แพท พาวเวอร์แพท เล่าชีวิตในคุก 16 ปี 8 เดือน ทุกอย่างไม่ใช่อย่างที่คิด


ให้คะแนน


แชร์

หลังจากที่เมื่อวานนี้ แพท พาวเวอร์แพท ถูกปล่อยตัวจากเรือนจำหลังจากที่อยู่ในนั้นนานถึง 16 ปี 8 เดือน ในคดียาเสพติด และในวันนี้เจ้าตัวก็ได้มานั่งเปิดใจพูดคุยในรายการ คุยแซ่บShow เล่าถึงเหตุการณ์ตอนอยู่ในคุก และชีวิตหลังที่ออกมาจากคุกให้ทุกคนได้ฟังว่า  

ออกมาวันแรกก็กำลังพยายามปรับตัวอยู่ ช่วงระยะเวลาที่อยู่ข้างในมันนานมาก 16 ปี 8 เดือน ออกมาก็งงกับเทคโนโลยี สภาพแวดล้อมสังคม มันเปลี่ยนปุ๊บปั๊บในวันเดียวไม่ได้ ตั้งตัวไม่ทันเลย

ข่าวแนะนำ

ออกมาก็ตกใจกับสมาร์ทโฟน เมื่อก่อนมีมือถือแต่เป็นฝาพับ สื่อโซเชียลต่างๆ ตอนที่ติดคุกเขาห้ามมีมือถือในเรือนจำ เมื่อวานเป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้เล่นไลน์ ครอบครัวเตรียมไว้ให้ หลานชายและพี่เขยก็สอน ตอนนี้ไลน์เริ่มพิมพ์ได้แต่ยังช้าอยู่ หัดส่งสติกเกอร์ (ยิ้ม)

ความรู้สึกตอนที่ออกมา ตอนที่ก้มกราบแม่ เป็นสิ่งที่เราตั้งใจอยากทำมานาน ลึกๆ มีความรู้สึกผิดบางอย่างในใจ เราเป็นต้นเหตุทำให้ครอบครัวลำบากกับการกระทำของเรา ผมอยากจะขอโทษ เพราะก่อนหน้านี้ยังไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับครอบครัว และตั้งใจไว้ว่าเมื่อพ้นโทษจะขอก้มกราบพ่อกับแม่ เมื่อได้ออกมาก็ก้มลงไปกราบ และกอดเขา เป็นการขอโทษเขา

ก่อนหน้านี้ได้มีโอกาสใกล้กันตอนพบญาติ แต่คนเยอะๆ มันก็ไม่ค่อยสะดวก และเป็นเรื่องส่วนตัวของครอบครัว และเหตุการณ์เมื่อวานก็ประทับใจและตื้นตันมากๆ พ่อบอกว่าไม่ต้องร้องนะ แต่ผมร้อง (ยิ้ม) ปกติผมไม่ได้ร้องไห้ง่าย แต่พอเรื่องแบบนี้มันหนักมากๆ ในชีวิต และเป็นสิ่งที่เรารอคอยและเฝ้าคิดถึง จินตนาการภาพต่างๆ ไว้รอ

ตอนที่ก้มกราบอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่มันจุก มันพูดไม่ได้ แม่บอกว่า เราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วนะลูก คนอื่นก็จะอวยพรเรา ขอให้พบเจอแต่สิ่งดีๆ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตัวให้ดี ส่วนใหญ่ผู้ใหญ่จะพูดแบบนี้

พอออกไปจากหน้าเรือนจำ ครอบครัวพาไปวัด ทำสังฆทาน ไหว้พระ รดน้ำมนต์ และเยี่ยมญาติ ไปสักการะศาลหลักเมืองที่นนทบุรี ก็ได้รับพรมาจากหลายๆ ท่าน ก็อบอุ่นอย่างมาก รู้สึกเกินคาดกับความรักความหวังดีที่ทุกคนมีให้เรา

อาหารมื้อแรกกับครอบครัวคือมื้อกลางวัน เป็นข้าวราดแกง น้ำพริกปลาทู ไก่น้ำแดง ตอนนี้เดินทางก็รู้สึกเมารถ เพราะระยะสายตาเคยมองแต่ที่แคบๆ มันเวียนหัว ต้องปรับตัว

ตอนที่ก้มกราบจะพูดอะไร ผมพูดไม่ออก ไม่ได้พูด น้ำตามันไหลออกมาแล้วตอนนั้น แต่สิ่งที่คิดไว้ว่าจะพูดคือ ผมอยากจะขอโทษ อยากจะขอโทษพ่อและแม่ ผมอาจจะไม่ได้เป็นลูกที่ดีที่ผ่านมา อาจทำให้ทุกคนลำบาก ขอโทษหลังจากวันนี้ไป วินาทีนี้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมจะชดเชยในสิ่งที่พลาดไป ไม่ได้ทำสิ่งดีๆ ให้พ่อแม่ จะกลับไปดูแลท่านในช่วงเวลาชีวิตที่เหลืออยู่

ตอนนั้นทำไมรู้จักยาเสพติด? 
ตอนนั้นเด็กๆ เป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงพอสมควร ชอบเล่นดนตรี ก็มีไอดอลที่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ก็แยกแยะไม่ออก อยากใช้ชีวิตแบบเขา เรื่องความเกเร เรื่องยาเสพติด และบางครั้งเหมือนไม่มีใครเข้าใจเรา ก็ใช้ยาเสพติดเป็นเพื่อน ก็ถลำไปเรื่อยๆ จนชีวิตพังไป ตอนนั้นเสพยาทุกวัน ทุกเวลาที่ลืมตาตื่นขึ้นมา

แต่ก็ทำงานได้ปกติ ยังมีสติที่ดี ตอนนั้นเพื่อนๆ และพี่ ครอบครัวพยายามดึง แต่เราไม่ฟัง เพราะเราเป็นคนหัวดื้อ และมีความคิดที่ไม่ค่อยถูกต้อง ไม่เชื่อฟัง ตอนนั้นพ่อแม่เตือน แต่ไม่เชื่อ ไม่ฟัง

ขยับจากผู้เสพ มาเป็นผู้ค้าได้อย่างไร?
พอเราเสพยา จิตใจจะไม่เข้มแข็ง อ่อนไหว ถูกชักจูงง่าย ก็ถูกชักจูงไปในทางนั้น โดยที่เราไม่ทันได้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ เราไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับการขายทั้งสิ้น แต่ถูกชักจูงว่า เอามาฝากนะ ก็ใช้ไปเลย เดี๋ยวมาเอา เราติดยา มีของเสพก็เลยโอเค

ตอนที่ตำรวจจับเพราะเขามาเอายา ตอนนั้นช็อกมาก ตกใจ เกิดขึ้นจริงหรือ ฝันไปหรือเปล่า ตอนนั้นพังแล้ว ทุกอย่างจบ ก็คิดไม่ออกว่าจะยังไงต่อ มันตื้อไปหมด พอถูกจับ จะให้ผมปฏิเสธคงลำบาก เพราะของกลางอยู่กับเรา ก็คงพูดอะไรมากไม่ได้ พูดยังไงคนก็ไม่เชื่อ ก็แก้ตัวไม่ขึ้น

เสียดายที่สุดตอนที่ถูกจับ?
ทุกอย่าง เสียใจเท่ากันหมดเลย

จากความดื้อที่ไม่ฟังคนรอบข้าง มีหน้าใครโผล่มา?
มีครับ คุณพ่อคุณแม่ ทุกอย่างที่ท่านเคยสอน เรื่องการใช้ชีวตที่เราไม่ฟัง มันตรงทุกอย่างเลย ผมต้องมีโทษตลอดชีวิต 2 ครั้ง แต่พอรับสารภาพ ก็ได้ลดเหลือ 50 ปี

ตอนที่ครอบครัวรู้ข่าว เขาก็รีบมาหาผมเลย ถามว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ก็หาทนายมาช่วย ผมเห็นแม่ร้องไห้ก็รับไม่ได้ เหมือนเราทำไมเป็นลูกที่เลวขนาดนี้ ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นได้อย่างไร เขาไม่ได้ต่อว่า เขาเงียบ ยิ่งทำให้เรารู้สึกผิด ทำไมแย่ขนาดนี้ มาคิดได้ตอนที่สายไปแล้ว ตอนนั้นก็บอกคุณแม่ คุณแม่บอกว่า มีปัญหาทำไมไม่ปรึกษากันก่อน

ก้าวแรกในเรือนจำเป็นอย่างไร?
มันค่อนข้างแตกต่างจากหนัง ตอนแรกที่ผมเข้าไป ผมไปอยู่ที่บำบัดพิเศษกลาง สำหรับคดียาเสพติด เข้าไปตอนเย็น มันไม่มีคนเลย ชั้นบนก็จะมีตะแกรงมองลอดได้ ผู้คุมพาเข้าไป เสียงตรวนที่ข้อเท้าก็ดัง คนก็ร้องเฮรับทั้ง 2 ข้างทาง ผมตกใจมาก มันคืออะไร ผมไม่เข้าใจ แล้วก็ค่อยเรียนรู้ไป

ทุกคนทราบว่าผมเป็นศิลปินนักร้อง เขาคิดว่าน่าจะได้ความบันเทิงจากผม แต่ตอนนั้นผมไม่พร้อมให้ความบันเทิงกับใคร ไม่รู้จะเจออะไร วันแรกๆ ต้องสอบประวัติ ตรวจสุขภาพ ตัดผม ตอนนั้นผู้คุมบอกว่าให้ไปร้องเพลงให้เพื่อนฟัง คนรอฟังเป็นร้อย ตอนนั้นก็ร้องเพลง (ยิ้ม)

พอได้ร้องก็สบายใจ ความเกร็งมันหายไป มันไม่ได้น่ากลัวนะ ทุกคนเหมือนคนธรรมดา ไม่ได้เลวร้ายแบบในหนัง ตอนกลางคืนก็นอนปรับทุกข์กัน ตอนอยู่ข้างในก็มีเพศทางเลือกเขียนจดหมายส่งมาให้เรา ผมก็ฝากคนที่รับฝากไปบอกเขาว่าผมไม่ได้มีรสนิยมแบบนี้ แต่เป็นเพื่อนกันได้ คุยกันดีๆ

ตอนที่ศาลบอกว่าติดคุก 50 ปี ตกใจมาก เราจะอยู่ยังไง 50 ปี แต่พอศาลตัดสินก็น้อมรับคำตัดสิน ก็นั่งคิดว่าจะอยู่อย่างไรในเรือยนจำให้ได้ ก็ใช้เวลาอยู่สักพักว่าเราต้องอยู่และยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องอยู่กับมันให้ได้ ก็เลยทำให้มันดี ทำให้เป็นคนดีที่ดีกว่าเดิม ทำให้คนภายนอกรู้สึกกับเราใหม่ พัฒนาตัวเองทุกๆ ด้าน เปลี่ยนแปลงตัวเองให้ครอบครัวภูมิใจ ใช้เวลาเกือบเดือน

ส่วนเรื่องฆ่าตัวตายไม่เคยมีเข้ามาในหัว ไม่ได้รุนแรง เราต้องสู้เพราะมีครอบครัวให้กำลังใจตลอดเวลา ครอบครัวผมน่ารักมาก ไม่เคยทิ้งเลย ครอบครัวก็บอกให้เราทำตัวดีๆ ประพฤติตัวดีๆ เดี๋ยวเขาก็ลดโทษให้ สู้คดีกว่า 7 ปี หมดไปเท่าไร ครอบครัวก็ไม่พูดไม่บอก

ตอนอยู่ข้างใน ผมเริ่มต้นใหม่อยากเรียนให้จบปริญญา เพราะตอนจบ ปวช. ก็มาออกอัลบั้ม ไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย พอทราบว่าข้างในมีโอกาสให้ผู้ต้องหาเรียนในชั้นปริญญาตรีก็สมัครเรียนทันที ตอนนั้นเรียนจบสารสนเทศศาสตร์ จากนั้นก็เรียนต่อเรื่องจิตรกรรม ก่อนเข้าคุกไม่ได้วาดรูปเก่งแบบนี้ (ยิ้ม)

โอกาสจะกลับมาร้องเพลงจริงจังมั้ย?
งานเพลงมีโอกาสแน่นอน กำลังคุยๆ กันอยู่

คิดมั้ยว่าสังคมอาจจะไม่ให้อภัย?
ไม่ได้คิดแบบนั้นเลย ผมเชื่อว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่มีความเมตตา ให้อภัย และผมมีความตั้งใจจริงที่จะกลับตัว และขอพิสูจน์ตัวเอง จะสร้างแต่ความดี ทำประโยชน์ให้สังคม ถ้าคนได้เห็นไม่น่าจะมีความคิดแบบนี้เกิดขึ้น

สุดท้ายอยากบอกอะไร?

“เรื่องเกี่ยวกับตัวอย่างของตัวเองที่เจอมา ผมไม่อยากให้เกิดกับครอบครัวใคร เกิดกับใคร ผมอยากให้ดูชีวิตผมเป็นบทเรียน เยาวชนควรจะเชื่อฟังครอบครัว เชื่อฟังพ่อแม่ เพราะบุคคลเหล่านั้นคือคนที่หวังดีและเป็นห่วงเราที่สุด ใครที่กำลังคิดจะทำสิ่งที่ไม่ดี ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด อยากจะให้เลิก มันไม่คุ้มค่ากันกับสิ่งที่คุณคิดว่าคุณได้ผลประโยชน์อะไรมา ถ้าพลาดเข้าไปอยู่ข้างใน ชีวิตจบ ไม่มีเงินจำนวนใดที่จะมาชดเชยชีวิตที่สูญเสียไปในนั้นได้ (ไหว้) อยากขอโอกาสสังคม ผมตั้งใจแล้วว่าผมจะต้องเป็นคนที่ดีกว่าเดิมให้ได้ ผมจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าผมเป็นคนดีกว่าเดิมแล้ว ผมเชื่อว่าคนไทยใจดีครับ และยินดีที่ให้โอกาสกับผม ขอบคุณครับ”.

อ่านเพิ่มเติม…

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2006627
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2006627