อุ้ย รวิวรรณ เล่าชีวิตพลิกผัน จุดสูงสุดสู่ล้มละลาย มีชีวิตใหม่ได้เพราะธรรมะ


ให้คะแนน


แชร์

อดีตนักร้องชื่อดังยุค 80 อุ้ย รวิวรรณ จินดา เล่าชีวิตสุดพลิกผัน จากจุดสูงสุดสู่วันที่ล้มละลาย ลั่นมีชีวิตใหม่ได้เพราะธรรมะ

โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงจนดังระเบิดในยุค 80-90 นักร้องสาวตัวเล็กเสียงดีมีเขี้ยวเป็นเสน่ห์ อุ้ย รวิวรรณ จินดา เปิดชีวิตว่าเป็นคนที่ทำอะไรแล้วทุ่มเต็มร้อย ทั้งการเรียน การร้องเพลง และการทำธุรกิจ จนมีเงินมากมาย แถมมีอีโก้สูงปรี๊ด

กดติดตามไลน์ ข่าวสด official account ได้ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

กระทั่งถึงวันที่ชีวิตพลิกผัน มีบทสอบเข้ามาให้ฝ่าฟัน ทั้งแม่ป่วย แฟนทิ้ง ล้มละลาย และเฉียดตายในสนามบิน โดยเรื่องราวทั้งหมดนี้ เจ้าตัวบอกว่าอยากเล่าให้แฟนๆ ได้รับรู้แบบหมดเปลือกในรายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 เป็นที่แรก

ฉายาตัวเล็กเขี้ยวเสน่ห์ ยังรักษาเอกลักษณ์ของตัวเองไว้?

“ยังมีเขี้ยวอยู่เลย(โชว์ฟันเขี้ยว) จริงๆ ไม่ได้อยากรักษาเลย แล้วอยากมีฟันเรียบฟันสวยงามเหมือนคนอื่นเขานั่นแหละ แต่ว่าตอนสมัยเด็กๆ ต้องบอกก่อนนะว่าเรื่องที่เล่ามันย้อนกลับไป 30 ปี สมัยนั้นมันมีความเชื่อแปลกๆ หรือมีคนมาบอกเราว่าดัดฟันระวังนิดนึง เพราะว่าตอนที่ดัดตอนที่ใส่ลวด แล้วเสียงมันจะเปลี่ยน”

“ตอนนั้นร้องเพลงแล้วไง เราก็มีความรู้สึกว่า ถ้าเสียงเปลี่ยนแล้วเราจะหากินยังไง มันเป็นงานเดียวเลยในชีวิตตอนนั้น กำลังทำอัลบั้มแรกด้วย แต่ตอนนั้นก็รู้อยู่นะคะ ว่าหมอฟันจะบอกทุกครั้งเลยว่ามันดูแลยากนะ ทุกวันนี้ก็ยังยาก แปรงฟันทุกวันนี้ต้องมีแปรง 3 อัน ต้องแปรงอันเล็กๆ อันนึง ซึ่งแปรงข้างในของเขี้ยวค่ะ เพราะไม่อย่างนั้นมันทำความสะอาดยากมาก อยากทำ ถ้ามีหมอฟันดูอยู่นะ บอกมาเลยว่าตอนอายุเท่านี้ทำได้อีกมั้ย ก็คิดอยู่เหมือนกัน”

อีกฉายาของ อุ้ย รวิวรรณ คือเป็นนักร้องที่มีฉายาว่า เดินห้างไม่ได้?

“ตอนช่วงอัลบั้มแรกค่ะ (อัลบั้มรุ้งอ้วน) ที่ออกมาแล้วก็ได้รับการต้อนรับแบบดีมาก จะเล่าให้ฟังว่าตัวอุ้ยเองเนี่ยเข้ามาในวงการโดยมีพี่ๆ ในค่ายครีเอเทียอาร์ติสต์ดูแลแบบประคบประหงมมาก อุ้ยไม่เคยได้ออกไปไหน แต่ตอนนั้นอายุเยอะแล้วนะ อายุ 24 แล้วตอนทำอัลบั้ม”

แต่ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กมากนะ?

“ใช่ๆ มันดูเป็นเด็ก ด้วยความเราอยู่ในหมู่พี่ๆ เราก็เป็นเด็กด้วย เราก็มีความรู้สึกว่าเขาดูแลเราดีมาก เราก็ไม่เคยออกไปข้างนอก ไม่รู้ว่าตัวเองมีชื่อเสียงมากแค่ไหน ไม่เคยรู้ เพราะว่าผู้จัดการคิวหรือว่าพี่เลี้ยงทั้งหลายก็จะแบบว่า เช้าพรุ่งนี้ตื่นเท่านี้นะ ไปนี่นะ ไปนั่นนะ ซ้อมดนตรีนะ ไปเล่นคอนเสิร์ตที่นี่ที่นั่น เราทำตามคิวทุกอย่างเลย”

“มีวันนึงไปเล่นคอนเสิร์ตที่ MBK HALL ข้างบน แล้วปรากฏว่าก็เกิดอยากจะลงไปเดินข้างล่าง ไหนๆ มาแล้วขอไปเดินนิดก็เลยลงมา ปรากฏว่ามีคนนึงตะโกนเรียกชื่อเราขึ้นมา เราก็หัน พอหันเท่านั้นแหละมาเป็นหลายสิบ วิ่งกรูแล้วก็ร้องกรี๊ดทั้งห้าง รปภ.ก็ตกใจ ทุกคนก็ตกใจ เราเองก็ตกใจ วิ่งหนีก็วิ่งตามกันอย่างเนี้ย ระหว่างทางเดินแบบนี้ค่ะ”

“แต่เราก็ไม่ได้คิด แล้วก็ไม่ได้เตรียมตัว แล้วก็ไม่ได้รู้ว่าตัวเองจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ ผู้จัดการคว้ามือได้ก็วิ่ง รปภ.ก็วิ่งตาม ภาพนั้นคงตลกมากใน MBK แล้วนับจากวันนั้นเนี่ยก็เลยบอกผู้จัดการ เข้าใจแล้วแหละ ว่าทำไมถึงไม่ให้ไป ไม่ให้ไปไหนเลย ก็เลยโอเคๆ ไม่ไปก็ได้”

เหมือนพี่เบิร์ด(ธงไชย แมคอินไตย์) เดินห้างไม่ได้เหมือนกัน ซึ่งตอนนั้นก็เป็นช่วงพี่เบิร์ดเพิ่งเริ่มเหมือนกันถูกไหม?

“ใช่ ถึงได้มีหนังที่มีพี่เบิร์ด พี่ปุ๊ อัญชลี แล้วก็พี่อุ้ย 3 คนเล่นด้วยกันชื่อ “อีกครั้ง” หนังของท่านทิพย์ คือพี่เบิร์ดกับพี่ปุ๊ มีเรื่องหนึงก่อนหน้านั้น(ด้วยรักคือรัก) เขาดังก่อนหน้าเรา แล้วก็พอตอนมีพี่อุ้ยขึ้นมาอีกคนนึง ท่านทิพย์ก็จับมา 3 คนเลยมาเล่นด้วยกัน”

แล้วคุณพ่อทราบไหมว่าชอบร้องเพลง?

“คือถามว่าชอบร้อง อาจจะชอบ อาจจะรู้ แต่ว่าแค่ร้องเล่นๆ คิดว่าอย่างนั้น คิดว่าลูกคงชอบเล่นๆ แล้วก็เรียนหนังสือไป”

แล้วพ่อรู้ไหมว่าชอบจริง แล้วสนับสนุนไหม?

“ไม่สนับสนุนเลยค่ะ พ่ออยากให้เป็นนักกฎหมายค่ะ อยากให้เป็นผู้พิพากษาเหมือนเขา ตอนนั้นไม่รู้ตัวหรอกค่ะ เพราะเด็กมาก เพียงแต่ว่าเพื่อนชวนไปซ้อมกีตาร์ก็ไป จำได้ว่าตอนที่อยู่มัธยม ตอนนั้นเป็นมศ.เนอะ มัธยมปลายแล้วเนี่ย แบกกีตาร์ไปโรงเรียน คือแบบว่าอยากไปเล่นกีตาร์อย่างเดียวเลย อย่างไปซ้อมกีตาร์กับวงกับเพื่อน แต่ก็ยังเรียนเก่งอยู่”

แล้วเข้าวงการได้ไง พ่อหวงขนาดนี้?

“เราอยากพิสูจน์ให้พ่อแม่ หรือว่าให้ที่บ้านเขาทราบว่าเราอยากร้องเพลงจริงๆ เราชอบร้องเพลงจริงๆ ไม่ใช่อยากร้องเพลงเพราะว่าอยากไปเที่ยวกลางคืนอะไรแบบนี้ไม่ใช่นะ เราชอบร้องเพลงจริงๆ แล้วก็มีความรู้สึกว่าเราต้องเก่งจริงๆ ก่อนเขาถึงจะยอมรับหรือเปล่า เลยเข้าประกวดร้องเพลง”

แล้วตอนไปประกวดคือยังไง?

“แแอบไปคนเดียวเลยค่ะ กองประกวดนัดกี่โมงก็แอบไป กองประกวดนัด 10 โมงเช้าออกจากบ้านตี5ก็มี ทุกคนยังไม่ตื่นไง ได้รางวัลมาเลยค่ะ ที่หนึ่งเลยเพราะมุ่งมั่นมาก ไทยแลนด์ ซิงกิ้งคอนเทสต์ของสยามกลการ ได้ถ้วยที่ 1 กลับมาบ้านเลย แบกถ้วยใหญ่มากเลย แล้วถ้วยใหญ่กว่าตัวอีก”

“พอพ่อเห็นถ้วยเขาก็อึ้งๆ นิดนึง แต่เขาก็แบบยังมีงอนๆ อยู่ เหมือนกับเขาคาดหวังกับเรามาก พูดกับเราตลอดเวลา ทำไมเราไม่เชื่อ มีงอนๆไม่คุยกันนานเหมือนกันค่ะ แบบหลายเดือนอยู่นะ ชีวิตเปลี่ยนไปเลยค่ะ พอได้รางวัลบอกได้เลยว่าเปลี่ยน อย่างแรกเลย คุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช ต้องขอขอบพระคุณท่าน เปลี่ยนชีวิตอุ้ยเลย เพราะว่าคุณหญิงก็วางแผนชีวิตให้เลย คุณพ่อมายอมรับได้ตอนที่ได้ถ้วยมาแล้วสักพักเพราะเขารู้ว่าเราชอบจริงๆ”

มีอยู่ช่วงหนึ่งดังมากจนเดินห้างไม่ได้ แล้วอยู่ๆ หนีทิ้งความดังในไทยไปอยู่เมืองนอก?

“ไม่ได้หนี แต่ว่าตอนนั้นอย่างที่บอกว่าค่ายครีเอเทียอาร์ติสต์ก็จะมีพี่นิน(ชนินทร์ โปสาภิวัฒน์)ที่เป็นหัวเรือ มีพี่อ๊อด(ธเนศ สุขวัฒน์) มิวสิคกูรู มีพี่เก้ง(จิระ มะลิกุล) คนแต่งเพลงก็จะแบบ พี่จิก(ประภาส ชลศรานนท์), พี่อิท(อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์) คืออุ้ยไปอยู่ตรงที่พี่ๆ เขาเป็นปรมาจารย์ พี่ตุ่น(พนเทพ สุวรรณะบุณย์) เราก็เลยมีความรู้สึกว่าเราผูกพันกับค่ายนี้ ไม่ใช่แค่เป็นนักร้องกับค่ายเพลง มันผูกพันกับเราเป็นพี่น้องกัน”

“แล้วอุ้ยก็เลยมีความรู้สึกว่า พอตอนที่ค่ายล่มสลายไป คือไม่มีค่ายนี้อยู่แล้ว อาจจะมีปัญหาภายในอะไรอย่างนี้ อุ้ยเหมือนอกหัก เหมือนแพแตก เหมือนพ่อแม่เลิกกัน ความรู้สึกแบบนั้นเลย คือไม่ใช่ว่าค่ายฉันไม่อยู่ ฉันไปอยู่ค่ายไหนนั้นสิ คือทุกคนพูดกับอุ้ยแบบนั้นนะ ค่ายไม่อยู่เธอทำไมไม่ไปอยู่ค่ายอื่นล่ะ แต่ในความรู้สึกของอุ้ยตอนนั้นคือเหมือนแบบแพแตก เหมือนบ้านแตก พอดีเพื่อนอยู่ที่แอลเอก็เลยชวนไป ดีเหมือนกันก็ไปร้องเพลงอยู่ที่นั่น ไปทัวร์คอนเสิร์ตก่อน”

แต่ในที่สุดก็กลับเมืองไทย?

“กลับมาเมืองไทยตอนนั้นมาทำอัลบั้มเลย ต้องบอกว่ามาทำอัลบั้มที่ 3 เพราะว่าคุณหญิงพรทิพย์ทำค่ายเพลงที่ชื่อว่าโชว์บิส เลยต้องกลับมาทำให้คุณหญิงพรทิพย์ แล้วก็เลยกลายเป็นแบบไม่ได้กลับไปแล้ว อยู่ร้องเพลงต่อเลย”

แล้วก็เริ่มต้นเข้าสู่สายงานอื่นๆ?

“ใช่ มาเป็นผู้บริหารวิทยุ เริ่มจากจัดรายการวิทยุก่อนกับอิทธิวัฒน์ เพียรเลิศ แล้วเริ่มโตขึ้นมาเรื่อยๆ มาดูแลคลื่น ตอนแรกก็เป็น Station Manager แล้วก็มาเป็นไดเร็กเตอร์ แล้วก็ขึ้นมาเป็นผู้บริหาร”

ฟังดูเหมือนทุกอย่างน่าจะลงตัว?

“ฟังดูน่าจะมีความสุข แต่จะเล่าให้ฟังว่า คือพอตอนที่ทำงานวิทยุ ตอนนั้นวงการเพลงมันก็เริ่มดร็อปลง เราก็ไม่ค่อยได้ร้องเพลงเท่าไหร่แล้ว อีกอย่างเราก็รู้สึกว่า พอเราโตขึ้นมาเป็นผู้บริหารมันยากในการที่จะแบบว่าอยู่ดีๆ วิ่งไปร้องเพลง แล้ววิ่งกลับมาทำงาน คือลาไปร้องเพลง มันดูประหลาดๆ”

“เราก็ลดงานทางด้านอื่นลง แล้วก็มุ่งตรงงานบริหาร มันก็จะมีอย่างนี้ค่ะ คือทำอะไรก็ฮิต ประสบความสำเร็จ เราก็เริ่มมีอัตตาไง เราก็เริ่มมีความรู้สึกว่าเก่งไง คนเราเนี่ยมันจะต้องมีอะไรสักอย่างนึง แต่สำหรับพี่เนี่ยบอกแล้วไงว่าเวลาทำอะไร ทำเกินร้อยเลย แล้วมันก็จะมีความรู้สึกอย่างนี้ค่ะว่า เราทำอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้นเจ้านายพูดอะไรไม่ถูกหูนะ เก็บกระเป๋ากลับ ออกเลย อย่างนั้นเลย พรุ่งนี้ไม่เจอหน้าอุ้ย รวิวรรณเด็ดขาด แล้วไปอยู่บริษัทคู่แข่งเลย ไปทำวิทยุอีกคลื่นนึงเลย”

“ไม่รู้แต่เป็นนิสัยแบบนั้น มีความรู้สึกว่าฉันอยู่ตรงไหนก็ได้ คือมีความรู้สึกคิดอย่างนั้นตลอดเวลา จนวันนึงค่ะ มีความรู้สึกว่าฉันทำเองก็ได้ ฉันต้องทำอย่างนี้ทำไม ออกไปทำบริษัทเอง ไม่ได้ทำวิทยุค่ะ ตอนนั้นก็ทำอีเวนต์ พีอาร์เอเจนซี่ ทำอะไรอย่างนี้แหละ แล้วก็มันก็ยังเป็นอย่างนี้อยู่ ใครเตือนอะไรไม่ฟังฉันเชื่อ ฉันว่าฉันตัดสินใจแบบนี้ถูก ฉันถูก แล้วเหมือนทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ ออกมาทำบริษัทเอง บิลลิ่งปีแรกก็ร้อยกว่าเลยอะไรอย่างนี้ เราก็ยิ่งแบบตัวขนาดนี้เลย”

แล้วมันล้มละลายได้ไง?

“คือต้องบอกว่า หลังจากที่เรามั่นใจเกิน ใครเตือนไม่ฟังเนี่ย มันจะต้องมีตัดสินใจพลาด มันก็มีอยู่วันนึงที่อุ้ยตัดสินใจพลาดในการที่แบบว่ารับงานนึง แล้วก็เอาเงินไปลงทุนกับอีกงานนึง แล้วก็เงินมันหายไป มันไม่ทันแล้วก็เจอแคชอยู่ช่วงนึงค่ะ เลยกลายเป็นว่าที่เรารับผิดชอบทุกอย่าง”

“เราก็โอเค เราก็รับผิดชอบก็แล้วกันอะไรประมาณนี้ แล้วก็โดนฟ้องค่ะ แต่ต้องนั้นมันก็เหมือนแบบ จากที่โดนฟ้องล้มละลาย จริงๆ แล้วมันไม่ได้มีเรื่องเดียวนะ มันมีทั้งโดนฟ้องล้มละลาย คุณแม่ป่วยเข้าไอซียู แฟนที่แบบคบกันมาอยู่ดีๆหายไปเลยอะไรอย่างเนี้ย หายไปเลยแบบไม่ได้แบบว่า เลิกกันนะ เป็นแฟนกันไม่ได้อยู่ด้วยกัน คือโทรศัพท์ เริ่มโทรแล้วเริ่มไม่รับ เริ่มโทรไปแล้วปิดเครื่องอะไรอย่างนี้ ปิดเครื่องก็จะโทรทำไม ไม่โทรแล้ว”

“คือถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ถามพี่อุ้ย พี่อุ้ยก็คงจะยังบอกว่า บริษัทล้มละลายเพราะว่าเชื่อหุ้นส่วนเราเกินไปอะไรอย่างนี้นะ แล้วเรื่องแฟนที่แบบเลิกกัน เขาอาจจะไปมีคนอื่นหรืออะไรยังไง ณ วันนั้นคำตอบพี่อุ้ยคงเป็นอย่างนั้น แต่พอถึงวันนี้ วันที่เราตั้งหลักได้ วันที่เราทำใจได้ วันที่เราดูแลตัวเองได้แล้ว เรากลับมามองตัวเอง ทุกเรื่องมันเกิดขึ้นจากเรานี่แหละ”

“การที่เราทำบริษัท ถ้าสมมติว่าเราดูแลทุกๆ ส่วน เรามีความละเอียดมากพอ มันไม่มีทางที่คนอื่นจะมาเอาไปได้ คือเราต้องดูแล หุ้นส่วนที่ทำบัญชี ทำไปเลย ไม่เป็นไรไม่ดูอะไรอย่างนี้ ซึ่งมันแบบมันไม่ได้ ทุกอย่างจริงๆ มันเกิดจากเรานี่แหละนะคะ”

“อย่างแฟนเราเหมือนกันเราก็ยอมรับตัวเองนะ ตอนนั้นเราก็คงแบบถึงเวลาโทรมาไม่รับสาย ประชุมอยู่อะไรอย่างเนี่ย พี่อุ้ยจะเป็นแบบประชุมอยู่ก็รู้มั้ยว่าทำงาน อะไรประมาณนี้ค่ะ เราก็คงจะนิสัยแย่พอสมควรเลยแหละ เขาก็คงรับไม่ได้เหมือนกัน มันคงอาจจะมีแบบนี้แหละ เพียงแต่มันไม่ได้พูดกันไม่ได้คุยกัน”

เลยทำให้เราเข้ามาทางธรรมะ?

“ใช่ค่ะ มีสิ่งนึงที่เราโง่อยู่ คือจัดการกับใจตัวเองไม่ได้ แล้วก็เคยมีคนพูดไว้นะว่า “ธรรมะ มันจัดการได้ทุกเรื่อง” เราก็เลยมีความรู้สึกว่าต้องมีครูบาอาจารย์มาช่วยสอน มาทำให้เรามีความรู้ในด้านอื่น คือความรู้ด้านนี้ไม่มี ความรู้ในการจัดการชีวิตตัวเองไม่มี ปฏิบัติธรรมเลย เข้าวัดเลย 7 วัน”

“ตอนนั้นอยู่ดีๆ ก็เดินไปเจอพระอาจารย์ท่านนึงค่ะ ณ วันนี้ก็ยังเป็นพระอาจารย์ที่พี่อุ้ยนับถืออยู่ ชื่อพระอาจารย์ ศิริชัย สิริญาโณ อยู่ที่เชียงราย วันนั้นไปร้องเพลงที่เชียงรายแล้วก็เจอท่าน พอได้เจอท่านก็เดินเข้าไปกราบท่านเลย แล้วก็แนะนำตัวเองว่าสนใจอยากปฏิบัติธรรม แล้วท่านก็บอกว่าเอาสิ”

“ท่านสอนทำให้รู้เลยว่ามันเกิดที่เขาเรียกว่าพุทธิปัญญา เราเห็นเลยว่าชีวิตเรา ทุกอยางมันเกิดขึ้นจากเรานี่แหละและไอ้ทุกข์ที่เราว่ามันทุกข์ที่สุดก็เพราะว่าเรานี่แหละ เพราะเราไม่ปล่อย เพราะเราเก็บ มันก็แทง คิดอยู่นั่น มันก็เท่ากับหยิบมีดมาแทงตัวเองอยู่นั่น เลยลุกขึ้นมาจัดการชีวิตใหม่หมด ทำใหม่หมด”

“เมื่อก่อนนี้นะคะอุ้ยเป็นคนที่ไม่ดูแลคนรอบข้างเลย คุณแม่ น้องชายอะไรอย่างนี้นะ คืออยู่กันแบบรู้ว่าอยู่อยู่บ้านเดียวกัน สวัสดีนู่นนี่แล้วก็ไป ไม่เคยนั่งคุย เราก็เปลี่ยนตัวเองใหม่หมดเลย เปลี่ยนที่ต้องเปลี่ยนตัวเองนี่แหละไม่ได้หวังให้เขามาเปลี่ยน เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเปลี่ยนค่ะ โลกก็เปลี่ยนเลย ยังปฏิบัติอยู่ถึงทุกวันนี้เลย ปีที่4 ปีที่5 แล้วค่ะ”

ตอนที่อยู่อเมริกาเห็นบอกว่าเกือบตายในสนามบิน?

“เมื่อ 4-5 ปีที่แล้วนี่เอง ไปงานปาร์ตี้ที่อเมริกา ปกติอุ้ยจะบินไปบินมาอยู่แล้วนะคะ เวลาที่เพื่อนชวน บางทีไปพักผ่อนไปอะไรอย่างนี้ก็จะไปแอลเอ ก็ไปเที่ยวกัน ปรากฏว่ามีพี่ที่นับถืออยู่ชิคาโก จะมีปาร์ตี้วันเกิด ปาร์ตี้ใหญ่มากเลยอุ้ยมา ไปกัน 3 คน มีคุณวิน วีรชัย อีกคนนึง แล้วก็คุณอี๊ด สุนทรี จวบสมัย ซึ่งเป็นนักร้องสยามกลการเหมือนกัน จะบินจากแอลเอไปชิคาโก”

“ระหว่างนั้นเนี่ยสายการบินที่เป็นสายการบินภายในประเทศมันใกล้ๆ จากที่เราเอ็กซเรย์กระเป๋าไปจนกระทั่งถึง Gate ใกล้มาก เดี๋ยวเรารอเวลาขึ้นเลยทุกคนก็นั่งรอ เราก็บอกว่าเดี๋ยวจะไปห้องน้ำก่อนนะบอกเพื่อน 2 คน บอกวินว่าเธอเฝ้ากระเป๋านะ ฉันกับพี่อี๊ดไปห้องน้ำ ถ้าสมมติว่าเขาเรียกไปเจอกัน Gate เลย เราก็เดินเข้าห้องน้ำกัน 2 คนผู้หญิงก็อยู่ห้องติดๆ กัน”

“แล้วก็ไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก อุ้ยก็เปิดประตูออกมาจะล้างมือก็เห็นคนวิ่งเข้ามาในห้องน้ำ แล้วทำท่านี้(ทำท่าปิดปากตกใจ) วิ่งสวนเข้ามาเต็มไปหมดเลย แล้วก็มาซ่อนอยู่ใต้อ่างล้างมือ ไม่มีเสียง ไม่มีใครร้องกรี๊ดสักคนเลยนะคะ เราก็ยืนงง เกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครพูดอะไร เราก็งง ยังเปิดน้ำล้างมืออยู่นะ”

“สักพักนึงมีฝรั่ง 2 คนผู้หญิงผู้ชายคู่นึงก็วิ่งเข้ามา ท่านี้เลย(ปิดปากตกใจ)แล้วก็ผลักเรากลับเข้าไปในห้องที่เราเพิ่งออกมา เราก็ถาม เกิดอะไรขึ้น เขาก็บอกว่ามันมียิงกันข้างนอก เราก็ ห๊า! เท่านั้นแล้วเราก็บอกพี่อี๊ดอย่าออกมานะ เขายิงกันข้างนอก พอสิ้นเสียงที่เราบอกเขายิงกันข้างนอก เสียงปืนข้างหน้าประตูห้องน้ำเลย เสียงดังมาก ดังแบบหูดับตับไหม้ แบบกราดยิง แล้วก็เหมือนยิงสู้กัน เหมือนในหนังเลย”

“เราก็มีความรู้สึกแบบดูหนังเยอะ ถึงตอนนั้นน่ะ มีฝรั่ง 2 คนข้างหน้าใช่มั้ยผู้ชายอยู่ข้างหน้า แฟนเขาอยู่ตรงกลาง อุ้ยอยู่ข้างในสุดเลย เราก็นึกในใจแล้ว ตายแล้วเราจะมีชีวิตรอดกลับไปมั้ยเนี่ย เราจะได้กลับบ้านมั้ย เสียงปืนมันอยู่ข้างหน้าเนี่ย มันต้องกราดยิงแบบในหนัง มันก็ต้องโดนเราแน่เลย เราก็ต้องตายตรงนี้หรือเปล่าเนี่ย ตอนนั้นคิดอยู่แค่นี้เลยนะ เอามือเนี่ย จับมือกับพี่อี๊ดข้างล่าง แล้วก็แบบว่าพี่อี๊ดสวดมนต์ค่ะ พี่อี๊ดสวดมนต์ค่ะ พูดกันอยู่แค่นี้”

“สักพักนึงนะคะ เสียงปืนเงียบ พอเสียงปืนเงียบลงปั๊บ มีเสียงคนวิ่งมา แล้วก็เสียงตะโกน เสียงเหมือนคนตัวใหญ่มาก “มีใครอยู่ไหม?” ออกมาทีละคน ใครจะกล้าออก เสร็จแล้วฝรั่งผู้ชายเนี่ยก็กล้าหาญมาก ค่อยๆ ถอดกลอนแล้วก็ดู เสร็จแล้วก็หันกับมาบอกตำรวจๆ เราก็บอกยูรู้ได้ไงว่าตำรวจจริง-ตำรวจปลอม นึกในใจแกตอบเขาไปแบบนั้นได้ยังไง ดูหนังเยอะจริงๆ”

“แต่แบบว่าผู้ชายฝรั่งคนนี้หน่วยกล้าตายมากออกไปก่อน ออกไปก็โดนค้นตัว คราวนี้ทุกคนก็เลยกล้าออกไป บอกทุกคนว่าตำรวจออกมาได้เลย ทุกคนก็ออกไปก็โดนค้นตัวทุกคน แล้วก็โดนสอบสวนนะคะ โดนสอบตั้งแต่ตำรวจแอลเอ เอฟบีไอ เหตุเกิดตอน 9 โมงเช้า พี่อุ้ยถูกปล่อยตัวมาตอน 5 โมงเย็น”

มีคนตายไหม?

“มีค่ะ พอหลังจากที่ออกมาแล้ว แล้วก็ถามตำรวจตอนที่ต้องโดนกักตัว เขาก็เล่าให้ฟัง เขาบอกว่าไอ้คนเนี้ย(คนกราดยิง)มันน่าจะสติไม่ค่อยดี แต่ว่ามันมีความแค้นส่วนตัวกับเจ้าหน้าที่ TSA ก็คือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย มันมาเนี่ยเอากระเป๋าวางกับสายพานเสร็จปั๊บก็เอาปืนออกมาจ่อยิงเจ้าหน้าที่เลย แล้วยิงเฉพาะคนที่แต่งเครื่องแบบ”

สามารถรับชมรายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 ย้อนหลังได้ทางยูทูบ :

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_5198410
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_5198410