BTS เกณฑ์ทหาร จุดเสี่ยง K-WAVE สภาเกาหลีถกผ่อนผันให้ K-POP


ให้คะแนน


แชร์

นี่คือ ภาพสะท้อนถึงความคลั่งไคล้จากส่วนหนึ่งของ ARMY ที่ขอร่วมลงทุนกับกลุ่มศิลปินที่พวกเขารัก ด้วยการเข้าซื้อหุ้น Big Hit ทันทีที่เปิดให้มีการซื้อขาย ซึ่งมีอยู่ท่วมท้นในโลกโซเชียลมีเดีย

ด้วยเหตุนี้ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใช่ไหม? ที่เมื่อเปิดตลาดมันจะปรับตัวไปอยู่ที่ 225 ดอลลาร์สหรัฐฯ (7,034 บาท) ซึ่งแม้จะลดลงจากระดับสูงสุดที่ทำได้ตอนเปิดตลาด แต่ยังคงมากกว่า IPO ถึง 90% ที่ 118 ดอลลาร์สหรัฐฯ (3,688 บาท) และเป็นผลทำให้ Big Hit กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ารวมสูงถึง 7,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ! (2.38 แสนล้านบาท) (ตัวเลข ณ วันที่ 15 ก.ย. 2020) และตัวเลข 7,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อันเจิดจ้านี้ ได้ส่งผลให้ Big Hit กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงกว่ามูลค่าของ BIG 3 มารวมกันเสียอีก!

และปรากฏการณ์อันสุดเหลือเชื่อเกินจินตนาการนี้ บังเกิดขึ้นได้ Big Hit คงต้องขอบคุณ BTS เป็นอย่างสูง เนื่องจากรายได้ของบริษัทเมื่อปีที่ผ่านมานั้น 97% มาจากศิลปินวงเดียว คือ BTS นั่นเอง!

หากแต่…ท่ามกลางความสำเร็จในระดับปรากฏการณ์ที่น่าทึ่งนี้ บรรดานักวิเคราะห์ด้านการลงทุนต่างมองภาพที่ตัดกับบรรดากองทัพ ARMY นั่นเป็นเพราะอุตสาหกรรมบันเทิงของเกาหลีใต้นั้น อาจมีความสลับซับซ้อนที่ต้องเพิ่มความระแวดระวัง โดยเฉพาะสิ่งที่ยังมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งก็คือ เมื่อถึงเวลาที่บรรดาโอปป้าทั้งหลายต้องอำลา (ชั่วคราว) เพื่อเข้ากรมรับใช้ชาติ!

“ก่อนหน้านี้กว่า 90% ของรายได้ Big Hit Entertainment มาจาก BTS ซึ่งประเด็นนี้ย่อมถือว่ามีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน พวกเขาได้เริ่มเปลี่ยนโครงสร้างรายได้ไปสู่พอร์ตการลงทุนอื่นๆ บ้างแล้ว” ปาร์ค จูกู (Park Ju-gu) นักวิเคราะห์ธุรกิจจาก CEO Score วิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Big Hit Entertainment ได้เริ่มเข้าซื้อบริษัทค่ายเพลงมากขึ้น เพื่อพยายามเฟ้นหา “สตาร์ที่รอการเจียระไน” และล่าสุด มีการเดบิวต์ Boy Band น้องใหม่ ที่มีชื่อว่า TXT หรือ Tomorrow X Together รวมถึงต่อยอดช่องทางทำเงินจากศิลปินที่มีในมือ ด้วยการเปิด Platform ที่มีชื่อว่า Weverse เพื่อดูดเงินจากแฟนคลับ แลกเปลี่ยนกับ Exclusive Content และสิทธิพิเศษที่จะสามารถส่ง Message ถึงศิลปินที่ตนเองชื่นชอบได้ “จี อิน แฮ” (Ji In-hae) นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ Hanwha ให้ความเห็น

หากแต่…ความพยายามดังกล่าวดูจะยังต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์อีกสักระยะ โดยเฉพาะการปลุกปั้นศิลปินหน้าใหม่ขึ้นมาหารายได้เพิ่มเติม เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา รายได้ของ Big Hit ถึงเกือบ 88% ยังคงมาจาก BTS เพียงวงเดียว ตามหนังสือชี้ชวนเสนอขายหน่วยลงทุน (IPO) ที่เพิ่งมีการเผยแพร่เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา และจนถึงปัจจุบัน ยังคงไม่มีศิลปินคนใดของ Big Hit ที่สามารถเข้าใกล้มาตรฐานความสำเร็จเช่นเดียวกับที่ BTS ขีดเส้นไว้ได้เลย!

ซึ่งประเด็นนี้ อาจนำมาซึ่งเครื่องหมายคำถามของนักลงทุน โดยเฉพาะเมื่อ…สมาชิก Boy Band ทำเงินทำนองนี้ ต้องเริ่มทยอยปลีกเวลาไปรับใช้ชาติ!

ตามกฎหมายของประเทศเกาหลีใต้ ผู้ชายที่สุขภาพแข็งแรงปกติทุกคน ต้องเข้ารับราชการทหารเป็นระยะเวลา 18 เดือน อย่างไรก็ดี บรรดาโอปป้าทั้งหลายสามารถขอผ่อนผันการเข้ากรมกองได้ด้วยเหตุผลทางการศึกษา หรือติดภารกิจ Special Training ได้ จนกระทั่งถึงอายุ 28 ปี

ทำให้ในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ บรรดา ARMY ทั้งหลาย จึงอาจต้องเตรียมไปส่ง JIN (Kim Seok-jin) หนึ่งในสมาชิก BTS ที่จะมีอายุครบ 28 ปีบริบูรณ์ เข้ากรมก่อนเป็นคนแรก จากนั้นเมื่อถึงเดือนมีนาคม 2021 SUGA (Min Yoon-gi) ก็จะกลายเป็นสมาชิกคนที่ 2 ที่ต้องทำหน้าที่เป็นรั้วของชาติคนต่อไป

อย่างไรก็ดี ประเด็นปัญหานี้ แม้จะถือว่ามีความอ่อนไหวต่อนักลงทุนเป็นอย่างยิ่ง แต่ Big Hit สามารถขจัดความกังวลในเรื่องนี้ออกไปได้เล็กน้อย โดยยืนยันว่า JIN กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาในระดับปริญญาโท ซึ่งอาจทำให้สามารถยืดระยะเวลาเข้ากรมไปได้จนกระทั่งถึงอายุ 29 ปี ตามกฎหมายของเกาหลีใต้

นั่นเท่ากับปัญหาใหญ่ของ Big Hit ไม่ได้หมดไป เพียงแต่…มันเดินมาถึงช้าลงเท่านั้น เพราะไม่ว่าอย่างไร สมาชิกทั้งหมดของ BTS ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการไปทำหน้าที่รับใช้ชาติตามกฎหมายได้ ถึงแม้ว่าประเด็นปัญหาที่ว่า เหตุไฉนโอปป้า K-Pop จึงไม่เคยได้รับการยกเว้นการเข้ากรมกองเหมือนเช่นที่บรรดานักดนตรีคลาสสิก หรือนักกีฬาชั้นนำบางคนที่สร้างชื่อเสียงให้กับเกาหลีใต้บ้าง?

“การให้คุณค่าสำหรับคุณูปการระหว่าง Korea Wave (ผู้ทำให้เกิดความคลั่งไคล้ต่อวัฒนธรรมเกาหลี) และการทำเพื่อประเทศชาตินั้น ในประเทศเกาหลีใต้ยังมองประเด็นนี้ว่า มีความแตกต่างกันมาก อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน มันน่าจะถึงเวลาแล้วสำหรับการหารืออย่างจริงจังว่า ควรทำอย่างไรให้บรรดาชายหนุ่มที่น่าภาคภูมิใจของเราเหล่านี้สามารถรับใช้ชาติได้ดีที่สุด โดยรัฐสภากำลังพิจารณาร่างกฎหมายที่จะอนุญาตให้เหล่าไอดอล K-Pop สามารถผ่อนผันระยะเวลาเข้ากรมกองเพิ่มขึ้นอีก 2 ปีจากกำหนดเดิม” โน อง แร (Noh Woong-rae) นักกฎหมายจาก a lawmaker from the ruling Democratic Party ให้ความเห็นที่ทำเอาบรรดาด้อมทั้งหลายภาวนาให้เป็นจริง

เอาล่ะ…นั่นคือเรื่องของอนาคต ตัดภาพกลับมาที่ปัจจุบัน

ไม่ว่าจะมองมุมไหน คงปฏิเสธได้ยากว่า การหายหน้าไปจากสปอตไลต์ของสมาชิกทีละคนสองคนเป็นเวลาเกือบ 2 ปีนั้น ย่อมต้องส่งผลกระทบต่อ BTS อยู่บ้างไม่มากก็น้อย

“ในเวลาที่บรรดาไอดอลหายตัวไปรับใช้ชาติ สำหรับแฟนคลับชาวเกาหลีถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างปกติและคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แต่สำหรับในตลาดต่างประเทศมันต่างออกไป โดยเฉพาะกับแฟนคลับกลุ่มใหม่ๆ ที่เพิ่งรู้จักกับ BTS ซึ่งนั่นอาจทำให้เกิดช่วงเวลาแห่งความอึดอัดขึ้นได้ ถึงแม้ว่า บรรดาด้อม ARMY จะยังจงรักภักดีต่อบรรดาโอปป้าอยู่ก็ตาม” ซาอิจิ (Saeji) the Indiana University professor ให้ความเห็น

ความสุ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องจนสูญเสียชื่อเสียง

“ความสุ่มเสี่ยงสำหรับประเด็นนี้ในวงการบันเทิงเกาหลีใต้มีบทเรียนให้เห็นกันมาแล้ว หุ้น YG Entertainment หนึ่งในยักษ์ใหญ่วงการบันเทิงเกาหลี ต้องร่วงลงอย่างหนัก หลังสมาชิกวง BIG BANG กลายเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาคดีค้าประเวณีและการพนัน ถึงแม้ว่าในเวลาต่อมา เขาจะออกมายืนยันว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ตาม นั่นแปลว่า อะไรที่สามารถทำให้บริษัทได้รับความเสียหายนั้น ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ” ซน บยอง โฮ (Son Byong-ho) formal Lawyer

อย่างไรก็ดี สำหรับประเด็นนี้ ซาอิจิ (Saeji) ศาสตราจารย์ประจำ Indiana University มองต่างออกไป

“สมาชิก BTS ทั้ง 7 คน มีแรงจูงใจพิเศษที่จะหลีกเลี่ยงการกระทำอะไรก็ตามที่อาจนำมาซึ่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของวง นั่นเป็นเพราะพวกเขาได้รับหุ้นของ Big Hit ไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งมูลค่าปัจจุบันของมันน่าจะสูงขึ้นหลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แล้ว หลังเปิดให้มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ฉะนั้น วิธีการที่ดีที่สุดที่จะรักษาความมั่งคั่งจากราคาหุ้นที่มีอยู่ในมือนี้เอาไว้ ก็คือ ทำงานของตัวเองต่อไป รวมถึงรักษาสถานภาพและการเป็นหนึ่งในสมาชิกของวงเอาไว้ให้ยาวนานที่สุด”

อย่างไรก็ดี แม้จะมีความพยายามระมัดระวังกันมากขนาดไหน แต่กรณีศึกษาล่าสุด ที่แม้คำพูดเพียงไม่กี่ประโยค ก่อนที่หุ้น Big Hit จะเปิดให้มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เพียงไม่กี่วัน ก็ทำให้เกิดผลกระทบกับ Boy Band แห่งยุคได้เช่นกัน

“พวกเรายังคงระลึกถึงประวัติศาสตร์อันเจ็บปวด ที่ทั้งเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกาได้ประสบร่วมกัน รวมถึงความเสียสละของทั้งหญิงและชายเกาหลีเหนือ”

ถ้อยคำจากปากของ คิม นัมจุน (Kim Nam-joon) หรือ RM ที่ได้กล่าวรำลึกถึงวาระครบรอบ 70 ปี สงครามระหว่างเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือ ในระหว่างขึ้นไปรับรางวัล Van Fleet Award 2020 ในฐานะมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้ง 2 ประเทศ จากองค์กร Korea Society ที่สำนักงานใหญ่ ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

ฟังผิวเผินดูราวกับถ้อยคำสดุดีวีรกรรมของเหล่าทหารผู้กล้า และแสดงความเห็นอกเห็นใจกับผู้สูญเสีย หากแต่หลังสิ้นสุดประโยคดังกล่าวเพียงไม่นาน สังคมโซเชียลมีเดียของชาวแดนมังกรก็แทบลุกเป็นไฟ นั่นเป็นเพราะ Users ชาวจีนทั้งหลาย มองว่า ถ้อยคำดังกล่าวมิได้คำนึงถึงความเสียสละของทหารจีนที่ได้เข้าร่วมรบกับเกาหลีเหนือเพื่อต่อต้านสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้

BTS ถูก Weibo โซเชียลมีเดียแดนมังกร “แขวน” ทันทีด้วย Hastags “BTS humiliated China” ได้กลายเป็นเทรนด์ที่สุดร้อนแรงบนดินแดนที่มีประชากรมากที่สุดในโลกไปในบัดดล

“หากคุณต้องการทำธุรกิจกับประเทศจีน คุณควรใคร่ครวญเรื่องความรู้สึกของบรรดาแฟนๆ ชาวจีนบ้างสักนิดนึง” หนึ่งใน User ชาวจีน โพสต์ถึงไอดอลอันเป็นที่รัก

ด้านแท็บลอยด์ชื่อดังของจีน อย่าง Global Times ใช้ถ้อยคำที่ค่อนข้างรุนแรงกับ Boy Band แห่งยุคว่า “ทัศนคติที่มองสงครามเกาหลีเพียงด้านเดียว ทำให้ชาวจีนรู้สึกเจ็บปวด แถมยังถือเป็นการบิดพลิ้วประวัติศาสตร์อีกด้วย”

แม้แต่ Zhao Lijian โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีน ก็พูดในเรื่องนี้เมื่อวันจันทร์ เมื่อถามว่า กระทรวงรู้สึกว่าความคิดเห็นของ RM เป็น “เรื่องของศักดิ์ศรีของชาติ” เขากล่าวว่า “เราทุกคนควรเรียนรู้บทเรียนจากประวัติศาสตร์และมองไปข้างหน้ารักษาสันติภาพที่รักและเสริมสร้างมิตรภาพ”

ปฏิกิริยาโต้ตอบที่รุนแรงนี้ ทำให้แบรนด์ยักษ์ใหญ่สัญชาติเกาหลี อย่าง ซัมซุง (Samsung), ฮุนได (Hyundai) และฟีลา (Fila) ในประเทศจีน ต้องถอยตัวออกห่างจาก BTS ทันที ด้วยการถอนโฆษณาและผลิตภัณฑ์ในเครือทั้งหมด เพื่อพยายามหลีกเลี่ยงการถูก Boycott จากผู้บริโภคชาวจีนที่กำลังขุ่นเคืองใจ

Smartphone Special-Edition สีม่วง ที่มีการ Collab กับ BTS หายไปจากเว็บไซต์ของซัมซุง และสารพัด Platforms ขายของออนไลน์ ในประเทศจีน เช่นเดียวกับฟีลา ซึ่งใช้ BTS เป็น Brand Ambassador มาตั้งแต่ปี 2019 รวมถึงฮุนได ในปี 2018 ทั้ง 2 บริษัทต่างรีบนำชื่อวง BTS ออกจากบัญชีโซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางการในประเทศจีนทั้งหมดทันทีด้วยเช่นกัน

ตั้งแต่ปี 2017 จนถึงปัจจุบัน (2020) รัฐบาลจีนยังคงมีคำสั่งแบนผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรม K-pop ทั้งเพลงและภาพยนตร์ ภายหลังจากรัฐบาลปักกิ่งไม่พอใจที่รัฐบาลกิมจิ ยินยอมให้มีการติดตั้งระบบขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศ THAAD ของกองทัพสหรัฐฯ ในประเทศเกาหลีใต้ เนื่องจากปักกิ่งถือว่าเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของประเทศจีน

อย่างไรก็ดี แม้ว่าเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ศิลปิน K-pop หลายคน เริ่มจะได้ทำสัญญากับบริษัทในประเทศจีน ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณที่ดีว่า ความขึ้งโกรธของรัฐบาลปักกิ่งกำลังเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ แต่ศาสตราจารย์ ลิม แด กึน (Lim Dae-geun) ผู้เชี่ยวชาญด้านอักษรศาสตร์แห่ง มหาวิทยาลัยฮันกุก (Hankuk University) ในกรุงโซล มองว่า การยกเลิกคำสั่งแบน K-pop น่าจะยังไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้อย่างแน่นอน

“นี่คือสัญญาณบวกมากๆ หากเทียบกับเมื่อ 4 ปีก่อน ที่เหล่าสตาร์ K-pop ถูกถอนโฆษณาหลายต่อหลายชิ้น แต่มันยังเร็วเกินไป หากจะตีความให้ไกลไปกว่าความเป็นจริง นั่นเป็นเพราะความสลักสำคัญของเรื่องนี้ คือ คำสั่งแบนนั้นมาจากรัฐบาลจีน ในขณะที่ ความต้องการเสพ Content จากโลก K-pop นั้น ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องเสมอในประเทศจีน”

นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องไม่ลืม คือ ปัจจุบันหนุ่มสาวชาวมังกรมักจะถูกกระตุกสำนึกแห่งความรักชาติผ่านอุตสาหกรรมบันเทิงของจีนอยู่เสมอๆ ล่าสุด ภาพยนตร์ Jingang Chuan ที่มีสงครามเกาหลีเป็นฉากหลัง และ Frant Gwo (The Wandering Earth) อันทำให้คำสั่งแบนดังกล่าวอาจเนิ่นนานออกไปก็เป็นได้

อนาคตข้างหน้าของ Big hit?

แม้จะสูญเสียโอกาสทำเงินก้อนมหาศาล หลัง World Tour ในปีนี้ ต้องถูกยกเลิกจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 แต่กระแสความโด่งดังของ BTS ยังคงแรงดีไม่มีตก โดยเมื่อเดือนมิถุนายน ทางวงได้จัด Live Stream คอนเสิร์ต Bang Bang Con ขึ้น โดยผลที่ตอบรับกลับมายังคงเกินความคาดหมาย เนื่องจากมีจำนวนแฟนคลับเข้ามาร่วมรับชมมากกว่า 750,000 คนทั่วโลก และอีเวนต์นี้ได้รับการบันทึกลง Guinness World Records ว่าเป็นการ Live Stream คอนเสิร์ตที่มีผู้เข้าชมสูงที่สุดในโลก

ซึ่งความร้อนแรงนี้เองช่วยกอบกู้ผลกำไรของ Big Hit ที่กำลังสะลึมสะลือ หลังการแพร่ระบาด Covid-19 ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2020 ได้ฉุดรายได้จากคอนเสิร์ตลดลงเกือบ 99% หากเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับเมื่อปีที่ผ่านมา ให้สามารถพลิกฟื้นกลับมามีกำไรได้อีกครั้ง และเมื่อยอดขายสตูดิโออัลบั้มชุดใหม่พุ่งทะยานขึ้นทีเดียวถึง 80% จนกระทั่งทำให้รายได้รวมช่วงปลายปีนี้ลดลงเพียง 8% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของเมื่อปีที่ผ่านมา

“หาก Big Hit ยังคงมีมูลค่าสูงแม้ในยามที่มีการแพร่ระบาดของ Covid-19 นั่นย่อมถือเป็นโอกาสที่จะได้รับแรงผลักดันมากขึ้นหลังการระบาดที่อาจเกิดขึ้นในช่วงปีหน้าก็เป็นได้” ปาร์ค (Park) นักวิเคราะห์ของ CEO Score ให้ความเห็นตบท้าย.

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
กราฟิก:

ข่าวน่าสนใจ:

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/scoop/1958579
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/scoop/1958579