นุ๊ก สุทธิดา เผยความในใจต่อหน้าสามี "ได้โปรดกลับมานะ"


ให้คะแนน


แชร์

มาเคลียร์กันตอนไหน?
ตอนผ่าแล้ว เพราะตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเนื้องอกเล็กๆ น้อยๆ เพราะเราทำทุกอย่างง่ายมาก ไปตรวจก็ไปคนเดียว ไปผ่าก็ขับรถไปคนเดียว ผ่าเสร็จก็ขับรถกลับคนเดียว

ตอนวันผ่าจะมีคุณแม่ไปเฝ้าบ้าง ซึ่งหลังจากที่เขารู้ว่าเราเป็นมะเร็งจริงๆ อารมณ์ที่ขุ่นๆ ที่เขาเป็นอยู่ก็หายไปหมดเลย เขาก็พาลูกมาเยี่ยมบ้าง เราเลยได้คุยกันในตอนนั้น เราก็ถามว่าไม่เชื่อเหรอ เขาก็บอกว่ามะเร็งใครไปตรวจเจอกันง่ายขนาดนั้น

ดูเข้มแข็ง มีเวลาไหนไหมที่ร้องไห้?
ตอนที่ตรวจเสร็จแล้วกลับบ้านค่ะ แล้วเห็นอดัม เราเข้าไปเล่นกับเขา แล้วน้ำตามันไหลออกมาเอง อย่าง ปิ๊ปโป้ กับ ปาแปง ยังไงก็รักนะคะ ลูกเรา แต่เพราะอดัม เด็กน้อยจริงๆ เพราะขนาดกับคำว่า แม่ตาย เขาก็อาจจะยังไม่เข้าใจ ถ้าเขาตื่นมาแล้วไม่เจอเราเขาจะเป็นยังไง

แต่ทำไมรู้สึกได้เป็นมะเร็งแล้วโชคดี?
เรารู้สึกว่าต้องขอบคุณมันจริงๆ วันที่นุ๊กทำความเข้าใจกับมัน เรารู้สึกว่าโชคดีมากๆ ที่ได้เป็นมะเร็ง ได้เป็นโรคร้ายที่ไม่ได้ถึงกับคร่าชีวิตเราไป ณ วันนั้น แต่ทำให้เราเรียนรู้ว่ามนุษย์ต้องอยู่กับความไม่ประมาททุกลมหายใจ

เราทุกคนรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเกิดแก่เจ็บตาย จะต้องมี แต่วันที่เราได้รับรู้ถึงความตายว่ามันยังอยู่ในลมหายใจเรา ให้ได้รู้ว่าเรากำลังจะตายเราต้องขอบคุณที่มาเตือนเราตรงนี้ แต่เราก็รู้สึกผิดกับสามีที่เรามองข้ามเขาไป

คือตอนนั้นเราเอาใจไปอยู่ที่ลูกมากกว่า ว่าเราจะต้องทำอะไรเพื่อลูกเราบ้าง เหมือนวันที่เราเดินไปบอกเขาเราพูดแค่ว่า ฉันเป็นมะเร็งนะ แล้วก็เดินหันไปเลยไปอยู่กับลูก

ซึ่งหลังจากที่เราบอกเขา เราก็ไม่ค่อยได้พูดได้คุยกันเลย เพราะเราไม่รู้ว่าเขางอนเรา แต่เรารู้แค่ว่ามันแปลกๆ ในคำพูดที่มันบาดใจ อย่างเช่น ยูจะร้องทำไม ยูยังไม่ตายสักหน่อย

คือตอนนั้นเราไม่ได้รู้สึกบาดใจเรามาก แต่เรารู้สึกแปลกๆ ว่าเป็นอะไร ในใจคิดอีกว่าถ้าคนไม่รักกันก็คงเป็นแบบนี้ เพราะเราคิดว่าเราใกล้ตายแล้วก็ไปๆ ซะ หมดค่าแล้วหรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้คิดต่อไม่ได้หาคำตอบตรงนั้น

ความตั้งใจของเขาที่คิดจะกลับบ้าน สามีอยากกลับอยู่ไหมตอนที่เราป่วย? 
เราก็ถาม ลึกๆ ก็เสียใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไรมันเป็นความต้องการของเขา เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปเหนี่ยวรั้ง ณ ตอนนั้น แล้วคือมันไม่มีเวลาให้น้อยใจ เพราะลูกเยอะ แล้วเราเตรียมการให้ลูกเราเยอะเลย

ตอนนั้นไม่ได้มีเรื่องดราม่ากับความรักเลย? 
ใช่ค่ะ เพราะนุ๊กโชคดีที่สามีนุ๊กเด็กด้วยเราเลยไม่ห่วง เพราะเราคิดว่าถ้าเราตายเขาต้องแต่งงานใหม่อยู่แล้ว ก็ถามเขานะคะ เรื่องที่เขาจะกลับบ้านไหม แต่พอเขารู้ว่าเราป่วยจริงๆ เขาบอกว่าจะกลับได้ยังไงต้องดูแล ต้องช่วยกันดูแลลูก เขากลับไม่ได้หรอกเพราะยูไม่มีใครช่วยดู

สามีได้กลับไปที่บ้านที่มาเลเซียน้อยมาก?
ไม่ค่อยได้กลับ เพราะพอเราแต่งงานกันแล้ว เปิดยิม แล้วคือที่ยิมคือมีเขาคนเดียวที่ขายได้ มันเลยกลายเป็นภาระของเขาที่เขาจะต้องอยู่ แต่ว่าเขาไม่ได้มองถึงเรื่องตรงนี้ แต่เขามีความน้อยใจว่าเรากีดกันไม่ให้เขากลับบ้าน เราคงไม่ชอบครอบครัวเขา ครอบครัวเขาจน

เราไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย แล้วเขาอาจจะน้อยใจแล้วฝังอยู่ตลอด 2 ปี แล้วอยู่ๆ เราก็ไปบอกเขาว่าเราเป็นมะเร็ง แต่พอเราได้คุยกับเขาสองคนอย่างจริงจัง

นุ๊กเข้าใจเขานะคะ ณ วันนี้ สุดท้ายเราก็ต้องพลัดพรากจากกัน เพราะว่าเขาต้องกลับมาเลเซีย แล้วไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไหร่ เพราะพาสสปอร์ตของเขาหมดอายุตั้งแต่ โควิด แล้วทำอะไรไม่ได้ เขาไม่ให้เดินทาง

แล้วตอนนี้รัฐบาลเพิ่งออกกฎหมายว่ามีสิทธิ์ถึงวันที่ 26 จะต้องออกไปไม่งั้นติดแบล็กลิสต์เขาจะต้องทำ VISA ที่โน่น ซึ่งกระบวนการทำวีซ่าขนาดอยู่ในเมืองไทยจะต้อง 3 เดือนขึ้นไป แล้วไม่รู้ว่าเกิดการระบาดแล้วจะได้กลับเข้ามาอีกไหม

แต่สุดท้ายเราก็ต้องพลัดพรากจากกันแต่เขาก็ยังมีความฝังใจนะคะ คือ เขารู้ก่อนอาทิตย์หนึ่งแล้วที่เขาจะต้องกลับ แต่เขาไม่กล้าบอกเราเพราะเขากลัวว่าเราจะงอนไม่ให้เขากลับ แต่เราก็ไม่ได้แก้ตัวนะคะ เราก็แสดงให้เขาเห็นดีกว่าว่าเราไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆ

ครอบครัว สามี และลูกชายให้กำลังใจนุ๊กเสมอ? 
นุ๊ก : ขอบคุณมากๆ นะคะที่คอยซัพพอร์ตนุ๊กมาตลอดในทุกๆ เรื่องในชีวิตนะคะ แล้วก็ … ได้โปรดกลับมานะ (เขิน)

ฮากีม : ผมรักคุณทั้งหมดชีวิตของผมตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ ไม่เคยเปลี่ยน โดยเฉพาะเมื่อ อดัม ปาแปง ปิ๊ปโป้ โตขึ้น เราก็ยังจะอยู่ด้วยกันเป็นทีมแบบนี้ตลอดไป

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1961784
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1961784