มาร์ช จากที่ไม่อยากฟังแม่บ่น วาระสุดท้ายแค่มะม๊าเรียกชื่อก็ดีใจที่สุด (คลิป)


ให้คะแนน


แชร์

หลังจากที่นักแสดงหนุ่ม มาร์ช จุฑาวุฒิ ได้สูญเสียคุณแม่สุนันทา ด้วยโรคมะเร็งไปเมื่อวานนี้ ในวันนี้ทางครอบครัวภัทรกำพล ได้จัดพิธีทางศาสนาที่วัดธาตุทอง พระอารามหลวง ณ ศาลา 26 หลังเสร็จสิ้นพิธีรดน้ำศพ นักแสดงหนุ่มได้ให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ว่า

“ขอบคุณมากๆ ครับ ขอบคุณทุกกำลังใจ มะม๊าและพวกผมก็ต่อสู้มานานสำหรับโรคมะเร็งที่มะม๊าเป็น ประมาณเกือบ 6 ปี จริงๆ ก็มาได้ไกลมากๆ สำหรับโรคนี้ที่คุณหมอบอกสำหรับเคสนี้ เขากำลังใจดี และต่อสู้มาจนถึงวันนี้

ข่าวแนะนำ

เรามองว่ามันเป็นปาฏิหาริย์ จากตอนเด็กๆ ที่ผมรู้ ตอนนั้นเหมือนโลกสลาย และตั้งหลักไม่ได้ ค่อยๆ เรียนรู้ รู้จักโรคนี้มา อยู่กับมัน บอกให้คุณแม่สู้จนมาถึงวันนี้ได้

ถ้าใครได้อยู่ใกล้ตัวและอยู่ใกล้คุณแม่ จะแทบไม่รู้เลยว่ามะม๊าเขาป่วย ยกเว้นตอนช่วงที่เขาคีโมเฉยๆ ผมร่วง ก่อนหน้านั้นเขาไม่มีอาการเจ็บ อาการปวดอะไร เขาอยู่กับโรคมะเร็งได้ด้วยความสุข

ด้วยความที่เขาเป็นคนอารมณ์ดีด้วย และเขาก็สู้ เป็นคนใจสู้เพื่อลูกๆ อยากอยู่กับลูกๆ”

1 สัปดาห์ก่อนที่มะม๊าจะทรุด ก่อนหน้านี้มะม๊าเริ่มมีอาการปวดหลังนิดหน่อย พอช่วงสัปดาห์สุดท้าย ผมได้มีโอกาสกินข้าวกับมะม๊า แล้วรู้สึกว่าตอนเขาพูด เขาเหนื่อยๆ ดวงตามีความเหลืองนิดนึง ก็เลยพาไปโรงพยาบาล ไปเช็กหน่อยดีกว่า ผลมันก็ไม่ดีครับจนมาถึงวันนี้”

คุณแม่ได้สั่งเสียอะไรกับเรามั้ย?
“มีครับ มีได้คุยกันแล้ว คุยแบบจริงๆ เราเลยโล่ง อะไรที่มะม๊าเป็นห่วงเรา มะม๊าก็บอกกับเราตรงๆ และก็รวมไปถึงก่อนที่มะม๊าเป็นโรคด้วยนะครับ ก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อมะม๊ามาอยู่แล้ว

ผมก็รู้สึกพยายามเต็มที่ของเราแล้วในตลอดเวลาที่ผ่านมา ถามว่าอยากมีเวลามากกว่านี้มั้ย เราอยากมี แต่ว่ามันไม่มีใครฝืนได้ครับ”

แม่ยังเป็นห่วงอะไรมาร์ช?
“มีครับ จริงๆ มะม๊าเขาคอยซัพพอร์ตทุกๆ ผลงานของผม รวมไปถึงการใช้ชีวิต เขาก็มีบางเรื่องที่เป็นห่วง เขาได้ฝากไว้แล้ว และผมก็รับปาก

หนึ่งในนั้นก็เป็นเรื่องลูกสะใภ้มะม๊าด้วยนั่นแหละ จริงๆ มะม๊าเขาเป็นคนอยากมีหลานอยู่แล้ว รักเด็กอยู่แล้ว

เราก็สัญญา รับปากทุกเรื่องกับมะม๊าครับ แล้วเขาฝากฝังไว้กับคนรอบๆ ให้ช่วยดู มากกว่า แต่เราก็รับปากเขาไว้ แต่ว่า ณ ตอนนั้นเราไม่อยากให้มันเศร้าอะครับ ตอนมะม๊าพูดเราก็ทำขำๆ ใส่เขาไป”

คุณพ่อเป็นอย่างไรบ้าง?
“คุณพ่อก็เศร้าครับ มันเหมือนคนอยู่ด้วยกันมานาน ตั้งแต่จีบกันใหม่ๆ อยู่มาจนถึงตอนนี้ มันมากกว่าครึ่งชีวิตอีก ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมดูแลคุณพ่อต่อเอง ก็คอยเป็นกำลังใจให้คุณพ่อครับ”

มีอะไรอยากพูดถึงมะม๊ามั้ย?
“ผมได้พูดกับมะม๊าไปหมดแล้วครับ แต่ว่าจริงๆ ผมขอพูดถึงคุณพ่อคุณแม่ของทุกๆ คนแล้วกัน ผมมองว่าสำหรับโรคของมะม๊า สำหรับผมมันเป็นอะไรที่ช้าไป ตอนนั้นเรายังเด็ก แล้วมะม๊าเขาก็ตรวจเจอช้าไปนิดหนึ่ง

ผมรู้สึกว่าการตรวจสุขภาพ การดูแลคนใกล้ชิดที่เป็นผู้ใหญ่ มันเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าลูกหลานรู้จักพาไป บางท่านอาจจะไม่อยากไปโรงพยาบาล แต่เราไม่ควรละเลยครับ เราพาพวกท่านไปตรวจ บอกว่าจองครอสไว้แล้วอะไรก็ได้

ผมว่าการที่เรารู้ตั้งแต่วันนี้มันดีกว่า บางทีเราอาจจะเอาชนะมันได้เร็วกว่าด้วย ก็เป็นห่วงเวลาเพื่อนๆ ผมมาเยี่ยม เพื่อนๆ พี่ชายมาเยี่ยมก็ตาม ผมพยายามบอกว่าให้พาพวกท่านไปตรวจนะ และก็ดูแลดีๆ แล้วแบบ…ใช้เวลาอยู่กับพวกท่านเยอะๆ มันเป็นสิ่งสำคัญมาก

คือมะม๊าก็ชอบบ่นผม เราก็จะไม่อยากได้ยิน ไม่อยากฟัง แต่ ณ วันท้ายๆ แค่มะม๊าเรียกชื่อผม (เสียงสั่น) ผมก็ดีใจสุดๆ แล้ว

นั่นแหละครับคือยังไงก็อยากให้ทุกคนใช้เวลากับพวกท่านเยอะๆ และดูแลพวกท่านดีๆ สุขภาพของพวกท่านถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ยิ่งพออายุเยอะก็ยิ่งน่าเป็นห่วง

ตอนนี้ผมสภาพจิตใจดีขึ้นครับ ยอมรับตรงๆ ว่าผมก็เสียหลัก เสียศูนย์ เพราะมะม๊าคือเหมือนเป็นแรงขับเคลื่อนในชีวิตผมตั้งแต่เด็กจนถึงวัยทำงาน มะม๊าดูแลผมมา อยู่ทุกช่วง ทุกก้าวความสำเร็จในชีวิต คือผมไม่มีทางมีวันนี้ได้เลยถ้าไม่มีมะม๊า

ถ้าถามว่ามันขาดอะไรไปไหม มันขาดมากๆ อยู่แล้ว แต่ผมยังถือว่าโชคดีที่มีคนรอบตัวที่น่ารักและซัพพอร์ตผมมากๆ เขาให้ความรักมา เขาคอยประคองผมในวันที่ผมล้ม ต้องขอบคุณพวกเขาทุกคนที่ช่วยเหลือผมมาจนถึงวันนี้”

จากนี้เราก็ต้องเป็นหลักให้คุณพ่อและครอบครัว?
“จริงๆ ผมกับพี่ชายทำกันอยู่แล้วครับ ตั้งแต่ก่อนที่ตัดสินใจว่าให้คุณพ่อคุณแม่เลิกทำงาน และเราจะดูแลเอง มันก็คงยังเป็นอย่างนั้นต่อไปครับ เราก็ให้เวลาคุณพ่อมากขึ้น”.

อ่านเพิ่มเติม…

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1984924
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1984924