ “เราสนิทกันมากเหมือนแบบคนสนิทกัน”

หยิ่น “มากอ่ะ คือสนิทกัน มันไม่ใช่ในมุมของเพื่อนอ่ะ ถ้าสนิทกันแบบเพื่อนมันสามารถแก้ผ้าต่อหน้ากันได้(ยิ้ม) แต่มันไม่ได้ถึงขั้นนั้นครับ”

วอร์ “มันแค่ขั้นกางเกงใน(ยิ้ม)”

หยิ่น “มันสนิทกันเป็นความสัมพันธ์พี่น้องที่โคตรสนิทกันเลย แทบจะนับถือกันจริงๆ แล้ว”

วอร์ “เวลาน้องเขามีปัญหาจะเป็นคนที่เงียบ ถ้าอันไหนที่เขาแก้ไขเองได้ เขาก็จะแก้เอง เขาจะมีความคิดว่าจะไม่เอาคนอื่นมาเครียดกับเรา”

หยิ่น “คือตัวผมเป็นแบบนี้ตลอด แม้กระทั่งเพื่อนที่สนิทกันมากๆ ผมก็ไม่เคยบอกปัญหาของผมให้ จนมันสุดทางไม่มีทางเลือก ก็เลยต้องลองเปิดรับความคิดคนอื่นดูบ้าง กับพี่เขาผมก็สนิทแบบนั้นเหมือนกัน ด้วยความที่นิสัยผม ผมไม่ชอบบอกใคร จนมันสุดทางก็ค่อยถามคำแนะนำ อะไรที่มันลำบากใจก็ค่อยถาม ส่วนมากจะเป็นแบบนั้นมากกว่า

กับพี่วอร์ที่ผมไปปรึกษาเขาเท่าที่ผมจำได้ก็แทบจะไม่มี ส่วนมากจะเป็นปัญหาร่วมกัน เราก็นั่งคุยกันตรงนั้นเลย”

สิ่งที่ทุกคนเห็นไม่ใช่การแสดงแต่มันคือความจริงใจ

หยิ่น “แฟนคลับจิ้นก็สนุกดีครับ ก็เป็นสีสันให้เขาไป ในทุกอย่างที่เขาจิ้นมาจากความเป็นธรรมชาติจากตัวเรา เพราะผมก็ไม่เคยที่จะไปเสริมเติมแต่งอะไร หรืออยู่ๆ ไปจับแก้มให้แฟนคลับดู พวกเราทั้งคู่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลย มันดูจะไม่จริงใจต่อกัน อยู่ๆ ให้ผมไปจับแก้มเพราะแฟนคลับชอบ มันก็รู้สึกไม่สบายใจแล้ว เหมือนเราไม่จริงใจต่อเขาแล้ว”

วอร์ “ความจิ้นมันไม่ได้มาจากการแสดงของเรา แต่ถ้าแฟนคลับอยากเห็นเราก็แกล้งจับมือกันได้ เราเคยพูดก่อนจะเริ่มซีรีส์แล้วว่า เราเป็นนักแสดง เราต้องทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด นอกเหนือจากนั้นก็คือความสัมพันธ์ที่มันจริงดีกว่า ความจริงใจต่อกันจริงๆ”

หยิ่น “ถ้าคนจะจิ้น การหยิบขนตามันก็จิ้นได้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลมันคือความจริงใจต่อกัน ความเป็นธรรมชาติ”

หยิ่น “เราไม่มีทางที่จะไม่ได้มาเจอกัน เพราะเราอยู่ค่ายเดียวกัน(หัวเราะ) ผมบอกตลอดเลยถึงแม้ในอนาคตจะดังขนาดนั้น หรือว่าจะแยกไปทำอย่างอื่น ผมก็ยินดีที่จะสนับสนุนเขา เราไม่ได้สนิทกันเพราะการแสดง แต่เราสนิทกันเพราะการทำงาน เหมือนเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง

ถึงเราทำงานกันคนละที่ก็ยังสนิทกันอยู่ แต่ถ้าเราจะต้องไปจิ้นกับคนอื่น อันนั้นก็แล้วแต่อนาคตที่มันจะถูกวางไว้ครับผม แต่ก็ไม่น่าจะแยกกันเร็วๆ นี้ ยังมีโปรเจกต์ร่วมกันยาวๆ ตลอดครับ”

มีความฝันอยากเป็นเสาหลักของบ้านให้ได้

หยิ่น “ผมอยากอยู่ในจุดที่ผมเลี้ยงดูครอบครัวได้แล้ว คือ ณ ตอนนี้ผมยังทำไม่สำเร็จหรอก ผมเลี้ยงได้แค่ฝั่งที่ไทยไง ผมยังไม่สามารถเลี้ยงดูพ่อที่ฮ่องกงได้ พ่อผมทำงานเหมือนเป็นลูกจ้างเขา เพราะเขาอายุเยอะแล้ว ทำงานที่ไหนบริษัทจะไม่ค่อยรับ ถึงแม้ว่าจะมีความสามารถขนาดไหน ก็เลยทำงานได้แค่พอหาเลี้ยงครอบครัว

จริงๆ ผมไปหาพ่อที่ฮ่องกงบ่อยนะครับ เพราะย่าผมอายุจะร้อยปีแล้ว ผมก็เลยแบบทุกๆ ช่วงปีมันมีความสำคัญ ไม่รู้เขาจะไปเมื่อไหร่ วันเกิดก็จะไปรวมญาติ ที่นั่นเขาชอบรวมญาติ แต่อุปสรรคก็คือภาษา ผมพอพูดอังกฤษได้เลเวลหนึ่งในการสื่อสาร

แล้วคนที่โน่นภาษาอังกฤษก็จะเป็นภาษารอง พ่อผมพูดภาษาฮ่องกง ไทย อังกฤษได้ครับ คือตอนนี้ผมดูแลได้แค่ฝั่งไทย ยังเหลือฝั่งพ่อ ถ้าเราสามารถดูแลได้ทั้งสองฝั่งได้ ก็คือถือว่าสมบูรณ์มากแล้ว และอยู่ในวงการไปเรื่อยๆ มีร้านอาหารก็คงหยุดมั้งครับ”

วอร์ “ยังไม่รู้เลยว่าผมจะทำไปได้ไกลแค่ไหน จริงๆ ผมก็อยากทำไปจนถึงจุดที่ทำให้ครอบครัวสบาย แต่ว่าผมไม่ได้มีปัญหาทางครอบครัว ก็เลยเอาให้ชีวิตคนรอบข้างกับเรามันมั่นคงดีกว่า

แล้วผมอยากลองทำงานที่มันมองข้ามเกี่ยวกับเรื่องเงินดูบ้าง ถ้าเกิดเรื่องการแสดงอยากเล่นบทดีๆ สักครั้ง ถ้าเกิดถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ผมก็จะออกมาทำอย่างอื่น ผมชอบด้านงานศิลปะเหมือนกัน อยากจะลองไปเรื่อยๆ ว่ามันจะต่อยอดได้ขนาดไหน”

ถ้าผมไม่ได้ทำงานในวงการบันเทิง น่าจะเป็นดีไซเนอร์ นักออกแบบ ครีเอทีฟครับ ตอนเรียนผมก็ทำงานส่งไปประกวด พอเข้ารอบก็ไปพรีเซนต์ครับ”

หยิ่น “ผมโอเคกับจุดที่ยืนจุดนี้นะครับ อย่างที่บอกผมช่วยให้ครอบครัวฝั่งไทยหายใจได้แล้ว พวกกับงานที่ทำมันมีความสุขเลย ต้องเท้าความก่อนเลยว่า เมื่อก่อนผมมีความคิดอยากเป็นนักแสดงอยู่แล้ว แต่ใช้ชีวิตไปพักหนึ่งก็คิดว่าน่าจะไม่มีโอกาสแล้ว

เพราะผมก็ไม่เคยไปวิ่งแคสต์งานเลย ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง อยู่ๆ โอกาสมันก็เข้ามา ถามว่าฝันมั้ยมันก็ฝันนะ แล้วก็มีความสุข ได้ไปเจอคนที่รักเราและทำให้เขายิ้มได้ ผมก็มีความสุขแล้ว ผมชอบงานอย่างนี้มาก”

หยิ่น “ผมเรียนวิศวะคอมพิวเตอร์ครับ เลือกเรียนเองบนพื้นฐานของความจำเป็นต้องเรียน เพราะผมมองว่า ในอนาคตโลกสมัยใหม่มาก ถ้าเราเป็นบุคลากรที่มีความรู้ด้านไอที โลกอาจจะต้องการตัวเราก็เลยเลือกอันนี้เป็นพื้น ถามว่าชอบมั้ย ผมไม่ได้ชอบหรอกแต่ว่าผมทำได้เฉยๆ เกรดเฉลี่ยถือว่าดีอยู่ครับ

แต่ผมมองว่ามันไม่ได้วัดอะไรผมขนาดนั้น ในเกรดมันมีความโชคดีอยู่ ที่เราอ่านหนังสือตรงจุด และเราเป็นคนมีเซ้นส์ในการทำข้อสอบ แต่ถ้าถามเรื่องการเรียนมหาวิทยาลัย คุณไม่ได้อะไรมากกว่าสิ่งที่เป็นอยู่

เพราะมันเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วทั้งนั้น มันเป็นพื้นฐาน ทั้งหมดทั้งมวลที่จะทำงานได้ คือเข้าไปสมัครงานที่ตรงสาขาแล้วเจาะลึก เหมือนเราเรียนพื้นฐานที่วิศวะกรควรรู้และไปทำงานด้วย เขาจะได้ไม่ต้องมาสอนเราใหม่”

เกินไปฝันมาก ไม่กล้าพูดว่าตัวเองดัง แต่ภูมิใจ

หยิ่น “มันเกินฝันครับ ตอนนี้ผมก็ยังไม่ค่อยกล้าพูดได้ว่าตัวเองดังเท่าไหร่เลย มันรู้สึกเขินๆ ตัวเอง แต่รู้สึกภูมิใจในทุกๆ อย่างที่มันเกิดขึ้น ภูมิใจที่กล้าตัดสินใจทั้งๆ ที่ตัวเองแทบจะไม่กล้าทำอะไรด้วยซ้ำ

แล้วก็ภูมิใจคนที่เขาไม่ได้คาดหวังอะไรกับเรามากมาย แต่เขารักเรา และภูมิใจในตัวเองที่ได้ช่วยเป็นความคิดดีๆ เป็นพลังบวกดีๆ ที่เขารอจากเราอยู่ คือมันภูมิใจมากเลยครับ”

วอร์ “รู้สึกไม่คาดคิดเหมือนกันว่ามันจะมาได้ไกล อย่างที่บอกว่า จริงๆ แล้วตั้งแต่เริ่มซีรีย์มาเลย แค่คนดูแฮปปี้ผมก็โอเคแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะติดตามและชื่นชอบพวกเราขนาดนี้ ดีใจและภูมิใจครับ อันนี้ฝีมือเราส่วนหนึ่งด้วยแหละ อีกส่วนก็ฝีมือของทีมงาน

เหมือนเราได้เป็นส่วนหนึ่งของความยิ่งใหญ่ เหมือนเราทำงานเป็นทีมแล้วประสบความสำเร็จ มันอาจะเป็นอีกส่วนของชีวิตที่เราทำสำเร็จแล้วมาได้ไกลขนาดนี้ ได้มีวันนี้ ได้มีแฟนคลับติดตามเยอะ ตอนที่เล่นซีรีย์เราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย แค่อยากให้คนดูคิดว่าเด็กคนนี้มันเล่นดี เข้าถึงบทได้”

กำลังใจของแฟนคลับ คือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด

วอร์ “ฝากผลงานพวกเราในอนาคตด้วยครับ ข่าวดี เซอร์ไพรส์อะไรต่างๆ ก็รอลุ้นกันครับ และขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามเราตั้งแต่แรกที่เข้ามา ขอบคุณทุกคนเลยที่เป็นแรงผลักดันมาจนถึงวันนี้

ถ้าไม่มีทุกคนก็ไม่มีเราในวันนี้หรอก ยินดีที่ได้เป็นกำลังใจให้ทุกคน มันมีค่าสำหรับเรา และรู้สึกว่าเรามีค่าที่ได้ให้ครับ อยากให้เป็นกำลังใจแบบนี้ไปเรื่อยๆ ครับ”

หยิ่น “อยากให้ติดตามพวกเราสองคนครับ ติดตามกันไปเรื่อยๆ ครับ ขอบคุณที่สนับสนุนพวกเราครับ(ยิ้ม) และขอบคุณที่ทำให้พวกเราได้กล้าทำสิ่งใหม่ๆ แม้ว่ามันจะออกมาห่วยยังไง

แต่ก็ยังมีทุกคนยืนพื้นที่จะชมเรา ขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่เป็นกำลังใจให้เราได้กล้าทำมากๆ เลย มันสำคัญจริงๆ ซึ่งถ้าไม่มีพวกเขา แล้วผมลองทำอะไรก็ตาม ผลลัพธ์มันห่วย ไม่มีใครสนับสนุนไง

ขอบคุณจริงๆ ที่ทำให้พวกเรากล้าทำครับ ทุกวันนี้ยังสลัดความเขินไม่ได้เลยครับ(ยิ้มเขิน) ให้เลือกเขินกับมั่นหน้า ผมเลือกเขินดีกว่า ผมไม่กล้าที่จะมั่นขนาดนัน้ มันไม่กล้าจริงๆ ถึงแม้จะเป็นแฟนคลับที่เจอกันบ่อยๆ อยู่แล้ว แรกๆ ก็ยังเขินๆ คุยกันจนละลายพฤติกรรมไป แล้วกลับมาเจอกันใหม่อีกครั้งผมก็ยังเขินเหมือนเดิมครับ”

วอร์ “ผมก็เขินครับ เพราะเราใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอด ไม่เคยมีใครมาจับจ้องเรา ครั้งแรกมีคนมายืนถ่ายรูปเรา ผมก็จะค่อยๆ เข้ามาในวงเขา แล้วเขาจะถอยออกมาเรื่อยๆ ผมจะไม่กล้าอยู่คนเดียวตรงกลางไง (ยิ้มเขิน)”

หยิ่น “ถ้าออกไปร้องเพลงหรืออะไรผมทำได้ แต่ถ้าเจอคนเยอะๆ ก็ยังเขินอยู่ดี ก็ต้องสลัดความเขินออกไปก่อนแล้วทำหน้าที่เรา แต่ถ้าต้องมาเจอมาคุยเล่นกัน ผมก็ยังเขินอยู่ดีครับ(ยิ้ม)”.

ผู้เขียน : โอ้ว…ซาร่า

ช่างภาพ : วัชรชัย คล้ายพงษ์

กราฟิก : Supassara Taiyansuwan

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1938861
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1938861