“ปั้นจั่น ปรมะ” เปิดทุกมุมความรู้สึก โพสต์เดียวพลิกชีวิต จากดังเปรี้ยงปร้างมาดิ่งลงเหว


ให้คะแนน


แชร์

“ปั้นจั่น ปรมะ” เปิดทุกมุมความรู้สึก โพสต์เดียวพลิกชีวิต จากดังเปรี้ยงปร้างมาดิ่งลงเหว

เรียกว่าโพสต์เดียวพลิกชีวิตเลยก็ว่าได้ สำหรับนักแสดงหนุ่มหล่อเข้ม ปั้นจั่น ปรมะ อิ่มอโนทัย ที่เคยถูกวิจารณ์อย่างหนัก หลังเจ้าตัวได้โพสต์แสดงความเห็นทางการเมืองลงเฟซบุ๊กส่วนตัว แต่ถูกมือดีแคปภาพนำมาโพสต์ต่อกลายเป็นกระแสดราม่าในช่วงนั้นอยู่หลายวัน รวมถึงถูกโจมตีจากชาวเน็ตหลายคนที่เห็นต่างอย่างหนัก กระทั่งขอแบนผลงานทุกชิ้น และเลิกติดตามไปเลยทีเดียว

ล่าสุด(2 พ.ย.63) ข่าวสดออนไลน์มีโอกาสได้นั่งคุยกับนักแสดงหนุ่มคนดังถึงเรื่องการทำงานในวงการ การใช้ชีวิต ความรัก และแผนอนาคต รวมถึงเรื่องดราม่าที่ผ่านมา ซึ่ง ปั้นจั่น เปิดใจ ยอมรับว่า กระแสดราม่าที่ตนได้รับในตอนนั้น มันมีผลกระทบอย่างหนัก ทำให้กระแสความนิยมของตนลดลงไปเยอะมาก

โดยปั้นจั่นเผยถึงเรื่องงานละครที่กำลังถ่ายทำอยู่ว่า “ติดโควิดกินเวลาไปประมาณ2-3เดือน ก็เลยทำให้ทุกอย่างมันช้าลงไป ก็เข้าใจได้ แต่3เรื่องนี้ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมเหนื่อยอะไรขนาดนั้น เพราะว่าช่วงนี้ไม่ได้ถ่ายเต็ม7วัน เพราะบางวันก็ฝนตก กองก็กลัวเลยไม่ได้ถ่ายมาก ก็เลยมีเวลาพักอาทิตย์ละวันก็ยังโอเค และบททั้ง3เรื่องมันก็แตกต่างกันหมดเลยทั้ง3เรื่อง ก็เลยรู้สึกว่าสนุกมากกับละครที่ถ่ายอยู่ในตอนนี้ “

3คาแรกเตอร์ไม่ใกล้เคียงกันเลยแบบนี้ก็ต้องทำการบ้านเยอะเพราะต้องหาคาแรกเตอร์แต่ละคาแรกเตอร์
“อันนี้เทคนิคปั้นจั่นนะ อาจจะเป็นคนไม่ดี แต่ว่าหนึ่ง..ปั้นจั่นจะอ่านเรื่องย่อก่อน พออ่านเสร็จปุ๊บจะไม่อ่านบททั้งเรื่อง จะอ่านแต่ของเรา เพราะสุดท้ายแล้วตัวละครก็ไม่ได้รู้เรื่องราวทั้งเรื่อง จะรู้แค่เฉพาะสิ่งที่เราเผชิญหน้าตรงนั้น ปั้นจั่นก็เลยมีความคิดว่าเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปอ่านบทของคนอื่น อ่านไปก็เท่านั้น คือเราไม่ได้เล่นเราจะไปรู้ทำไมว่าน้องนิดคุยกับน้องหน่อยตรงไหน ซึ่งมันไม่ได้อยู่ในเส้นเรื่องของเราเลย คุณรู้จักแค่เพราะว่านนท์ทำอะไรบ้าง นนท์มีความสัมพันธ์กับใครก็พอ ทำให้พอละครออนแอร์เราอยากดู เพราะเราไม่ได้รู้เรื่องของคนอื่น”

เรารับงานชนกันแบบนี้มากี่ปีแล้ว
“ถ้ากี่ปีหรอครับ โอ้โห ไม่ได้หยุดหย่อนเลยนะ ส่วนใหญ่ละครมันถ่ายนานไงพี่ แล้วมันก็แบบ … แต่ว่าพักหลังผมรับเต็มที่เต็มแม็กเลยปีหนึ่งก็4เรื่องหนึ่ง อาทิตย์เคยมากสุดก็แค่3เรื่อง 3เรื่อง7วัน น่าจะทำมาประมาณ4-5ปีแล้ว ที่แน่นขนาดนี้ “

เหนื่อยไหม
“ไม่เหนื่อยหรอก คือมันช่วงแก๊ปแหละ ช่วงที่ละครรับน้อยลง ก็รับอีเวนต์มากขึ้น อย่างตอนช่วงบุพเพอ่ะครับ แต่ตอนช่วงบุพเพนั้นเหนื่อยจริงแต่ว่าสิ่งที่มันได้กลับมาก็โอเคมันก็แลกกัน อย่างตอนนี้อีเวนต์มันน้อยลง มันเป็นละครก็เข้าใจได้ ผมหวังว่าละครเซตนี้ปีหน้าออกไปมันก็น่าจะประสบความสำเร็จสักเรื่อง แต่ถ้าเป็นหลายๆเรื่อง ทุกเรื่องเลยก็ดี”

ถ้าเปี้ยง ก็จะเบาละครลง แล้วไปรับอีเวนต์มากขึ้น
“ที่จริงมันเป็นความเข้าใจได้อยู่แล้ว พอละครดังมันก็ตามมาด้วยอีเวนต์ของนักแสดง เราก็จะต้องขอกองอื่นว่า ขอไปอีเวนต์ เค้าก็จะเข้าใจเพราะว่ามันเป็นช่วงตักตวงของเรา “

ถามถึงความเหนื่อยตั้งแต่บุพเพมาตอนนี้มันเบาลงไหม
“เบาลงครับ เบาลง แต่เบาลงก็ไม่ได้รู้สึกอะไร มองอย่างนี้ดีกว่าว่า โอ้โห เดี๋ยวนี้งานมันหายาก เงินก็หายาก คู่แข่งก็เยอะ แต่ยังได้ทำงานเยอะขนาดนี้เนี่ยเราไม่ควรจะไปทุกข์อะไรแล้ว เต็มที่กับงาน ว่างๆผมก็เล่นกีฬาตีกอล์ฟของผมไป ผมก็มีความสุขกับตรงนี้ คาดหวังอะคาดหวัง แต่ผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย“

ตั้งแต่ละคร The Cupids บริษัทรักอุตลุด มาเรื่อง บุพเพสันนิวาส พีคมาก ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
“ตอนนี้ความนิยมก็ตกลง คือมันค่อยๆตกลง จริงๆมันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ผมเชื่อว่าตั้งแต่เรื่องการเมืองก็มีส่วน แต่ว่าผมเชื่ออย่างหนึ่งว่าคนดู ชอบตอนจากที่ปั้นจั่นเป็นคาแรกเตอร์ในตัวละคร คนชอบบุพเพสันนิวาส เพราะคนชอบขุนเรือง- คนชอบคิวปิด เพราะคนชอบ ปีมงคล แต่ในตัวตนของตัวปั้นเองคนก็อาจจะเฉยๆ อาจจะมีคนที่ชอบตัวตนปั้น แต่น้อยกว่าคนที่ชอบปั้นในคาแรกเตอร์นั้นๆ ถ้าในด้านของงานถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะเราทำให้คนดูรักเราในคาแรกเตอร์นั้นได้ แต่ถามว่าในเรื่องของในความเป็นส่วนตัวเค้านิยมเราหรือเปล่า ก็อีกเรื่องหนึ่ง”

พอความนิยมมันตกลงมาเรานอยด์กับมันไหม
“ก่อนหน้านี้ตอนเด็กกว่านี้มีนอยด์นะ แต่ตอนนี้เฉยๆ เพราะผมรู้กระบวนการมัน ผมจะไปเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้ใครมารักผมมันก็ยากนะ เพราะเราเป็นตัวของเราแบบนี้ เราจะทำให้คนอื่นมารักเราเข้าใจเราที่เราเป็นเราได้ไงอ่ะ มันทำไม่ได้หรอก เพราะว่าเราไม่ได้มีเวลามานั่งอธิบายให้ทุกคนคนละ 10 นาที 10 นาที เค้าดูข่าวเค้าเห็นข่าวเค้าก็ตัดสินจากสิ่งที่เค้าอ่าน เค้าก็ตัดสินจากสิ่งที่เค้าวิเคราะห์ ซึ่งไอ้ของอย่างนี้ เราก็ไม่ใช่คนที่จะต้องไปอธิบายอะไรยาวๆ ต่อให้อธิบายในโซเชียลมันก็ไม่มีคนเข้าใจทั้งหมด มีแต่คนพร้อมที่จะไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นก็ไม่พูดดีกว่า เลือกที่จะไม่บอกใคร ทำหน้าที่ของเราต่อไปเรื่อยๆดีกว่า”

ตอนที่กระแสมันลง มีช่วงไหนไหมที่เราอยากทำให้กระแสมันกลับขึ้นมา
“เราคิดสิ เราคิด คิดแค่ว่าเดี๋ยวละครเรื่องใหม่ เราทำให้มันดี ถ้าคนดูชอบเค้าก็จะกลับมารักเราเอง แล้วถ้ามีเรื่องใหม่เรื่องอื่นมาแล้วดัง มันก็จะไปอย่างเนี่ย ลูกมันก็จะเป็นแบบนี้ พูดตรงๆผมไม่เห็นมีใครอยู่ค้ำฟ้าซักคน อันนี้เรื่องจริงนะ โอเคมันอาจจะเป็น ณ ช่วงเวลานั้น เป็นที่จดจำเป็นที่ระลึกถึง แต่คนที่จะค้ำฟ้าไปตลอดกาล มันจะมีสักกี่คนกัน มันก็เข้าใจได้”

อย่างช่วงละครออนแอร์ คนเค้าก็จะอินเรื่องกระแส เราทำอะไรก็ต้องระวังตัวขึ้นไหมเพราะตอนนี้โซเชียลมันบอบบางมาก บางทีเราแสดงความคิดเห็นที่ไม่ตรงกับใจหลายหลายคน
“ไอ้นี่มันเป็นเรื่องเซนซิทีฟ มันเป็นเรื่องพูดยากและผมก็ผ่านประสบการณ์โดยตรงมาแล้วในเรื่องของการแสดงความคิดเห็น เซนซิทีฟแต่ก็ไม่ได้อยากจะบอกว่าเราไม่ควรจะออกความคิดเห็นเพราะมันเป็นสิทธิของเรา แต่ในฐานะที่ผมก็เคยผ่านประสบการณ์มา ผมก็เคยผ่านอะไรแย่ไปมาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ผมก็เลยรู้สึกว่าเราไม่ควรไปตัดสินหรือไปดูถูกความเชื่อหรือสิทธิ์ของใครก็ตามที่จะเชื่อ”

“แต่ในอีกมุมหนึ่งเราก็ไม่ควรไปแนะนำหรือไกด์ไลน์ให้เค้า ว่าควรจะเชื่อแบบไหน เพราะบางคนมันแยกกันเลยนะ เราต้องแยกให้ออก เราเคารพเค้า อย่างถามว่าพระเจ้ามีจิงหรือเปล่า ยูเอฟโอมีจริงไหมมัน เป็นอะไรที่หาคำตอบไม่ได้แต่ ตราบใดที่อารมณ์ความเชื่อส่วนตัวเหล่านี้มันขับเคลื่อนเป็นพลังให้เราแบบมีความฝัน มีความหวัง และทำในสิ่งที่ดีโดยไม่เดือดร้อนคนอื่น ก็ปล่อยให้เค้าเชื่อไปเถอะ. และเราชอบแบบไหนเราคิดแบบไหนเราไม่ต้องไปบอกคนอื่น หาคำตอบให้ตัวเองก่อน หาคำตอบให้ตัวเองรู้ชัดเจน ชัดแจ้งได้หรือยัง ตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ผมเชื่อมันมีจริงไหม แต่ประเด็นคือที่เชื่ออยู่มันทำให้เรามีพลังศรัทธามีพลังในการก้าวต่อไปเป็นพลังใจแค่นั้นก็จบ”

ผู้ใหญ่หรือผู้จัดเค้ามีเตือนมีเบรึเราไหม ในเรื่องของการใช้โซเชียล
“เค้าก็เตือนมา ผมก็ไม่ได้ไปแตะต้องนะ มันก็รู้สึกว่าตอนนี้ปั้นก็ลงแต่รูปพวกเล่นกีฬา ที่จริงก็รู้สึกว่าไม่อยากจะลงอะไรด้วยแล้ว รู้สึกว่าเราหมดยุคที่จะใช้คำพูดประโยคเดียวเปลี่ยนโลกได้. หรือว่า ความดีเปลี่ยนโลกได้แล้วอ่ะ มันเป็นเรื่องของการถ้าอยากจะเปลี่ยนจะทำอะไรที่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง เราไม่ต้องไปเปลี่ยนที่คนอื่นแล้ว เราเปลี่ยนที่ตัวเราเอง เพราะสุดท้ายแล้วถ้าเราพยายาม ถึงเราจะดีจริงๆแล้วเราไปเปลี่ยนคนอื่น มันก็จะมีความเห็นต่าง สุดท้ายมันก็จะเป็นเรื่องของการทะเลาะ เรื่องของความคิดเห็นกันมากกว่าเพราะฉะนั้นไม่”

คือเราก็โดนพิษโซเชียลมาถ้าอย่างถล่มทลาย
“ที่จริงไม่แย่พี่”

สิ่งที่ผ่านมามันทำให้ตัวเราเปลี่ยนไปไหม
“เปลี่ยนไหมหรอ ก็เปลี่ยนเยอะนะ ก็คือไม่ไปแตะต้องไม่ไปสัมผัสอะไรอย่างนี้ ผมว่าทุกคนเข้าใจเหมือนกันหมดแหละ ทุกคนคงมีเซฟโซนของตัวเอง แล้วเราก็คงจะเป็นเหมือนกระบอกเสียงในการแนะนำคน มันก็เลยเป็นปัญหา ต่อให้มีเหตุผลมากแค่ไหน ถ้ามันไม่ถูกใจใครมันก็กลายเป็นฝั่งตรงข้าม ฉะนั้นเราก็เลยไม่พูดอะไรดีกว่า “

ก็กลับมาโฟกัสที่ฝีมือการแสดงมากกว่า

“ก็โฟกัสอย่างอื่น มาทำงานเล่นกีฬา “

แล้วช่วงนี้จิตใจมันโอเคไหม เพราะว่าปีที่แล้วมันหนักมาก
“เชื่อไหมว่าคนที่ผ่านจุดนั้นมาแล้ว บางคนอาจจะช้ำจนแย่ไปเลย ผมก็ผ่านช่วงเวลาแย่มาแต่ว่ามันทำให้ผมแกร่งขึ้นนะ และมันทำให้ผมมองโลกละเอียดมากขึ้น จะทำอะไรก็แผน1แผน2แผน3 มีสเต็ปแช็กก้าวถอยหลัง ทำดีไม่ทำดี บางทีเราทำก็คิดนะ แลกกับอะไรวะ? แลกกับความที่อยากให้รู้จักเรามากขึ้น? เค้ารู้จักตัวเรามากขึ้นแล้วจะได้อะไร? เค้าไม่ใช่คนที่จะอยู่ข้างข้างเรานิ ก็ไม่เป็นไร”

“ตอนนี้เป้าหมายอย่างเดียวในชีวิตคือสร้างความสุขให้กับตัวเอง สร้างความสุขให้กับคนอื่น ใครถามว่าควรจะต้องทำยังไงกับชีวิต ผมก็จะบอกว่ามีความสุขกับสิ่งง่ายๆที่อยู่รอบตัว เพราะชีวิตมันก็ไม่เที่ยง มันจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ ผมจะไม่ไปเสียเวลาอะไรกับที่มันเป็นทุกข์อีกแล้ว เพราะว่าเวลาผมน้อย เวลาชีวิตหนึ่งมันสั้นนะ เราก็ไม่รู้ว่าเราจะไปถึงตรงไหน ก็มีความสุขกับงาน ก็ไม่ได้คิดว่าจะเก็บเงินเยอะๆอีกแล้ว ซึ่งเคยรู้สึกว่าจะต้องมีเยอะๆ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าใช้บ้างใช้เพื่อความสุข แต่ก็ต้องใช้อย่างระมัดระวัง ใช้เท่าที่มีให้มีความสุข ไปเล่นกีฬาไปพักผ่อนต่างจังหวัดไม่ต้องหาที่แพงก็ได้ พักที่เป็นโมโปรโมชั่นถูกๆ มีความสุขในทุกอาทิตย์ทุกวันแค่นี้ คือใช้ชีวิต แบบนี้มีความสุข แล้วก็ไม่ต้องไปทุกข์แทนชีวิตคนอื่น”

แต่เราไม่เคยท้อ คิดว่าฉันไม่อยู่แล้วตรงนี้แล้ว
“ก็มี มันก็มีแว๊บ ผมว่าทุกคนมี เราทำงานอยู่ที่นึงแล้วก็จะมีแบบ.. เบื่อที่นี่จังเลย..ออกแม่งเลย มีมี ทุกคนมี แบบนี้มันเป็นธรรมดา แต่ถามว่าเราออกได้ไหม มันก็มันไม่ได้หรอก เพราะเราทำมาทั้งชีวิตแล้ว ปัญหามันมีทุกที่ แต่ปัญหามันก็มีไว้แก้ ผมรู้สึกว่าตอนนี้ปัญหาอะไรเข้ามามันก็จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกแล้ว เพราะว่าเราเข้าใจ แต่ต้องเข้าใจปัญหาของจริงๆนะ เพราะว่าจริงๆปัญหามันไม่มีอะไรเลย มันเกิดจากที่ตัวเรา ถ้าเราวางไว้ เออ..ไม่เป็นไร เราไม่แก้เดี๋ยวก็มีคนอื่นมาแก้ คือปล่อยวาง”

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_5251615
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_5251615