ยุคทองเพลงไทย อาร์เอส-แกรมมี่ นักร้องดังยุค 90 ความเหมือนที่แตกต่าง


ให้คะแนน


แชร์

โดยเบิร์ด ธงไชย ออกอัลบั้มแรกคือ “หาดทราย สายลม สองเรา” ในปี 2529 ซึ่งขายดีไม่น้อยในฐานะศิลปินหน้าใหม่เวลานั้น จากนั้นปี 2530 ออกอัลบั้มที่ 2 “สบาย สบาย” ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ทำให้เบิร์ดดังข้ามประเทศ มีการนำลิขสิทธิ์เพลง “สบาย สบาย” ไปแปลเป็นหลายภาษา

แต่ที่โด่งดังสุดๆ จนเป็นกระแสเบิร์ดฟีเวอร์ คือตอนที่เบิร์ดเล่นละคร “คู่กรรม” ทางช่อง 7 ในปี 2533 ส่งผลให้อัลบั้มเพลง “บูมเมอแรง” ขายดีมาก ถือเป็นศิลปินคนแรกในแกรมมี่ทำยอดขายสูงกว่า 2 ล้านตลับ

หลังจากนั้นเบิร์ดยังคงมีอัลบั้มเพลงขายดีเกินล้านตลับอีกหลายอัลบั้ม อาทิ พริกขี้หนู, ธ.ธง, ธงไชย เซอร์วิส, ตู้เพลงสามัญประจำบ้าน, Smile Club, ชุดรับแขก

ซึ่งอัลบั้ม “ชุดรับแขก” เป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดของเบิร์ด คือมียอดขายมากกว่า 5 ล้านตลับ และเป็นอัลบั้มขายดีที่สุดของวงการเพลงไทย และเพราะจากกระแสความฮอตที่มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จึงทำให้เบิร์ดกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ของวงการเพลงมาจนถึงทุกวันนี้

ในขณะที่กี้ร์ อริสมันต์ ออกอัลบั้มเพลงชุดแรก “ความหมายของผู้ชายคนหนึ่ง” เมื่อปี 2532 แม้จะเป็นศิลปินหน้าใหม่ แต่กลับกลายเป็นว่าฮอตมาก เพราะอัลบั้มแรกก็มียอดขายทะลุล้านตลับแล้ว

จากนั้นในปี 2533 อริสมันต์ออกอัลบั้มชุดที่ 2 “ความหมายที่ 2 เจตนายังเหมือนเดิม” ก็ยังคงประสบความสำเร็จ มียอดขายทะลุล้านตลับอีกเช่นเคย และที่เห็นได้ชัดคืออัลบั้มชุดที่ 3 “ความหมายที่ 3 เวทีนี้ไม่มีพี่เลี้ยง” ที่ประสบความสำเร็จมาก มีเพลงดังมากอย่าง “ทัดทาน”, “ตัดไฟ” ฯลฯ ซึ่งว่ากันว่าอัลบั้มชุดนี้ขายดีกว่าอัลบั้ม “พริกขี้หนู” ของเบิร์ดด้วย

หลังจากนั้นยังมีอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จอีกหลายชุดแต่ก็ไม่เท่ากับ 3 ชุดแรก ซึ่งหลังจากปี 2540 กระแสความฮอตของอริสมันต์ก็เริ่มซาลงไป

อีกทั้งอริสมันต์ก็เริ่มผันตัวไปสมัครเป็น ส.ส. เมื่อปี 2538 และมีบทบาททางการเมืองอย่างเต็มรูปแบบ แต่ก็ยังมีผลงานในวงการเพลงเป็นระยะๆ โดยทำอัลบั้มเพลงลูกทุ่ง “กังวานทุ่ง” ปี 2542 และจัดคอนเสิร์ต “เวทีนี้ยังมีพี่เลี้ยง” ในปี 2547

ถึงแม้ทั้งคู่จะถูกเทียบเป็นศิลปินเบอร์ 1 ของแต่ละค่าย มีผลงานเพลงขายดีล้านตลับ แต่ก็มีคาแรกเตอร์ที่ต่างกัน เพราะในแง่การทำงานเพลงในแต่ละอัลบั้ม กี้ร์ อริสมันต์ เป็นคนแต่งเพลงเองส่วนใหญ่

และขึ้นชื่อว่าเป็นคนแต่งเพลงที่ใช้ภาษาต่างไปจากเพลงอื่นๆ ในตลาดเวลานั้น และมีความหมายเฉพาะตัว ดูมีความโรแมนติก

ส่วนเรื่องการร้องเพลงของกี้ร์ก็ไม่เหมือนใคร เพราะด้วยความที่ร้องเพลงเสียงกลั้วอยู่ในลำคอ คล้ายกับออกเสียงไม่ชัด ทำให้หลายคนคิดว่าอมลูกอมตอนร้องเพลง เลยได้ฉายาว่า “นักร้องเสียงอมฮอลล์”

ด้านเบิร์ด ธงไชย ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นนักร้องที่เอ็นเตอร์เทนคนดูเก่ง เสียงร้องดี รวมไปถึงการเต้นที่ถือเป็นอีกหนึ่งจุดขาย เป็นศิลปินที่มีอัลบั้มขายดีอย่างต่อเนื่อง

โดยมียอดขายอัลบั้มรวมกันมากกว่า 25 ล้านชุด เป็นศิลปินไทยที่มียอดขายอัลบั้มสูงอันดับต้นๆ ของเอเชีย และยังเป็นนักร้องที่ได้รับโอกาสครั้งสำคัญในการร้องเพลงโอกาสพิเศษต่างๆ ส่วนในมุมการเป็นนักแสดงก็ถือว่าประสบความสำเร็จเช่นกัน เรียกว่ามีความครบเครื่อง

เจ เจตริน / ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง

ถ้าพูดถึงนักร้องขาแดนซ์ในยุค 90 ที่โด่งดังมากๆ แน่นอนว่า เจ เจตริน วรรธนะสิน จากค่ายแกรมมี่ และ ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง จากค่ายอาร์เอส จะต้องถูกแฟนเพลงยุค 90 พูดถึงอย่างไม่ต้องสงสัย เรียกว่านักร้องขาแดนซ์เท้าไฟนัมเบอร์วันของแต่ละค่ายในเวลานั้นเลยจริงๆ ส่วนผลงานของแต่ละคนยังเป็นที่จดจำมาจนถึงทุกวันนี้

โดยทัชเริ่มออกอัลบั้มแรก “สัมผัสทัช” ตั้งแต่ปี 2533 มีเพลงดัง อาทิ มือที่ 3, กลัวเบื่อ และประสบความสำเร็จอย่างมากในปี 2534 กับอัลบั้มชุดที่ 2 “ทัช ธันเดอร์” ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ทัชเปลี่ยนตัวเองมาเป็นนักร้องแนวป๊อปแดนซ์ที่ผสมกับแนวแร็ปและร็อก มีเพลงฮิตดังๆ อาทิ เท้าไฟ, คิดคึก, จำไว้เลย, มาเพื่อลา

จากนั้นปี 2536 ทัชยังคงมาในแนวเพลงป๊อปแดนซ์กับอัลบั้ม “มหัศจรรย์” มีเพลงดัง อาทิ ลื่น, กลัวผี, ใจจำยอม, ไม่มีที่ไป

ปี 2538 ทัชออกอัลบั้มที่ 4 “ทัช V-4” ซึ่งยังคงเป็นแนวป๊อปแดนซ์ มีเพลงดัง อาทิ น้อยๆ หน่อย, ห่วงฉันบ้างไหม, แค่ดิน, กิ๊กเลย

แต่หลังจากที่ทัชออกอัลบั้มที่ 5 “ทัช ไซโคลน” ในปี 2541 แม้จะมีเพลงติดหู อาทิ ไม่มีใครยอม, สารภาพ, อย่าดีแต่พูด แต่ก็ไม่ได้รับการโปรโมตผ่านสื่อทีวีมากนัก เพราะข่าวฉาวที่เกิดขึ้นกับทัชในช่วงปี 2540 และหลังจากนั้นทัชออกอัลบั้มแนวเพลงป๊อปอีก 3-4 อัลบั้ม ก่อนที่จะออกอัลบั้มเพลงลูกทุ่งตั้งแต่ปี 2547

ด้านเจ เจตริน เริ่มต้นออกอัลบั้มเพลงแนวป๊อปแดนซ์ที่ผสมความเป็นแร็ปมาตั้งแต่ชุดแรก คืออัลบั้ม “จ เ-ะ บ” ในปี 2534 มีเพลงดัง อาทิ ฝากเลี้ยง, เจ็บไปเจ็บมา, กองไว้

และประสบความสำเร็จมากขึ้นกับอัลบั้ม 108-1009 ในปี 2536 มีเพลงดังหลายเพลง อาทิ ยุ่งน่า, สมน้ำหน้า ซึ่งเป็นเพลงแนวแร็ปแบบเต็มตัว รวมถึงเพลง ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะ, คาใจ, ประมาณนี้หรือเปล่า, อดทนไว้ ฯลฯ

จากนั้นเจยังคงเดินหน้าทำเพลงป๊อปแดนซ์ต่อในอัลบั้มที่ 3 “Choola…choola” ปี 2538 มีเพลงดัง ร.ฟ.ร. (Love Train), แววตา, เก็บมันเอาไว้, All I Wanna Do

แต่ในอัลบั้มที่ 4 “J:Day” ปี 2541 กลับมีเพลงฮิตเป็นเพลงช้า อาทิ อยากให้รู้ว่าเหงา, ค้นใจ ส่วนในอัลบั้มที่ 5 J-Fight ปี 2543 มีเพลงฮิตทั้งเพลงเร็วและช้า อาทิ เร่งอีก, จ. J ใจหาย, ถามคำเดียว

และอัลบั้มที่ 6 “ถ้าโลกนี้ไม่มีผู้หญิง” ปี 2546 มีเพลงฮิตเป็นเพลงช้าคือเพลง “คืนนี้ไม่มีความลับ” และเจ เจตริน กลับมาทำเพลงแนวแร็ปอีกครั้งในอัลบั้ม “Seventh Heaven” ปลายปี 2550 มีเพลงฮิตแนวแร็ปอย่าง “สวรรค์ชั้น 7”

ซึ่งจะสังเกตได้ว่าช่วงแรก เจ-ทัช จะออกอัลบั้มแนวแดนซ์ช่วงปีเดียวกันตีคู่กันมาตลอด แถมเพลงก็ประสบความสำเร็จทั้งคู่ ดังทั้งคู่แบบชนิดกินกันไม่ลงจริงๆ เรียกว่ามีเจก็ต้องมีทัช

แต่หลังจากปี 2540 กระแสความนิยมในเพลงป๊อปของทัชก็เริ่มลดลง แม้จะมีผลงานต่อเนื่อง ก่อนจะหันไปทำเพลงลูกทุ่ง แต่ในขณะที่เจยังคงมีผลงานเพลงทั้งเร็วและช้า แต่ก็ไม่ได้ทำเพลงแนวแร็ปอีก จนกระทั่งกลับมาทำเพลงแนวแร็ปอีกครั้งในปี 2550

และในปี 2560 ทำเอาขาแดนซ์ยุค 90 เซอร์ไพรส์มากๆ เมื่อ เจ เจตริน ชวน ทัช มาร่วมงานกันในคอนเสิร์ต J-DNA concert ปลุกเชื้อความมันส์ สายพันธุ์ DANCE ซึ่งในอดีตโอกาสที่ทั้งคู่จะโคจรมาเจอกันบนเวทีเดียวกันมีโอกาสน้อยมากเพราะอยู่คนละค่าย แต่ปัจจุบันทุกอย่างก็เป็นไปได้ทั้งนั้นจริงๆ

หนุ่ม ศรราม / เต๋า สมชาย / มอส ปฏิภาณ

เป็นนักร้องวัยรุ่นชายยุค 90 ที่เป็นขวัญใจใครหลายคน พูดชื่อแล้วไม่มีใครไม่รู้จัก สำหรับ หนุ่ม ศรราม เทพพิทักษ์ กับ เต๋า สมชาย เข็มกลัด จากค่ายอาร์เอส และ มอส ปฏิภาณ ปฐวีกานต์ จากค่ายแกรมมี่

ทั้ง 3 มีคาแรกเตอร์คล้ายกันคือเป็นนักร้องวัยรุ่นชายหน้าหล่อคมเข้มแบบไทยๆ มีความสดใสตามสไตล์วัยรุ่นในยุคนั้น อายุใกล้เคียงกัน และสไตล์เพลงที่คล้ายกันคือเป็นเพลงป๊อป แต่ก็มีความแตกต่างอยู่บ้าง คือหนุ่มจะขึ้นชื่อเรื่องการอำ ชอบแกล้ง เต๋าจะเป็นคนห้าวๆ ลุยๆ ส่วนมอสเป็นหนุ่มเฮฮาสดใส กวนนิดๆ

โดยจุดเริ่มต้นของการเป็นนักร้องของทั้ง 3 คนก็มีที่มาคล้ายกัน คือเป็นนักแสดงก่อนเป็นนักร้อง โดยผลงานสร้างชื่อของหนุ่มกับทางช่อง 7 ในช่วงปี 2535-2537 คือละคร อรุณสวัสดิ์ ผยอง น้ำใสใจจริง ดาวพระศุกร์ ก่อนจะออกอัลบั้มเพลงชุด “ลูกไม้ของนายหนุ่ม” เมื่อช่วงปลายปี 2537

ด้านเต๋า สมชาย มีผลงานละคร “นางฟ้าสีรุ้ง” ทางช่อง 3 ในปี 2533 และมีผลงานภาพยนตร์สร้างชื่อคือ “สะแด่วแห้ว” รวมถึงละคร “เวลาในขวดแก้ว” ปี 2535 ก่อนจะออกอัลบั้มเพลงชุด “เต๋า หัวโจก” ในปี 2536

ส่วนมอส ปฏิภาณ มีผลงานแจ้งเกิดในวงการบันเทิงจากภาพยนตร์ดัง “กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้” และซิตคอม “สามหนุ่มสามมุม” ในปี 2534 รวมถึงภาพยนตร์ “สะแด่วแห้ว” ปี 2535 ก่อนจะออกอัลบั้มเพลงชุดแรก “Mos เอ้อเฮอ”

ซึ่งน่าสังเกตว่า หนุ่ม ศรราม จะประสบความสำเร็จในด้านงานแสดงมากกว่างานเพลง เพราะถึงแม้จะมีอัลบั้มเพลงออกมาบ้าง แต่คนมักจะจดจำหนุ่มในภาพพระเอกละครมากกว่า

ด้านเต๋า สมชาย ประสบความสำเร็จในอัลบั้มเพลงชุดแรก “เต๋า หัวโจก” รวมไปถึงผลงานภาพยนตร์ “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว” และโด่งดังจากละครและภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง

ส่วนมอสดูจะประสบความสำเร็จด้านงานเพลงมากกว่าใครเพื่อน เพราะมีอัลบั้มเดี่ยวออกมาถึง 9 อัลบั้ม และอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือ “Mr.Mos ไม่รัก…ไม่ได้แล้ว” ซึ่งกวาดยอดขายไปกว่า 1.5 ล้านตลับเลยทีเดียว

แม้จะเป็นนักร้องต่างค่าย แต่ก็เป็นเพื่อนซี้กันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะด้วยความที่ มอส-เต๋า เข้าวงการบันเทิงมาได้จากการชักชวนของ พจน์ อานนท์ แมวมองชื่อดังในเวลานั้น

อีกทั้งหนุ่มกับเต๋าก็เป็นเพื่อนซี้นักร้องในค่ายอาร์เอสเช่นกัน จึงทำให้ทั้ง 3 คนรู้จักและสนิทสนมกันมานานนับสิบปี ปัจจุบันทั้ง 3 หนุ่มต่างมีครอบครัวและลูกแล้ว และยังคงเดินสายไปร้องเพลงต่างๆ ตามงานเดียวกัน อีกทั้งยังเคยเล่นละครเรื่องเดียวกันคือ “บัลลังก์เมฆ” ทางช่องวัน 31 เมื่อปี 2558 อีกด้วย

ทาทา ยัง / นุ๊ก สุทธิดา / ปุ๊กกี้ ปริศนา

ถ้าพูดถึงนักร้องวัยรุ่นหญิงในยุค 90 ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านักร้องสาวลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ทาทา ยัง จากค่ายแกรมมี่ เป็นนักร้องดังที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในยุคนั้น มีเพลงฮอตฮิตมากมาย จนเกิดยุคทาทาครองเมืองมาแล้ว

แต่ในขณะเดียวกันอาร์เอสก็ส่งนักร้องหญิงที่ออกอัลบั้มในช่วงเวลาใกล้เคียงกับทาทาอย่าง นุ๊ก สุทธิดา เกษมสันต์ ณ อยุธยา และ ปุ๊กกี้ ปริศนา พรายแสง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่ากับทาทา

โดยทาทาออกอัลบั้มชุดแรก “อมิตา ทาทา ยัง” ในปี 2538 แม้จะเป็นศิลปินหน้าใหม่ แต่ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก กวาดยอดขายอัลบั้มไปกว่า 1.3 ล้านชุดโดยใช้เวลาไม่ถึง 5 เดือน มีเพลงฮิต อาทิ โอ๊ะ…โอ๊ย, พรุ่งนี้…ไม่สาย, รบกวนมารักกัน

ส่วนอัลบั้มที่ 2 Amazing Tata ในปี 2540 มีเพลงฮิต ซักกะนิด, ขอถามสักหน่อย, รักเธอได้ไหม รวมไปถึงอัลบั้มพิเศษ ทั้ง “6.2.12” และเพลงประกอบภาพยนตร์ “จักรยานสีแดง” ที่ประสบความสำเร็จเช่นกัน

ซึ่งในช่วงที่ทาทาออกอัลบั้มกับแกรมมี่ นอกจากเพลงจะดังแล้ว แฟชั่นเสื้อผ้าและทรงผมของทาทาก็เป็นที่นิยมของวัยรุ่นหญิงในยุคนั้นอย่างมาก

อีกทั้งทาทายังได้รับโอกาสดีๆ ในการขึ้นเวทีร้องเพลงในงานสำคัญต่างๆ มากมาย อาทิ พิธีเปิดกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 13 ในปี 2541, คอนเสิร์ตเฉลิมฉลองการส่งมอบเกาะฮ่องกงคืน ปี 2540 ฯลฯ

และหลังจากหมดสัญญากับแกรมมี่ ทาทามีผลงานโกอินเตอร์ ทั้งการเป็นนางแบบในสังกัดของชาแนล รวมไปถึงการเซ็นสัญญากับค่ายโคลัมเบีย ในสังกัด Sony Music และออกอัลบั้มเพลงภาษาอังกฤษ ซึ่งมีการโปรโมตไปทั่วเอเชีย

ในขณะที่ นุ๊ก สุทธิดา ออกอัลบั้มชุดแรก “NOOK” ในปี 2537 มีเพลงฮิต ถอนสายบัว, รอได้ไหม, บ้านนี้สุนัขดุ, หวงก้าง นอกจากนี้แฟชั่นเสื้อยีนส์ ชุดเอี๊ยม กับทรงผมของนุ๊กในอัลบั้มนี้ก็เป็นที่นิยมไม่น้อย

ส่วนอัลบั้มที่ 2 “NOOK Sweet Hot” มีเพลงฮิต เป็นอันสลบ, แค่ไม่รัก, ก่อนเกลียด แต่ดูเหมือนว่านุ๊กจะไปได้ดีกับงานแสดงมากกว่า เพราะประสบความสำเร็จอย่างมากกับภาพยนตร์ “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว” ปี 2538 จนมีผลงานภาพยนตร์และละครตามมามากมาย

ส่วน ปุ๊กกี้ ปริศนา นักร้องสาวลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลีย ออกอัลบั้มแรก “Pookie” ในปี 2539 ประสบความสำเร็จ ยอดขายทะลุล้านตลับ และติดท็อป 5 อัลบั้มยอดจำหน่ายสูงสุดในปีนั้นด้วย

จากนั้นในปี 2540 ปุ๊กกี้ออกอัลบั้มชุดที่ 2 “Wowderful!” โดยมีทั้งเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ และเพลงเก่าทั้งไทยและสากลมาร้องใหม่ ซึ่งประสบความสำเร็จทะลุล้านตลับเช่นกัน และมีอัลบั้มพิเศษ “Beautiful Sunday” ในปีเดียวกัน

แต่หลังจากนั้นปุ๊กกี้มีข่าวเรื่องแต่งงานและท้อง รวมไปถึงข่าวทะเลาะกับแม่และทำร้ายยาย และห่างหายจากวงการเพลงไป

ย้อนนึกวงการเพลงในยุคนั้นก็คิดถึง เมื่อไหร่หนอบรรยากาศยุคทองวงการเพลงไทยจะกลับมาอีกครั้ง.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun
ภาพ : อินเทอร์เน็ต

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1957069
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1957069