“พัดชา” สุดงง ป่วยเป็น “โรคซึมเศร้า” โชคดี “ปิงปอง” เข้าใจ ประกาศชัด “ไม่แต่ง”


ให้คะแนน


แชร์

“พัดทำงานในวงการมา 10 กว่าปีแล้ว แต่ว่างานดีเจเพิ่งเป็นหน้าใหม่ จัดรายการมาได้ 4-5 เดือน เริ่มจากเราเคยมาโปรโมตซิงเกิลที่นี่ เป็นช่วงสัมภาษณ์ยาว 2 ชม. เราก็ตกใจที่ให้เรามานั่งเม้าท์ยาว ปรากฏว่าคุยไปเกินเวลา (หัวเราะ) แล้วทีมงานก็แซวว่ามาเป็นดีเจที่นี่เลยมั้ย เราบอกเอาจริงนะก็มาทำเดโมเลย จากนั้นก็ใช้เวลาฝึกอยู่นานประมาณหนึ่งเลยนะ หาความลงตัว เรา เป็นตัวเองด้วยและเป็นการสื่อสารที่ชัดถ้อยชัดคำ และเข้าใจง่ายในระยะเวลาสั้นๆก่อนจะเข้าเพลง”

วันแรกที่ต้องเป็นดีเจเป็นอย่างไรบ้าง?

“วันแรกตื่นเต้นมากค่ะ ไม่ได้ตื่นเต้นแบบนี้มานานมากแล้ว มือไม้สั่นไปหมดเลย ถามว่ามันแตกต่างจากที่เคยทำมาอย่างไร สำหรับพัดมันแตกต่างเลย แม้แต่งานพิธีกรก็แตกต่างด้วยนะ เพราะงานพิธีกรเราใช้ร่างกายแสดงออกและมีสคริปต์ให้ แต่ดีเจมันค่อนข้างเป็นตัวเองในแบบที่ย่อยง่าย เราต้องจินตนาการเพราะมันไม่มีภาพ มีแต่เสียงอย่างเดียวแล้วเราต้องสื่อสารให้เข้าใจภายใน 1-2 นาที เล่าให้จบเรื่อง พัดว่ามันยาก ถึงตอนนี้ยังตอบไม่ได้เต็มที่ อีกหนึ่งหน้าที่ของดีเจต้องสัมภาษณ์ด้วย อันนั้นยังไม่เคยเจอ คงจะตื่นเต้นมากกว่าเดิมแน่ๆ ปกติพัดมานั่งอีกฝั่งหนึ่งเป็นคนถูกสัมภาษณ์ ไม่เคยเห็นเลยว่าดีเจเวลาอยู่กับแผงคอนโทรลทั้งหมดต้องทำอะไรบ้าง”

เริ่มเข้าที่เข้าทางหรือยัง?

“เริ่มพูดจารู้เรื่องแล้วค่ะ (หัวเราะ) ได้รับคำชมว่าพูดจารู้เรื่องแล้วนะ แรกๆเรายังไม่รู้ว่าจะเล่นมุกอะไร คนจะเข้าใจมั้ย ต้องเลือกเรื่องมาเล่าให้เข้ากับช่วงเวลาที่เราจัด อย่างพัดจัดช่วงกลางคืน ต้องมีหัวข้อที่เหมาะสม เช่น นอนไม่หลับทำยังไง หรืออีเวนต์อะไรน่าสนใจเราหยิบมาเล่าได้บ้าง”

คาแรกเตอร์ในการเป็นดีเจของพัดเป็นแบบไหน?

“สดใสค่ะ เพราะเสียงเวลาพูดไม่ได้ฟังดูแล้วอบอุ่น (หัวเราะ) อยากให้คนฟังเขาฟังแล้วสบายใจกับมีเราเป็นเพื่อน ไม่ถึงขนาดต้องซีเรียสมาก เรื่องที่นำมาพูดคุยก็ไปในทางสนุกบ้าง หรือมีสาระให้บริโภคง่ายๆเป็นสไตล์นั้นค่ะ”

ในส่วนของงานเพลงล่ะ?

“มันดีเหมือนกันตรงที่เวลาเราทำงานหลายๆด้านในวงการบันเทิง เราจะได้ใช้หลายๆมุมของเราแสดงออกมา เป็นดีเจเราทำหน้าที่สื่อก็ต้องใช้คาแรกเตอร์นึง พอเป็นนักร้องเราตีความซิงเกิลของเราได้ด้วยตัวเอง หลังๆมานี้แต่ละซิงเกิลที่ออกมามักจะใช้คอนเทนต์ที่ออกมาจากข้างในของเราเองเยอะ อย่างซิงเกิลต่อไปก็หลังจากผ่านความทุกข์ระทมช่วงปลายปีที่แล้วมา ก็พยายามจะตีความหามุมมองออกมาให้เป็นเพลงให้ได้ แต่ก็ยังอยู่ในช่วงประชุมกันอยู่ค่ะ เริ่มคุยกับโปรดิวเซอร์แล้วแต่ขอยังไม่บอกว่าเป็นใคร (ยิ้ม)”

มีร้องเพลงประกอบละครด้วย?

“ใช่ค่ะ อย่างเพลงรักใช่ไหม ประกอบละครม่านบังใจ ก็จะสนุกไปอีกแบบตรงที่เราได้เป็นคนอื่น เพราะถ้าเป็นซิงเกิลตัวเองเราจะไม่มีทางร้องเพลงที่ความหมายแบบนี้แน่นอน มันไม่ใช่ตัวเราค่ะ ตัวพัดเองคงไม่มีวันร้องเพลงนอกใจคน เพราะเราไม่ใช่คนแบบนั้น หรือร้องเพลงเขินคนอื่น (หัวเราะ) หลายๆครั้งที่เราร้องเพลงประกอบละคร แล้วเจอผู้จัดหรือผู้กำกับที่เขาใส่ใจกับละครเขามากๆ เขาจะมาบรีฟเองเลย จะมานั่งดูเองเลยว่าอยากได้ฟีลไหน”

ล่าสุดเราออกมาบอกว่าป่วยเป็นโรคซึมเศร้า?

“พัดยินดีอธิบายเป็นขั้นๆ การเป็นโรคต้องได้รับการรักษาวินิจฉัย กินยาอาจจะเป็นขั้นกว่า ซึ่งพัดได้พบแพทย์วินิจฉัยและดำเนินการรักษาไป แต่การเป็นภาวะซึมเศร้าสามารถดีขึ้นได้ด้วยตัวเอง พัดก็เหมือนก้าวเข้าไปค่อนตัวแล้ว ณ ตอนนั้นเพราะเรารู้ว่ามันมีอารมณ์บางอย่างที่ไม่ได้เกิดจากปัจจัยอะไรมากระทบเลย อยู่ๆมันก็ควบคุมไม่ได้”

หลังจากเราบอกว่าเป็นภาวะซึมเศร้า มีฟีดแบ็กเข้ามาหาเราอย่างไรบ้าง?

“มีเข้าทุกอย่างเลย แต่ที่เข้ามาไวที่สุดคือกำลังใจ แน่นอนคนที่ติดตามเราในโซเชียลมีเดียก็เป็นแฟนคลับซะส่วนมากอยู่ มันเป็นจุดที่ดี พัดพูดในฐานะเป็นตัวแทนของคนได้ผ่านภาวะซึมเศร้ามา บางครั้งถ้าคนที่เขากำลังเผชิญกับสิ่งนี้อยู่ ไม่ใช่ไม่อยากทำให้มันดีขึ้น แต่มันไม่สามารถดีแบบปิดก๊อกได้ ต้องใช้เวลาในการค่อยๆ ฟื้น คนรอบตัวที่หวังดีหรือคาดหวังให้เขาหายได้ไวๆ ต้องใจเย็น และบางครั้งไม่ใช่ความผิดของใครเลย ไม่ว่าจะเป็นคนที่เขาป่วยเอง หรือคนที่พยายามให้กำลังใจ ไม่มีใครผิดเลยทั้งนั้นที่จะทำให้คนนี้รู้สึกแย่กว่าเดิม เพราะบางอย่างมันควบคุมไม่ได้ มันเป็นเรื่องของเคมีในสมองจริงๆ เวลา ความเข้าใจสำคัญมาก เข้าใจในตัวของคนที่ป่วยและเข้าใจในพื้นฐานของอาการ ของพัดพอรู้สึกว่าชักจะไม่ใช่แล้ว ฉันไม่ได้ประสาทแดก ตอนแรกจะรู้สึกว่าเราขี้นอยด์หรือเปล่า เช็กทุกอย่างแล้วไม่ใช่ยิ่งหาความรู้เยอะเรื่องภาวะซึมเศร้า เราต้องพบแพทย์เมื่อไหร่ ตรงไหนถึงจะเป็นเส้นบอกว่าฉันต้องนัดหมอ ก็คุยกับพี่ปิงปองตลอดว่าถ้าพี่เห็นหนูก้าวข้ามเส้นไป พี่พาหนูไปหาหมอเลยนะ ไม่ว่าหนูจะยอมหรือไม่ยอม มันมีหลายคนที่สุดท้ายไม่อยากจะยอมรับ เพราะทุกคนอยากจะแข็งแกร่ง อยากจะยืนได้ทั้งนั้นแหละ”

ปิงปองว่าอย่างไรบ้าง?

“พี่เขาก็ใจเย็น มีหลายครั้งที่เขาก็จะเช็กจะถามให้เขานัดหมอให้มั้ยเวลาพี่ปองถามว่าให้นัดหมอมั้ยเพราะเขาเห็นว่าเราแย่ พัดก็จะให้เดดไลน์ว่าหนูขอ 1 วัน ถ้ายังไม่ดีขึ้นนัดหมอเลยค่ะ ซึ่งพัดว่าวุฒิภาวะพวกนี้ก็สำคัญ คนเราเกิดมาไม่เหมือนกันอยู่แล้ว บางคนไม่สามารถจะจัดการกับสิ่งนี้ได้ดีเท่ากัน ของพัดเลือกทดลอง อย่างปลายปีที่แล้วหนักมาก ทำงาน 1 งานแล้วเหนื่อยไป 7 วัน เจอแม่ยังคุยไม่ได้เลย พัดเริ่มต้นแก้ด้วยวิธีจากข้างนอกเข้ามาข้างใน พอเวลาเป็นแบบนี้จะมี 2 แบบ นอนเยอะมากกับไม่นอนเลย ไม่นอนเพราะมันนอนไม่หลับไม่ใช่ไม่อยากนอน ปิดไฟก็แล้ว เปิดเพลงก็แล้ว ได้แต่นอนอยู่บนเตียง คุยกับผ้าห่มเพดานไปเรื่อย”

การมาทำงานดีเจช่วยให้ภาวะซึมเศร้าทุเลาลงบ้างไหม?

“สำหรับพัดมันเป็นทุกงาน พัดเป็นคนบ้างานนิดนึง พอเริ่มทำงานจะรู้สึก ทำงาน เราก็จะลืมเรื่องตัวเองไปแป๊บนึง จริงๆ แล้วการเป็นดีเจช่วยเรื่องกิจวัตรมากกว่า ตอนนี้ทำงานมา 5 เดือนเริ่มลงตัว เราต้องทำสิ่งนี้วันนี้วันนั้น พัดจัดอาทิตย์ละ 3 วัน อีก 4 วัน พัดจะเลือกไปทำอย่างอื่นได้ มันลงตัวมากขึ้น ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่เราล่องลอยเดือนนึงผ่านไปไม่รู้ยังไงเลย”

กว่าจะผ่านมาถึงวันนี้ได้กำลังใจจากคนข้างๆ สำคัญ มีแพลนจะแต่งงานเมื่อไหร่?

“ยังไม่แต่ง ประกาศเลยค่ะว่าจะไม่แต่ง เพราะว่าเปลืองเงิน พัดมองว่าการแต่งงานมันเป็นงานสังคม มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องความรู้สึก แล้วบังเอิญว่าคุณแม่ของทั้งสองบ้านเขาเข้าใจว่ามันไม่จำเป็นจะต้องแต่งก็ได้ พี่ปิงปองก็คิดเหมือนกัน เรามาคบในช่วงที่ทุกคนไปเหนื่อยกันมาแล้ว พี่ปองก็เคยมีธุรกิจร้านอาหารซึ่งเหนื่อยมาก ตอนนี้เขาก็เลิกทำแล้วเพราะทำไม่ไหวแล้วมันเหนื่อย พัดเองก็เคยผ่านช่วงเคยมีเพลงดังเคยมีงานเยอะมาแล้ว เลยรู้สึกว่าถ้าจะต้องมานั่งทำงานหนักมากอีก ก็ยังไม่ต้องแต่งดีกว่า ถ้าการแต่งงานมันคือการสร้างครอบครัว เหมือนมีหนี้ก้อนใหม่ เราอยากมีเงินเก็บมากกว่ามีหนี้ เลยขยันเก็บเงินกันมากกว่า (หัวเราะ)”

มีความคิดอยากมีทายาทบ้างไหม?

“พัดรู้สึกว่าพี่ปองน่าจะเป็นคุณพ่อที่ดีนะแต่พัดรู้สึกตัวเองไม่ได้อยากมีลูก เรื่องแบบนี้ปรึกษากันสองคน ก็โหวตกันแค่สองคน ไม่มีใครชนะเนอะ ค่อนข้างเห็นตรงกันว่าไม่ใช่ไม่อยากมีในระดับทำหมัน แต่ก็ไม่ใช่ไม่อยากมีในระดับปรึกษาแพทย์เช่นกัน ก็ปล่อยไป ถ้ามีก็มี เวลาผ่านไปถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร”

วางเป้าหมายชีวิตตัวเองไว้แบบไหน?

“อยากมีเงินจนเกษียณ นี่พูดเรื่องจริงมากเลย เพราะเงินเป็นเรื่องสำคัญ อยากดูแลครอบครัวได้ อยากดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องมีเยอะก็ได้ ขอมีไปได้เรื่อยๆ ไม่ว่าเราจะไปอยู่ตรงไหนก็ตาม อยากพยายามยืนหยัดร้องเพลงไปได้นานๆ เพราะเป็นอาชีพที่พัดทำมาหลายด้านแล้วในวงการบันเทิง การร้องเพลงยังมีความสุขที่สุดอยู่ดี มีคนถามทำไมไม่เล่นละคร เราก็เล่นได้ แต่พัดว่างานแต่ละอย่างมีความถนัดต่างกัน ถ้าไปบังคับบางคนที่เขาเล่นละครเก่งมากแต่ไม่ได้ถนัดร้องเพลงนัก เขาก็อาจจะไม่สะดวกเหมือนเรานั่นแหละ เราเคยเล่นละครมาบ้างแล้วก็รู้สึกไม่ใช่ทางของเรา แต่ให้เป็นพิธีกรเป็นดีเจถนัดกว่าค่ะ”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1954559
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1954559