เปิดชีวิต นิว-จิ๋ว จากมิตรภาพเด็กประกวดร้องเพลง อยู่วงการนี้ห้ามอ่อนแอ


ให้คะแนน


แชร์

เราถามต่อถึงวันที่ทั้งคู่ตัดสินใจมาประกวดบนเวทีเดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 1 ซึ่งเป็นเวทีการประกวดร้องเพลงระดับประเทศ นิวบอกว่าตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะมาเพื่อแข่งกันเอง แต่หาเพื่อนไปลุยด้วยกันมากกว่า

“ตอนประกวดเดอะสตาร์ เราไม่ได้คิดว่ามาแข่งกัน แต่หาเพื่อนไปลุยด้วยกัน แม้กระทั่งพี่ๆ ที่เป็นตัวแทนภาคเหนือที่ไปด้วยกันก็รู้สึกว่าเราเป็นตัวแทนภาคเหนือเพื่อไปเจอแก๊งอื่น ใครก็ได้เข้าไป ขอให้เชียงใหม่ติดเป็นตัวแทนเข้าไปหน่อย

จริงๆ ตอนที่ประกวด จิ๋วเขาพูดว่าเขาไม่ไป เพราะรู้สึกว่าที่ 1 คือได้เป็นศิลปิน ซึ่งเขารู้สึกว่าไม่ใช่เขา ไปก็เสียเวลา แต่นิวเป็นคนชอบลอง จะคิดกันคนละแบบ แต่สุดท้ายก็ไปเกลี้ยกล่อมเขาว่ามาเถอะ มีทั้งนิว พี่เอ็ม และพี่ๆ นักดนตรีที่ร้านบอกว่าไปเถอะ โอกาสไม่ได้มีเข้ามาบ่อยๆ”

จิ๋วเผยเหตุผลที่ทำให้รู้สึกไม่อยากไปประกวดว่า เป็นเพราะมองภาพตัวเองไม่ออกว่าจะมาเป็นศิลปินออกอัลบั้มได้ยังไง

“ในจังหวะตอนนั้นความเป็นเด็กทำให้เรายังไม่เข้าใจ 100% แค่คิดว่าเราไม่ไปดีกว่า เรามองภาพตัวเองเป็นศิลปินไม่ออก ฉันรักการร้องเพลง แต่ฉันมองภาพไม่ออกว่าใครจะมาชื่นชอบฉัน อยากซื้ออัลบั้มฉัน ตอนนั้นเด็กเกินไปที่จะเข้าใจ”

ถึงแม้สุดท้ายจะไม่ได้ตำแหน่งเดอะสตาร์ทั้งคู่ แต่ก็ได้ออกอัลบั้มเพลงด้วย จิ๋วบอกว่าดีใจที่ผู้ใหญ่มองเห็นและให้โอกาส “เราไม่ได้ที่ 1 มันไม่มีทางเป็นไปได้ว่าเราจะมีโอกาสทำอัลบั้มจริงๆ ค่ะ จังหวะนั้นมันเป็นแค่ช่วงเวลาจะมีคอนเสิร์ตของเดอะสตาร์ที่จัดให้ เราก็คิดแค่นั้นจริงๆ

จนวันนึงพี่ที่เอ็กแซ็กท์บอกว่ามีผู้ใหญ่สนใจนะ พี่ดี้ (นิติพงษ์ ห่อนาค) อยากให้ทำอัลบั้มคู่กัน เราก็ดีใจ เขามองเห็นเราด้วย” นิวเสริมว่า “ความเป็นดูโอไม่ยากสำหรับเรา เพราะเรามาคู่กันอยู่แล้ว ยิ่งดีไปใหญ่เลย”

ไม่ยอมแพ้แม้เจออุปสรรค

จากนั้นอัลบั้มชุดแรกในชีวิตของนิวและจิ๋ว NJ Together ก็ได้ออกมาสู่สายตาแฟนเพลงในปี 2548 มีเพลงฮิตอย่าง “คนเจ้าน้ำตา” ที่กลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากในเวลานั้น แต่คนไม่ค่อยรู้จักทั้งคู่เท่าไหร่ ซึ่งนิวเล่าให้ฟังว่า

“ตอนนั้นเพลงมา แต่เราไม่มา (หัวเราะ) เขาจำหน้าเราไม่ได้ ไม่ได้ออกสื่ออะไรเยอะ” จิ๋วเสริมว่า “คือตัวเพลงน่ะทำงาน แต่ตัวตนคนยังไม่รู้เท่าไหร่ ถามว่ารู้จักมั้ยรู้จักค่ะ แต่ถ้าเทียบกับอัลบั้มที่ 2 คนจะเก็ตกว่าในความเป็นคาแรกเตอร์ของสองคน” นิวเสริม “คือเขาอาจจะจำเราได้ แต่ตอนนั้นเรายังอายุ 20 ต้นๆ ไม่ค่อยมีข่าวอะไร”

แต่หลังจากอัลบั้มแรก ทั้งคู่ก็ห่างหายจากการออกอัลบั้มเดี่ยวไปนานถึง 4 ปี จิ๋วเล่าชีวิตช่วงนั้นว่า “ช่วงนั้นก็กลับไปเรียนให้จบ ระหว่างนั้นก็มีโปรเจกต์พิเศษ และทำงานประจำ ช่วงนั้นต่างคนต่างแยกไปทำตามที่ต่างๆ เพื่อหาประสบการณ์

ถามว่ามีใจแป้วมั้ยว่าอัลบั้มชุด 2 ไม่ได้ทำสักที ก็โชคดีที่เราไม่ได้คิดมาก จังหวะนั้นก็จะมีทั้งงานร้องเพลง มีอะไรหลายๆ อย่างที่เราก็สนุก สนุกกับงานแปลกๆ ที่เราได้ทำ” นิวเสริม “เราไม่ได้นั่งรอเฉยๆ ค่ะ ใครชวนไปไหนก็ไป มันสนุกกับการทำงานไปด้วย มันก็เลยลืมไปเลย เอ้า…ผ่านไป 4 ปีแล้วเหรอ ทนจังเลย (หัวเราะ) สุดท้ายผลของการทนและการฝึกฝนของเราก็ใช้ได้ดีจริงๆ”

สุดท้ายอัลบั้มที่ 2 Next Step ในปี 2554 ประสบความสำเร็จอย่างมาก จิ๋วบอกว่าสมกับที่ทั้งคู่ไม่ยอมแพ้ ไม่ท้อถอยกับอะไรง่ายๆ “จิ๋วว่ามันชัดในมุมของการรอแล้วได้อะไรจริงๆ คือมู้ดของความไม่ยอมแพ้ ไม่ท้อถอยในสิ่งที่เรารู้สึกว่าโอกาสมีรึเปล่า แสงสว่างตรงปลายทางมีรึเปล่า เราไม่รู้ แต่ยังอยากทำอยู่ ไม่เคยคิดว่าจะโทรกลับไปบอกที่บ้านว่าเราอยากกลับบ้านแล้ว เรารู้สึกว่าเราไหวกับการทำงาน”

ไม่หวั่นแม้เจอดราม่า

อีกหนึ่งพัฒนาการที่เห็นได้ชัดของ นิว-จิ๋ว นอกจากเรื่องเสียงร้องเพราะๆ แล้ว เห็นจะเป็นเรื่องความสวยของทั้งคู่ ทำเอา 2 สาวเป็นปลื้มเลยทีเดียว เมื่อถามว่าอะไรที่ทำให้ลุกขึ้นมาปรับลุคตัวเอง จิ๋วบอกว่า

“จิ๋วไม่ได้มองว่าเราสวย เราถึงจะได้ฟีดแบ็กที่ดี เราไม่ได้คิดแบบนั้น แต่มันคืองานของเรา มันคือพัฒนาการ อะไรที่ทำให้คนเห็นแล้วเฮ้ย มาลุคนี้ มันเป็นมู้ดนั้นมากกว่า”

นิวเสริม “คนสำคัญคือทีมงานเบื้องหลัง ทั้งทีมเพลง เสื้อผ้าหน้าผม เขาบอกว่าเพลงออกมาแบบนี้มันแซ่บ มันโดนแน่นอน แล้วทีมต่อไปคือทีมเสื้อผ้าหน้าผมที่จะทำการบ้านต่อ ซึ่งมันสอดคล้องกัน พากันทำให้มันชัดเจนมากยิ่งขึ้น น่าจดจำ” จิ๋วพูดต่อ “เรียกว่าได้ทีมที่ดี แล้วเหมือนอายุมันข้ามไปอีกกลุ่มนึง ก็รู้สึกว่ามันโตตามวัย มีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น ต่างจากอัลบั้มแรกที่ดูเด็ก อินโนเซ้นส์มาก แค่ยืนถ่ายปกอัลบั้มยังงงว่าจะเซตแอดติจูดยังไง ยังไม่เข้าใจเลยค่ะ”

เมื่อมีคนชอบก็ย่อมมีคนไม่ชอบเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งทั้ง 2 สาวก็ไม่ได้นำคำพูดบูลลี่เรื่องศัลยกรรมมาใส่ใจ โดยจิ๋วเล่าถึงการรับมือในแบบฉบับตัวเองว่า

“จิ๋วว่าจิ๋วอ่านและรับฟังได้หมดมากกว่า บางทีความคิดคนเราไม่เหมือนกัน จิ๋วไม่ได้อ่านสิ่งที่เป็นลบแล้วรู้สึกว่า หืม ไม่ชอบฉัน

สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความเข้าใจมากกว่า มันไม่ได้มีเอฟเฟกต์กับเรา เขารู้สึกไม่โอเคกับเรา เราแค่เป็นเรานั่นแหละ เพราะจะเปลี่ยนให้เขามาชอบเรา โดยอะไรหลายอย่างคงไม่ง่ายขนาดนั้นค่ะ และเราไม่มีพลังงานลบที่ทำให้เขารู้สึกไม่ดีไปอีก

ถามว่ามีเสียใจมั้ย ไม่มีค่ะ เพราะเรารู้สึกว่าเราเจอคนหลากหลาย นานาจิตตัง ร้อยคนอาจจะพูดกับเราคนละเรื่อง ดังนั้นเรารับฟังแล้วปล่อยผ่าน ไม่ได้เอามาเป็นแก่นสารทำให้เสียใจเศร้าใจ”

นิวเสริมว่า “อยู่วงการนี้มันต้องไม่อ่อนแอ ไม่เอนอ่อนไปตามความรู้สึกของคนอื่นที่เอามาลงที่เรา เรารู้สึกว่าสมัยที่ยังไม่ใช่ยุคกล้าพูดกล้าทำขนาดนี้ คนก็มีการนินทากันอยู่แล้ว แต่ทุกวันนี้มันมีกล้าแบบตัวจริงกับแอคเคานท์หลุม (หัวเราะ)

ถ้าหากกล้าพูดเราต้องกล้าฟัง สุดท้ายเราจะเก็บเอาความรู้สึกมาทำให้ตัวเองหดหู่เหรอก็ไม่ใช่ แต่จะบอกว่าปุ่ม Delete กดง่ายนะคะ” นิวหัวเราะถูกใจก่อนจะพูดต่อไปว่า

“นิวมักจะมองแต่เรื่องที่ดีเข้ามา ถามว่าคอมเมนต์แรงๆ มีผลมั้ย มันก็มีบ้าง แต่เราไม่เก็บ แต่พอจะทำให้เรารู้สึกได้ว่ามีคนมองเราอยู่ ฉะนั้นวันต่อไป ก้าวต่อไป เราต้องระวัง อย่าให้มีใครมาวิจารณ์เราไม่ดี เราต้องดีกว่าเขา แต่ก็ดีใจที่แฟนๆ ยังเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เขาสนับสนุนเป็นตัวอย่างที่ดี”

พูดเหมือนจำ ทำเหมือนเดิม

จากนั้น 2 สาว พูดถึงการทำงานเพลงใหม่ล่าสุด “พูดเหมือนจำ ทำเหมือนเดิม” ซึ่งจิ๋วขยายความถึงเพลงนี้ไว้ว่า “เพลงนี้เป็นซิงเกิลที่ 2 ของอัลบั้มที่ 6 NJ Squared จริงๆ เพลงแรกที่เราปล่อยคือ “โนสนโนแคร์” มันจะเป็นมู้ดที่ใหม่หน่อย แต่ “พูดเหมือนจำ ทำเหมือนเดิม” จะเป็น Lecaxy เป็นพาร์ทที่เป็นออริจินัลของความเป็นเรา เป็นเพลงช้าที่เป็นซิกเนเจอร์ของเมโลดี้ภาษาในเพลงที่จะมีการพูดและขยี้ในความรู้สึก

ตั้งแต่เรื่องคอนเซ็ปต์ ก็คุยกับทางโปรดิวเซอร์ว่ามันมีความรักอะไรที่เรารู้สึกว่าบางทีเป็นเรื่องที่แก้ไม่ได้ มันน่าจะเป็นคอนเซปต์ที่เรายังไม่เคยพูดถึงค่ะ เขาก็พยายามคิด ก็เสนอมาว่าพูดเหมือนจำ ทำเหมือนเดิม

เราก็ชอบนะ มันได้หลายอารมณ์ที่แค่เป็นเรื่องง่ายๆ ในการรับปาก แต่สุดท้ายก็ทำเหมือนเดิม คือมันเป็นดีเทลที่ได้กับทุกเรื่องเลย พอมาทำซิงเกิลที่ 2 เรียกว่ามีครบเครื่อง มีท่าเต้นด้วย มีเอ็มวีเน้นพระเอกนางเอกที่มาเล่าเรื่องราว เหมือนมีหัวข้อก่อนแล้วขยายความค่ะ”

เราถามถึงสไตล์นิวจิ๋วที่ทุกคนคุ้นเคย คือการมีท่าเต้นเพลงช้า กับการร้อง No…No…No ทำเอา 2 สาวหัวเราะชอบใจ ก่อนที่จิ๋วจะบอกว่า “เวลาไม่มีคนก็ถามว่าทำไมไม่มี ดังนั้นเราต้องมีค่ะ คือมันมีความ relate ถึงเราด้วยในการร้องเพลงนิวจิ๋วแล้วมีอะไรให้เล่นค่ะ” 

มิตรภาพที่ยาวนาน

เราถามถึงความเป็นดูโอทั้งในวงการเพลงและชีวิตจริงของทั้งคู่ว่าอะไรที่ทำให้มีมิตรภาพที่ยาวนานขนาดนี้ นิวบอกว่า

“ก็คงเป็นความเติบโตตั้งแต่เริ่มด้วยกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เข้าใจว่าเขาเป็นเขาและเราเป็นเรา มันถึงจะอยู่ด้วยกันได้ โชคดีที่เรามีอะไรที่มันไม่เหมือนกัน ถ้าเราเหมือนกันไปซะหมด ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานขนาดนี้มั้ย

เวลาที่เราทุกข์ใจ เราชอบที่จะพูดกับเขา มันเลยกลายเป็นสนิทกันตั้งแต่เด็กจนถึงวันนี้ เราอยู่กันอย่างธรรมชาติมาก ไม่ได้อยู่เพราะงานด้วยซ้ำ คือถ้าหากว่าวันนี้ไม่ได้เป็นนักร้อง ยังไงเราก็ยังเป็นเพื่อนกัน ไม่ใช่เพื่อนเพื่อธุรกิจ”

จากนั้นจิ๋วเปิดใจให้ฟังว่า “จริงๆ เราเรียนรู้กันอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ความเป็นเด็กจนโต และทุกวันนี้ชีวิตมันก็เปลี่ยนแปลงไปทุกสเตป จิ๋วว่าเราหาบาลานซ์กันเจอ มันมีหลายอย่างที่เราต้องบาลานซ์ให้มันโอเค เพราะทุกเรื่องเราโยงกันไปหมดแล้วค่ะ เพื่อนก็กลุ่มเดียวกัน งานก็ทำด้วยกัน ชีวิตส่วนตัวเราจัดบาลานซ์ให้มันดี พื้นฐานมีปรารถนาดีต่อกัน”

จิ๋วยอมรับว่าเคยมีเรื่องงอนบ้างแต่นานมากแล้ว “นานมากแล้วค่ะ คือเราโตจนแบบถ้าเรารู้สึกจริงๆ ถึงจะบอกกันบ้าง แต่ไม่ได้เป็นการคุยแล้วจะทะเลาะ เป็นแค่ความเป็นห่วงกันมากกว่า จิ๋วก็มองว่านิวโตแล้ว แต่งงานมีครอบครัวแล้ว ความเป็นเพื่อนเราก็แค่คอยซัพพอร์ตมากกว่า” นิวเสริมว่า “เรื่องงอนกันไม่มีเลย ถ้าเป็นละครก็มีหลายตอน ตอนดราม่าก็ผ่านไปแล้ว เราก็ผ่านมาได้ด้วยดี ตอนนี้นักแสดงกำลังทำกับข้าวมีความสุข แฮปปี้อยู่ (หัวเราะ) ถ้าเราไม่มีการทะเลาะปรับจูนหรือพูดคุยก็ไม่มีวันนี้ค่ะ การพูดกันครั้งนั้นเป็นเรื่องที่ดีมากเลย”

นิว-จิ๋ว และก้าวต่อไป

ในวันที่ชีวิตลงตัวทุกอย่างทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว เราถามว่ามองชีวิตตัวเองยังไงบ้าง นิวบอกว่า “มาไกลมาก ไม่เคยคิดว่าจะมาอยู่กรุงเทพฯ ไม่เคยคิดว่าจะห่างพ่อแม่ขนาดนี้ ไม่เคยคิดว่าจะอยู่ด้วยกัน มีบ้าน มีรถ มีเสื้อผ้าสวยๆ ใส่ มีกระเป๋าแบรนด์เนมใช้ ทุกอย่างมาจากความขยันทำงานของเรา มันเกิดมาจากเรา ไม่ใช่นิวหรือจิ๋วคนเดียว”

จิ๋วบอกว่ารู้สึกภูมิใจที่อยู่ในวงการเพลงมานาน และทำงานด้วยความสุข “อย่างที่เล่าว่าภาพตัวเองทำอัลบั้มเนี่ย เราไม่มีภาพนั้นจริงๆ แต่พอมาอยู่แล้วมานั่งนับแล้วโห มีความสุขมาก นี่เราอยู่ในวงการ 10 กว่าปี พูดแล้วก็ภูมิใจ

เราขับเคลื่อนด้วยงานที่มีความสุข และได้ทำในสิ่งที่ทำมาตั้งแต่เด็ก มาจนถึงทุกวันนี้เรายังได้รับการตอบรับของแฟนเพลง รู้สึกว่านี่คือกำไรชีวิตที่เราเก็บเกี่ยวค่ะ” นิวเล่าต่อ “นิวกลับเชียงใหม่แล้วไปเจอพี่น้องที่เป็นนักดนตรี พี่ๆ สห. เขาก็ยินดีกับเราไปด้วย ไม่เคยคิดว่าจะรู้จักดารา แต่เราก็รู้สึกว่าเราก็ยังเหมือนเดิมค่ะ”

นิวเผยสเตปชีวิตในวันต่อไปว่ายังคงอยากร้องเพลงเหมือนเดิม เหมือนกับศิลปินระดับโลกที่แม้อายุมากขึ้น แต่ยังคงเดินหน้าทำงานเพลงต่อไป

“นิวก็ยังมองเห็นภาพข้างหน้าว่าเรายังเป็นดูโอ เพราะเรายังยึดคำว่านักร้องดูโอได้อยู่ ตอนนี้ยังไม่มีใครเข้ามาแทน เราก็พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่ว่าวันนี้หรือ 10-20 ปี ถ้าหากเรายังเป็นที่นิยมอยู่ มันก็จะต่อยอดไปเรื่อยๆ อย่างมาดอนน่าก็ทำมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เขายังร้องเพลงได้อยู่ ถ้ายังมีคนรักเราและมีโอกาสได้ทำเพลงค่ะ”

จิ๋วเสริม “ก็อยากนะคะ อยู่ได้ก็อยากอยู่ นักร้องรุ่นพี่ในเมืองไทยที่ยังคงเป็นนักร้องก็ยังมีอยู่ พี่ใหม่ เจริญปุระ พี่แอม เสาวลักษณ์ พี่ติ๊นา ทุกคนยังสามารถอยู่ตรงนี้ ถ้าเราทำได้ก็อยากทำนะ ตราบใดที่มีคนฟังก็ยังมีเรา แต่เข้าใจว่าความนิยมก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย แต่ถามว่าอยู่มั้ย อยู่ค่ะ (หัวเราะ)”

นิวพูดต่อ “อย่างช่วงโควิด นิวก็คิดว่าถ้าไม่เป็นนักร้อง จะใช้ชีวิตปกติธรรมดา เราจะทำอะไรดี (หัวเราะ)

ทุกวันนี้นิวเปิดร้านอาหารที่เชียงใหม่ มันก็เป็นการเปลี่ยนบทบาทตัวเองจากนักร้องมาเป็นเจ้าของธุรกิจ จิ๋วก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่เหมือนเป็นเจ้าของไปในตัว เขาจะรู้หมดทุกอย่าง ถ้าวันนึงจะมาทำอะไรไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก เพราะว่าแชร์ประสบการณ์กันอยู่เรื่อยๆ” จากนั้นจิ๋วบอกว่า “ยังไม่ได้ดีไซน์แพลน A หรือ B แต่ว่าคิดว่าถ้าถึงจุดนั้นเราก็คงจะคิดอะไรให้ตัวเองแหละ ก็เดี๋ยวว่ากันค่ะ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย
กราฟิก : Sathit Chuephanngam

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2006232
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2006232