ขายวิญญาณให้ "ปิศาจ" หรืออคติเหยียดสีผิว เปิดความจริง "ตำนานบลูส์"


ให้คะแนน


แชร์

blues = the devil’s music

ชายผู้เป็นตำนานดนตรีบลูส์ ที่เกิดมาพร้อมกับคำว่า “บลูส์ คือ เพลงของปิศาจ”

นักกีตาร์ผิวสีผู้มากความสามารถรายนี้ เกิดปี ค.ศ.1911 ในครอบครัวชนชั้นแรงงานในไร่ของคนผิวขาว ทางตอนใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งบริบทของสังคม ณ ช่วงเวลานั้น ขนานนามดนตรีบลูส์ว่าคือ “เพลงของปิศาจ” ที่มีไว้สำหรับล่อลวงหญิงชายเข้าสู่โลกที่สวรรค์ไม่เปิดรับผู้คน ด้วยเหตุเพราะมันมักถูกเล่นด้วยนักดนตรีในผับบาร์…

ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในนั้นมีอะไรบ้าง?

Dance and Drink and Share Unholy Affections.
เต้นรำ และดื่ม และแชร์ความรักที่ไม่บริสุทธิ์

อ่านมาถึงบรรทัดนี้ มันก็น่าจะย้อนแย้งกับทุกสิ่งทุกอย่างที่จะสร้างเขาให้กลายเป็นคนที่ทั้งโลกรู้จักแล้วใช่หรือไม่?

ขณะเดียวกัน…ประเด็นนี้มันยังถูกทำให้เชื่อมโยงไปถึงคำครหาการขายวิญญาณให้กับซาตานเพื่อแลกกับพรสวรรค์ทางดนตรีให้ดูเป็นจริงเป็นจังมากยิ่งขึ้นในเวลาต่อมาด้วย…

โรเบิร์ต จอห์นสัน ไม่ใช่นักดนตรีบลูส์ผิวสีคนแรกที่ถูกป้ายสีด้วยอคติที่ว่า “เก่งเหนือมนุษย์” ได้เพราะความช่วยเหลือของซาตาน เพราะก่อนหน้านั้น กีตาร์ฮีโร่อย่าง ทอมมี จอห์นสัน (Tommy Johnson) เจ้าของฉายา Devil’s Blues จากการเล่นกีตาร์อันสลับซับซ้อน และเป็นชาวรัฐมิสซิสซิปปีเช่นเดียวกับโรเบิร์ต แต่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ ทางสายเลือด ก็เคยเผชิญหน้ากับข้อหา…“ขายวิญญาณให้กับด้านมืดที่ทางสี่แพร่ง มาแล้วเช่นกัน”

ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าแปลกเอามากๆ ที่เหตุไฉนคนผิวสีในสหรัฐอเมริกา ดินแดนแห่งเสรีภาพทุกตารางนิ้ว จึงมักถูกตั้งอคติอยู่เสมอๆ ในกรณีที่มีความสามารถโดดเด่นในทุกๆ วงการ

เอาล่ะ…เรากลับไปที่ชีวิตวัยเด็กของ โรเบิร์ต จอห์นสัน กันต่อดีกว่า…

ชีวิตวัยเด็กของโรเบิร์ตเต็มไปด้วยประวัติอันน่าสับสน เนื่องจากแม่ของเขาย้ายถิ่นฐานไปทำงานตามสวนเกษตรกรรมหลายแห่งบริเวณพื้นที่ปากแม่น้ำมิสซิสซิปปี ก่อนที่จะมาตั้งรกรากในเมืองแมมฟิส รัฐเทนเนสซี กับสามีคนแรกที่มีชื่อว่า โนอาร์ จอห์นสัน (Noah Johnson) ซึ่งเป็นบุคคลที่คาดว่าน่าจะเป็นพ่อของโรเบิร์ตทางสายเลือดด้วย

อย่างไรก็ดี เมื่อมารดาของเขาเลิกกับสามีคนแรก แล้วย้ายถิ่นฐานอีกหลายครั้ง ก่อนจะพาโรเบิร์ตไปตั้งหลักกับสามีคนใหม่ ดัสที วิลลิส (Dusty Willis) ที่เมืองโรบินสันวิลล์ (Robinsonville) รัฐมิสซิสซิปปี

ในช่วงแรก โรเบิร์ตเริ่มเรียนรู้การเล่นดนตรีจากเครื่องดนตรีอย่าง Jew’s harp และฮาร์โมนิกา ก่อนที่จะเริ่มไปหัดเล่นกีตาร์ ต่อมาในปี 1929 เมื่ออายุได้ 16 เขาได้แต่งงานกับภรรยาที่มีชื่อว่า เวอร์จีเนีย ทราวิส (Virginnia Travis) แต่แล้วอีกเพียง 1 ปีให้หลัง เธอก็ได้เสียชีวิตลงพร้อมกับลูกในท้อง ซึ่งเรื่องนี้สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับโรเบิร์ตเป็นอย่างมาก

หลังเหตุการณ์แห่งความโศกสลด โรเบิร์ตเดินทางไปที่เมืองโรบินสันวิลล์ เพื่อขอเรียนวิชาจากยอดนักดนตรีระดับตำนานของวงการเพลงบูลส์ ที่เล่นประจำอยู่ที่มิสซิสซิปปี เดลตา บลูส์ อย่าง ซัน เฮาส์ (Son House) วิลลี บราวน์ (Willie Brown) และชาร์ลีย์ แพทตัน (Charley Patton) อย่างไรก็ดี แม้จะเพียรพยายามแสดงความเป็นแฟนคลับตัวยง รวมถึงพยายามสื่อสารว่า ศิลปินทั้ง 3 คน คือ ผู้มีอิทธิพลทางดนตรีสำหรับเขามากมายเพียงใดก็ตาม

แต่ยามใดก็ตาม…โรเบิร์ตจับกีตาร์ขึ้นมาเล่นเพื่อหวังโชว์พรสวรรค์อันจำกัดจำเขี่ยของเขา ณ เวลานั้น มันจะกลายเป็นสิ่งที่น่ารำคาญและเสียงดังหนวกหูสำหรับยอดศิลปินทั้ง 3 คนทันที!

จนกระทั่งวันหนึ่งในปี 1930 เหตุการณ์สำคัญที่ต่อมากลายเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของวงการดนตรี เกิดขึ้นที่ผับ Delta blues เมืองโรบินสันวิลล์ รัฐมิสซิสซิปปี ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ โรเบิร์ต จอห์นสัน บังอาจเดินขึ้นไปบนเวทีแล้วหยิบกีตาร์ของ ซัน เฮาส์ และวิลลี บราวน์ ขึ้นบรรเลงเพลงของตัวเองอย่างชนิดที่ไม่มีใครคาดฝัน

แต่แล้ว…การกระทำอันอุกอาจนั้น ก็แปรเปลี่ยนเป็นผลลัพธ์ที่สุดแสนเลวร้าย เมื่อเกือบทุกคนในผับพร้อมใจกันโห่ไล่ “ไอ้เด็กบ้า” อย่างชนิดสาดเสียเทเสีย พร้อมกับเรียกให้ ซัน เฮาส์ และวิลลี บราวน์ ทำอะไรก็ได้ เพื่อหาทางให้ไอ้เด็กบ้าคนนี้ยอมหยุดร้องและเล่นกีตาร์เสียงห่วยแตกนั้นสักที เพราะมันกำลังจะทำให้พวกเขาบ้าตายกันอยู่แล้ว!

และท่ามกลางเสียงโห่ฮาและก่นด่าอย่างชนิดไม่มีชิ้นดี “ไอ้เด็กบ้า” ก็ได้แบกความอับอายที่ได้รับ เดินหายตัวไปจากผับอย่างชนิดไม่มีใครสนใจใยดี และไม่มีใครได้พบเห็นเขาอีกเลยจนผ่านไปเกือบ 1 ขวบปี…

“แกจะมาทำเสียงร้องฆ่าคนของแกอีกครั้งใช่ไหม?”

ซัน เฮาส์ และวิลลี บราวน์ เอ่ยทัก “ไอ้เด็กบ้าคนเดิม” ที่จู่ๆ หวนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับสะพายกีตาร์คู่ใจไว้ด้านหลัง จากนั้นหนุ่มน้อยวัยเพียง 19 ปี ค่อยๆ สืบเท้าขึ้นไปบนเวทีและเริ่มต้นร่ายมนตร์สะกดผู้คน ด้วยการร้องสุดทรงพลัง พร้อมๆ กับการเล่นกีตาร์แปลกประหลาด 7 สายอันแสนไพเราะและเต็มเปี่ยมไปด้วยเทคนิคสุดแพรวพราวเหนือชั้นล้ำยุคราวกับผู้มาจากอนาคต จนกระทั่งทุกคนในผับรวมถึง 2 นักดนตรีระดับตำนาน ถึงกับต้องอ้าปากค้างชนิดแทบไม่อยากเชื่อสายตา

โดยเจ้ากีตาร์สุดแปลกประหลาด 7 สายนี้ ทั้ง ซัน เฮาส์ และวิลลี บราวน์ ยอมรับว่า ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ถึงแม้ว่าในยุคนั้นมันจะไม่ใช่เรื่องใหม่เสียเลยทีเดียวก็ตาม แต่ความสามารถพิเศษเรื่องเทคนิคการรัวนิ้วกดคอร์ดกีตาร์ได้อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเสียงกีตาร์ที่เปล่งออกมามันราวกับเสียงเปียโนที่ถูกเล่นด้วยมือ 3 มือ ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นเทคนิคใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน ทั้งหมดซึ่งมันน่าเหลือเชื่อเกินไป สำหรับฝีมือของคนๆ เดียวกับที่ถูกเตะออกจากผับ Delta blues เมื่อไม่ถึงขวบปีก่อน

หากใครนึกภาพไม่ออกว่าปลายนิ้วที่เริงระบำอยู่บนกีตาร์ของ โรเบิร์ต จอห์นสัน ณ วันนั้น มันพิเศษอย่างไร กรุณากดคลิปด้านล่างบรรทัดนี้ ซึ่งเป็นการเล่น Cover เพลงของ โรเบิร์ต จอห์นสัน จากฝีมือของ Mr.Slowhand เอริก แคลปตัน อีกหนึ่งพระเจ้าของวงการดนตรี เพื่อประกอบความบันเทิงสำหรับการอ่านสกู๊ปนี้ในบรรทัดต่อๆ ไป

ดูคลิปแล้ว คุณรู้สึกทึ่งกันแล้วใช่ไหมว่า เมื่อกว่า 90 ปีก่อน มีคนๆ หนึ่งที่สามารถร้องและเล่นกีตาร์ด้วยความสามารถที่เหนือชั้นแบบนี้ได้อย่างไร? เอาล่ะ เราไปกันต่อ…

อัจฉริยะเพราะซาตาน หรือฝึกหนักจนกลายเป็นอัจฉริยะ?

ความไม่น่าเชื่อ หรืออาจจะปนเปื้อนไปด้วยอคติเช่นนั้นเอง ทำให้เกิดเสียงร่ำลือถึงฝีมืออันเก่งฉกาจเกินมนุษย์นี้ว่า มันเกิดขึ้นได้เพราะ โรเบิร์ต จอห์นสัน ไปคุกเข่าที่บริเวณทางสี่แพร่ง ทำข้อตกลงกับซาตาน แลกเปลี่ยนดวงวิญญาณกับพรสวรรค์ทางดนตรี โดยที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อดื่มด่ำกับความโด่งดังจากพรสวรรค์ที่ว่านั้นภายในเวลาเพียง 8 ปี เท่านั้น

แต่ในความจริง…มันมีเหตุผลที่สามารถอธิบายถึงความเป็นอัจฉริยะข้ามปีนั้นได้หรือไม่?

คำตอบคือ…มี!

โรเบิร์ต พาล์มเมอร์ (Robert Palmer) (1945-1997) นักประวัติศาสตร์ดนตรีที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง จากการทำหน้าที่เป็นคอลัมส์นิสต์ให้กับนิตยสาร Rolling Stone และหนังสือพิมพ์ The New York Time รวมถึงยังเป็นผู้เขียนหนังสือที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ดนตรีบลูส์ มีชื่อว่า Deep Blues ได้ค้นหาข้อมูล เพื่อพยายามหาคำอธิบายถึงที่มาความมหัศจรรย์ของ โรเบิร์ต จอห์นสัน เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า…

ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นนั้น มันน่าจะเกิดจากการที่ King of Delta Blues ผู้นี้ ได้ไปฝึกฝนการเล่นกีตาร์อย่างหนักหน่วง จาก ไอก์ ซิมเมอร์แมน (Ike Zimmerman 1907-1967) อีกหนึ่งสุดยอดนักดนตรีบลูส์ในยุคนั้น ภายใต้การสนับสนุนทางการเงินจากหญิงชราภรรยาคนที่ 2 ซึ่งโรเบิร์ตแต่งงานด้วย

ส่วนเทคนิคอันแพรวพราวในการเล่นกีตาร์ ที่ในเวลาต่อมาถูกเรียกว่า single-string picking styles หรือการทำให้เสียงกีตาร์ตัวเดียวมีหลายๆ เสียงพร้อมๆ กันนั้น โรเบิร์ต จอห์นสัน น่าจะเรียนรู้และได้รับอิทธิพลมาจาก ลอนนี จอห์นสัน (Lonnie Johnson) และสแครปเปอร์ แบล็คเวลล์ (Scrapper Blackwell) 2 ศิลปินบูลส์ ในระหว่างที่เขาหายตัวไปอย่างลึกลับนั้น

แล้วเหตุใดคนจึงเชื่อตำนานขายวิญญาณให้กับซาตานที่ทางสี่แพร่งมากกว่าคำอธิบายเรื่องการฝึกฝนอย่างหนักจนกลายเป็นอัจฉริยะ?

คำตอบของคำถามนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะในช่วงที่กำลังรุ่งโรจน์ โรเบิร์ต จอห์นสัน แทบจะไม่พยายามปฏิเสธถึงคำครหาที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ บางที…เขาอาจจะมีความเลื่อมใสเกี่ยวกับอะไรที่เกี่ยวเชื่อมโยงถึง Dark Side ด้วย เพราะในจำนวน 29 เพลงที่เขาเป็นผู้แต่งและได้บันทึกเสียงไว้ก่อนเสียชีวิตด้วยวัยเพียง 27 ปีนั้น มันมีหลายเพลงที่มีเนื้อร้องเชื่อมโยงไปถึงผู้มีอำนาจในขุมนรก เช่น “Hellhound on My Trail” “Up Jumped the Devil” “Me and the Devil Blues” และโดยเฉพาะเพลงนี้…

“Cross Road Blues”

I went to the crossroad
fell down on my knees
Asked the Lord above
Have mercy, now, save poor Bob if you please

ฉันไปถึงทางสี่แพร่ง
แล้วล้มลงคุกเข่า
ทูลถามพระเจ้าที่อยู่เบื้องบน
ขอความเมตตาช่วยบ็อบผู้น่าสงสารด้วยเถิด

ไมเคิล จอร์แดน เก่งได้เพราะขายวิญญาณให้กับซาตานที่ทางสี่แพร่งด้วยใช่ไหม?

สตีเฟน จอห์นสัน (Steven Johnson) รองประธานมูลนิธิโรเบิร์ต จอห์นสัน บลูส์ (Robert Johnson Blues Foundation) ผู้ถือครองสถานะหลานของ King of Delta Blues เคยให้คำจำกัดความถึง “อัจฉริยะทางดนตรีชั่วข้ามปี” ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับยอดศิลปินเอกของโลก อย่าง บ๊อบ ดีแลน (Bob Dylan) เอริค แคลปตัน (Eric Clapton) หรือแม้กระทั่ง คีธ ริชาร์ดส์ (Keith Richards) มือกีตาร์วง The Rolling Stones ซึ่งสามารถกำจัดข้อครหาเรื่องการชายวิญญาณให้กับซาตานได้อย่างหมดจดเอาไว้ว่า…

“ผมคิดว่า ผู้คนทั่วไปควรก้าวพ้นจากเรื่องเล่าขานต่างๆ ไปสู่ความพยายามที่จะเข้าใจความหมายของคำว่า พรสวรรค์ เพราะไม่เช่นนั้น การที่ ไมเคิล จอร์แดน เก่งเหนือมนุษย์บนสนามบาสเกตบอล ก็แปลว่า เขาขายวิญญาณให้กับซาตานด้วยใช่หรือไม่? คำตอบคือ ไม่ใช่เลย มันเกิดขึ้นได้เพราะเขาฝึกฝนอย่างหนัก และหนักกว่าคนอื่นๆ ถึง 2 เท่าต่างหาก!”

นอกจากนี้ สตีเฟน จอห์นสัน ยังได้เปิดเผยข้อมูลที่เขาค้นคว้าถึงการหายตัวไปอย่างลึกลับของผู้เป็นปู่ด้วยว่า ในความเป็นจริงแล้ว โรเบิร์ต จอห์นสัน ไม่ได้หายตัวไป เพียง 1 ปีกว่าๆ ก่อนที่จะกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งด้วยฝีมือที่แตกต่างไปจากเดิมสิ้นเชิง แต่ปู่ของเขาหายตัวไปเรียนการเล่นกีตาร์จาก ไอก์ ซิมเมอร์แมน (Ike Zimmerman) ซึ่งเขาบังเอิญไปพบในระหว่างออกติดตามหา โนอาร์ จอห์นสัน (Noah Johnson) บิดาผู้ให้กำเนิดที่รัฐมิสซิสซิปปี เป็นเวลานานถึง 3 ปี ไม่ใช่เพียง 1 ปี

อย่างไรก็ดี สำหรับการฝึกฝนกีตาร์อย่างหนักกับ ไอก์ ซิมเมอร์แมน (Ike Zimmerman) ที่ตามตำนานกล่าวอ้างว่า เป็นการฝึกในสุสานที่เต็มไปด้วยหลุมฝังศพในเวลาเที่ยงคืนอันดึกสงัดของทุกวันนั้น สตีเฟน จอห์นสัน ไม่เชื่อเช่นนั้น เนื่องจากเขาคิดว่า ความพยายามผูกโยงปู่ของเขากับสุสานเป็นเพียงความพยายามที่จะให้มีเรื่องภูตผีปีศาจเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อให้ตำนานการขายวิญญาณให้กับซาตานที่ทางสี่แพร่งดูเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น เพราะเท่าที่ได้เคยมีโอกาสพูดคุยกับลูกสาวของ ไอก์ ซิมเมอร์แมน (Ike Zimmerman) ที่เป็นเพียงเด็กสาวตัวน้อย ในตอนที่โรเบิร์ตไปฝึกฝนกีตาร์นั้น เธอยืนยันกับเขาว่า โรเบิร์ตพักอยู่ที่บ้านจนเธอนึกว่าโรเบิร์ตเป็นพี่ชายอีกคนของเธอ ทำให้ ไอก์ ซิมเมอร์แมน (Ike Zimmerman) ต้องอธิบายให้เธอฟังว่า โรเบิร์ตไม่ใช่พี่ชาย แต่นักดนตรีและเป็นเพื่อนที่ดีของเขา

ส่วนเนื้อร้องของหลายๆ บทเพลงที่โรเบิร์ตแต่งขึ้น โดยเฉพาะเพลง “Cross Road Blues” ในท่อน…

I went to the crossroad
ฉันไปถึงทางสี่แพร่ง

fell down on my knees
แล้วล้มลงคุกเข่า

Asked the Lord above
ทูลถามพระเจ้าที่อยู่เบื้องบน

Have mercy, now, save poor Bob if you please
ขอความเมตตาช่วย บ็อบ ผู้น่าสงสารด้วยเถิด

ซึ่งหลายคนมีความเชื่อว่า มันเป็นความพยายามเชื่อมโยงถึงการขายวิญญาณให้กับซาตานนั้น สตีเฟน จอห์นสัน ตีความว่า มันเป็นเพียงเสียงของชายคนหนึ่งที่ต้องการสื่อถึงความปรารถนาที่จะทำให้ชีวิตของตัวเองดีขึ้น หลังผ่านพ้นการถูกกดทับ และมีความทรงจำอันแสนเจ็บปวด

“เขาเพียงเป็นคนที่อยู่บนทางสี่แพร่งแห่งชีวิต และสิ่งที่ปู่ของผมทำ คือ การค้นหาและพยายามที่จะทำความดี” หลานของผู้เป็นอัจฉริยะแห่งดนตรีบลูส์ตีความถึงเสียงร้องและเนื้อหาของเพลงที่คนทั่วๆ ไป คิดว่ามันสื่อถึงคนที่กำลังยอมแพ้ให้กับซาตาน

29 เพลงที่เปลี่ยนแปลงวงการดนตรีโลกไปตลอดกาล

หลังความรุ่งโรจน์จากฝีมือการเล่นกีตาร์อันลึกล้ำที่กินระยะเวลาเพียงประมาณ 8 ปี จู่ๆ โรเบิร์ต จอห์นสัน ก็เสียชีวิตลงอย่างน่าเสียดาย ด้วยวัยเพียง 27 ปี โดยสาเหตุการเสียชีวิตของเขานั้นจนถึงปัจจุบันก็ยังคงมีความคลุมเครือ แต่อย่างไรก็ดี จากปากคำของ เดวิด เอ็ดเวิร์ด (David Edwards) นักดนตรีและเพื่อนรักของโรเบิร์ต ซึ่งอยู่ในวันที่เขาเสียชีวิต ทำให้หลายฝ่ายมีความเชื่อว่า มันน่าจะเกิดจากถูกสามีของหนึ่งในหญิงสาวที่เข้ามาติดพันโรเบิร์ต “วางยาพิษ” จนกระทั่งทำให้ King of Delta Blues จบชีวิตลงอย่างน่าเสียดาย

อย่างไรก็ดี เกล ดีน เวิร์ดโรว์ (Gayle Dean Wardlow) นักประวัติศาสตร์อเมริกันบลูส์ ซึ่งค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับการเสียชีวิตของโรเบิร์ตมายาวนาน อ้างว่าได้พบหลักฐานข้อความที่ระบุว่า นักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่คนนี้มีโรคซิฟิลิส (Syphilis) ติดมาตั้งแต่กำเนิด อยู่ด้านหลังใบมรณบัตรของเขา มันจึงมีความเป็นไปได้ว่า สาเหตุของการเสียชีวิตนี้อาจจะเกิดจากการดื่มหนักจนกระทั่งทำให้เกิดอาการผนังหลอดเลือดแดงในช่องอกโป่งพอง (Aneurysm) จนกระทั่งเสียชีวิต

การเสียชีวิตตั้งแต่อายุน้อย และเป็นที่รู้จักเพียงในวงการดนตรีบลูส์ที่ค่อนข้างแคบในยุคนั้น รวมถึงแม้เพียงรูปถ่ายที่ยืนยันว่าใช่ตัวเขาก็ยังมีเพียง 3 ใบเท่านั้น ทำให้ชาวโลกเกือบไม่ได้รู้จักตำนานดนตรีที่มีชื่อว่า โรเบิร์ต จอห์นสัน เสียแล้ว

แต่ยังโชคดีที่ก่อนจะเสียชีวิต โรเบิร์ตได้บันทึกเสียงผลงานเพลงทั้งหมด 29 เพลงเอาไว้ ซึ่งต่อมาได้ถูกนำมารวมทำเป็นอัลบั้มที่มีชื่อว่า King Of The Delta Blues Singers ในปี 1961 และอัลบั้มนี้เองที่ส่งผลสั่นสะเทือนครั้งยิ่งใหญ่ให้กับวงการดนตรี รวมถึงยังเป็นแรงบันดาลใจชั้นเลิศให้กับศิลปินเอกของโลกหลายๆ คน ดังที่เอ่ยไว้ในบรรทัดข้างบนสร้างสรรค์ผลงานชั้นเยี่ยมตามออกมาในภายหลังด้วย

ด้วยเหตุนี้ อัลบั้ม King Of The Delta Blues Singers จึงถูกยกย่องจากนิตยสาร Rolling Stone ให้เป็น 1 ใน 500 อัลบั้มเพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล ในขณะที่ นิตยสาร Mojo ยกย่องให้เป็น 1 ใน 100 อัลบั้มเพลงที่เปลี่ยนแปลงโลกด้วย

End credit

ทางสี่แพร่ง (Crossroad) ตำนานขายวิญญาณให้กับซาตานแลกกับพรสวรรค์ทางดนตรีอยู่ที่ไหน?

มีหลายสมมติฐานที่พยายามระบุพิกัดที่สุดโด่งดังนี้ โดยบรรดาสาวกดนตรีบลูส์เชื่อว่า ทางสี่แพร่งแห่งตำนานอันสุดโด่งดังนี้น่าจะอยู่ในจุดใดจุดหนึ่งระหว่างจุดตัดระหว่างถนนทางหลวงหมายเลข 61 ตัดกับทางหลวงหมายเลข 49 ในเมืองคลาร์กสเดล (Clarksdale) รัฐมิสซิสซิปปี ประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากมันเป็นบ้านเกิดของ โรเบิร์ต จอห์นสัน โดยมันมีสัญลักษณ์อันโดดเด่นที่แลเห็นง่าย เป็นกีตาร์สีน้ำเงินขนาดยักษ์ 3 ตัว ทำให้มันกลายจุดเช็กอินอันโด่งดังสำหรับนักท่องเที่ยวไปในที่สุด

ส่วนอีกจุดที่สาวกคาด คือ จุดตัดระหว่างถนนหลวงหมายเลข 8 และถนนหมายเลข 1 ทางตอนใต้ของเมืองโรสเดล (Rosedale) รัฐมิสซิสซิปปี ประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากมันถูกระบุไว้ในคำร้องเพลง Cross Road Blue อันโด่งดังของเขานั่นเอง

Well, I’m going down to Rosedale
Take my rider by my side
Going down to Rosedale
Take my rider by my side
You can still barrelhouse, baby
On the riverside
Going down to Rosedale
Take my rider by my side
Going down to Rosedale
Take my…

ผู้เขียน: นายฮกหลง
กราฟิก: เทพอมร แสงธรรมาพิทักษ์

ข่าวน่าสนใจ:

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/scoop/1971895
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/scoop/1971895