นุก สุทธิดา เปิดใจ ปล่อยเช่าบ้านหรู หวิดเอี่ยวคดี เสียหายหลักล้าน เชื่อ เจ้าที่แรง คนไม่ดี อยู่ได้ไม่นาน  


ให้คะแนน


แชร์

นุก สุทธิดา เปิดใจ ปล่อยเช่าบ้านหรู หวิดเอี่ยวคดี เสียหายหลักล้าน เชื่อ เจ้าที่แรง คนไม่ดี อยู่ได้ไม่นาน

เกาะติดข่าว กดติดตามข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

จากกรณีที่นักร้อง-นักแสดงสาว นุก สุทธิดา เกษมสันต์ ณ อยุธยา ไลฟ์สภาพบ้านหรูหลังใหญ่ของตนเอง ในพื้นที่ 1 ไร่ ย่านลาดพร้าว ที่ให้คนมาเช่าเพื่อหารายได้ไปเลี้ยงลูก แต่ผู้เช่ารายใหม่กลับทำบ้านพังเละ แถมทำสิ่งผิดกฎหมายจนตำรวจคุมตัวไปสอบ โดยก่อนหน้านี้เคยเกิดเหตุการณ์คล้ายกันนี้มาแล้ว เมื่อมีชาวจีนมาเช่าและทำบ้านพังเละ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดวันที่ 14 ม.ค. นุก สุทธิดา ได้เปิดใจเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ “ข่าวสดบันเทิงออนไลน์” ว่า “เหตุที่ทำให้ตัวเองได้ไปเห็นสภาพบ้านที่พังแบบนั้น จริงๆ ค่าน้ำค่าไฟมันจะขึ้นในแอพพลิเคชั่นใช่มั้ย แล้วทีนี้มันมีการจ่ายค่าเช่าล่าช้าทุกเดือนจนถึงเดือนล่าสุดก็คือธันวาคมที่ผ่านมา ล่าช้าจนเกินกำหนด บวกกับค่าน้ำค่าไฟที่สูงมาก รู้สึกว่าตรงนี้เราไม่อยากรับผิดชอบเพราะเราเจอผู้เช่าที่บางทีหายไปเลย เราก็เลยตัดสินใจเข้าแจ้งความก่อนเพื่อที่จะนัดผู้เช่าตามสัญญาเช่า ไม่ใช่ผู้เช่าที่เกิดเรื่อง ซึ่งผู้เช่าตามสัญญาเช่าเราได้นัดไปที่สน.เพื่อทำการขอยกเลิกสัญญาเช่า ด้วยเหตุการณ์จ่ายค่าเช่าที่ล่าช้าและค่าน้ำค่าไฟที่สูงถึง 80,000 บาทแล้ว”

“พอเราเข้าไปปรากฏว่าทางผู้เช่าที่ทำสัญญากับเราซึ่งคอนเฟิร์มนัดกับเราตลอด แต่พอถึงเวลากลับบอกว่าไม่สะดวก แต่เราก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะประมาณนี้แหละ เราก็เลยเข้าไปด้วยตัวเองก่อนเพื่อที่จะไปลงบันทึกประจำวัน พอเข้าไปถึงมีโอกาสได้เจอกับรองสืบของสน.วังทองหลาง ขอเรียกว่ารองตั้มนะคะ รองตั้มก็บอกว่าได้เข้าจับกุมบ้านหลังนี้พอดีเมื่อคืนนี้(12ม.ค.) ซึ่งมันบังเอิญมากอะไรมันจะบังเอิญที่ตอนเช้าวันที่ 13 ม.ค. เราเข้าไปหา แล้วก็ยังแจ้งด้วยว่ามันมีการเสพยาเสพติดแต่ไม่ได้พูดว่าขายนะคะ ที่นี้เราก็เลยบอกว่าอ้าว! ถ้าอย่างนั้นสัญญาเช่าเราถือว่าเป็นโมฆะนะคะ เพราะว่ามีการกระทำผิดซึ่งเราได้เขียนเอาไว้อย่างชัดเจน เนื่องจากผิดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการเช่า เรามีสิทธิ์ยกเลิกสัญญาเช่า เลยรบกวนรองตั้มช่วยประสานงานนัดผู้เช่าให้เราหน่อย เพื่อที่จะมาทำการยกเลิกสัญญาเช่าอย่างถูกต้องและย้ายออก”

“ตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นคือผู้เช่าไม่ยอมย้ายออก คุยยังไงก็ไม่ยอมย้ายออก เราก็คิดว่าตำรวจน่าจะเป็นตัวกลางที่จะช่วยเราได้ เพราะไม่อย่างนั้นกฎหมายมันยังคุ้มครองผู้เช่าอยู่ เราก็เลยทำการนัดกันในวันพุธที่ 13 ม.ค. แต่วันนั้นเองก็มี อย. และ ปคบ. ได้เข้าไปพร้อมกับที่เรานัดตำรวจของสน.วังทองหลาง เลยกลายเป็นการไปรวมตัวกันโดยที่ไม่ได้นัดหมายเยอะมาก แต่ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นคือจากที่เรามีภาพในหัวเพราะเราคุยไลน์กันตลอด เขาก็จะส่งรูปบ้านมาให้ดูตลอดบอกว่าบ้านสวย เขาอยากอยู่นานๆ แล้วเราก็เห็นว่าบ้านสวย เราก็เลยรู้สึกว่าแสดงว่าเขารักบ้าน เราก็เลยไม่คิดว่าบ้านมันจะเละ แล้วเราก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นถึงขั้นโรงงาน เพราะว่าเขาส่งรูปให้เราในอีกแบบหนึ่ง เราก็คิดว่าเป็นการไปคุยสั้นๆ เพื่อยกเลิกสัญญาเฉยๆ แต่พอเข้าไปถึงคืองานยาวมากไปจนถึงเย็นคือไม่ได้กินข้าวทั้งวัน”

คนที่ส่งรูปบ้านมาให้ดูตลอด คือคนที่เป็นผู้เช่าตามสัญญา หรือผู้เช่าที่อยู่เอง?
“คือมันจะเป็น 2 กรณีค่ะ เราคุยกับผู้เช่าในส่วนของสัญญาเช่าและค่าเช่า ตามสัญญาเราก็ต้องคุยกันตามสัญญาหน้างาน แต่คุณแม่ของน้องพยายามจะโยนให้น้องว่า “ก็ไปคุยกันเองสิ” เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ที่ติดต่อคุณแม่ไม่ได้ก็จะติดต่อน้อง ถ้าติดต่อน้องไม่ได้ก็จะติดต่อคุณแม่ แต่คนที่ถ่ายรูปบ้านส่งมาให้ดูคือน้อง เขาจะชอบอวดว่า…บ้านสวยนะพี่ ผมดูแลอย่างดี ผมรัก บางทีก็ส่งรูปรถมาให้ดูอะไรแบบนี้”

แล้วตัวน้องคนที่ส่งรูปมาให้ดูชื่ออะไร?
“ต้องบอกก่อนว่าชื่อที่นักข่าวรู้กับชื่อที่นุกจำได้มันคนละชื่อกัน ชื่อที่นุกถูกได้รับคำแนะนำก็คือน้องเพชร ชื่อจริง ตรีเพชร แต่มารู้ทีหลังว่าน้องชื่อ อธิป ส่วนชื่อเล่นจำไม่ได้ แต่ว่านักข่าวเรียกกันคนละชื่อ”

วินาทีที่ทราบจากทางตำรวจว่าบ้านที่เราให้เช่าทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดด้วย?
“นุกเชื่อว่ามีคนแบบนี้หลายคน คือผิดอะไรก็ได้ แต่พอเป็นเรื่องยาเสพติดเราไม่เอา เราไม่โอเค”

ย้อนถามว่าบ้านหลังนี้เคยให้เช่ามาแล้วกี่ครั้ง?
“เยอะค่ะ แต่ที่เป็นปัญหาหลักๆ 2 ครั้ง ครั้งแรกคือพอเราเช็กแล้วแค่รู้สึกว่าค่าโทรศัพท์มันผิดปกติ มันดูไม่น่าไว้วางใจ เลยขอเข้าค้นบ้าน ถึงได้บอกว่ากฎหมายการให้เช่ามันคุ้มครองผู้เช่าด้วยซ้ำ พอเราจะได้ขอเข้าค้นบ้านเขาก็หนีไป แต่อันนั้นคือบ้านมันแค่สกปรก ไม่ได้มีความเสียหายในด้านโครงสร้างเลย ส่วนความผิดทางกฎหมายเท่าที่ตำรวจติดตามบอกว่าอาจจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์เล็กๆ ซึ่งเด็กที่มาเช่าก็โดนหลอกอีกทีหนึ่ง คนทำสัญญาไม่ใช่คนที่เป็นนายทุน ซึ่งก็จะคล้ายกันกับกรณีล่าสุด”

“หลังยกเลิกสัญญาเช่าจากเจ้านี้ไปก็ปิดบ้านปรับปรุง แล้วก็มาได้น้องคนหนึ่งซึ่งน้องคนนี้น่ารักมาก เขาเป็นนักดนตรีมากับเพื่อน เหมือนเป็นการเช่าหลายคนซึ่งเราแฮปปี้มาก เพราะเรารู้สึกว่าอยู่หลายๆ คนบ้านจะสะอาด น้องเข้ามาอยู่เผอิญเป็นช่วงโควิดพอดีของต้นปีที่แล้ว น้องอยู่ไม่ไหวเพราะว่างานมันถูกยกเลิก แก๊งของเขาหลายคนก็กระจัดกระจายกัน น้องก็เลยขอยกเลิกสัญญาเช่า ซึ่งตรงนั้นก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แล้วเราก็ปิดบ้านไปสักพักหนึ่งเพราะว่าตอนนั้นยังไม่อยากให้ใครเช่า โควิดด้วย เราก็เอาคนมาฉีดยาฆ่าเชื้อเรียบร้อยและปิดบ้านไว้พักหนึ่ง หลังจากนั้นก็กลับมาเริ่มให้เช่า แล้วก็กลับไปที่ตัวแทนซึ่งไม่กี่สัปดาห์เราก็ได้คนเช่าเลยซึ่งเป็นคนล่าสุดนี้เลย”

ก่อนจะให้ใครเช่าบ้านได้มีการตรวจสอบภูมิหลังบ้างไหม?
“ด้วยความที่เราก็ผ่านตัวแทนที่เราให้เขาดูแลเรื่องบ้าน เราก็รู้สึกว่ามันปลอดภัยในระดับหนึ่งตรงเรื่องของสัญญา เพราะว่าตัวแทนเขาจะดูแลในเรื่องของสัญญาก่อนเช่าเป็นอย่างดี เราก็ถือว่าโชคดีระดับหนึ่ง เพราะถ้าเราเขียนเองก็คงไม่ใช่อย่างนี้ อาจจะมัดคอตัวเองตายไปแล้ว แต่อันนี้คือมีตัวแทนที่เขียนสัญญาให้อย่างชัดเจน แล้วก็มีหลักฐานทุกอย่าง เราก็เลยรู้สึกว่าตรงนี้พอใจในระดับหนึ่ง แต่เรื่องการตรวจสอบคนเช่าคือตัวแทนพอมีใครติดต่อเข้ามาเขาจะบันทึกเสียงและส่งให้เรา เพื่อให้เราฟังในการคุยทุกครั้ง ว่าคนนี้คนนั้นชื่ออะไร แต่เราได้ข้อมูลมาว่าเป็นอีกคนหนึ่งไงคะ คือเป็นคุณแม่ของน้องคนนั้น เราตรวจสอบหรือเช็กประวัติแล้วก็ดูดี ไม่ได้มีคดีใดใด”

มีโอกาสได้พูดคุยกับคนที่ชื่อเพชรบ้างไหม?
“ตอนนี้น้องน่าจะโดนจับอยู่ แล้วเราก็ได้พูดคุยกันวันที่เขาโดนจับ ที่ว่านัดให้ไปเจอ แต่น้องพูดงงๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรนะคะ แต่ว่าเวลาที่พูดกับเราเขาจะพาเราดูบ้าน เดินเปิดทุกห้องเลยค่ะ ห้องนี้สะอาดมากเลยพี่ ผมดูแลอย่างดี ผมรักบ้านนี้ แต่คือสภาพบ้านมันเหมือนน้องไปอยู่อีกโลกหนึ่ง ไม่ได้อยู่โลกเดียวกับเรา แล้วเราก็พูดไม่ออก บางห้องที่เราบอกว่าอยากจะเข้าห้องนี้น้องก็บอกว่าเข้าไม่ได้ห้องมันล็อก เอ้า! ก็น้องล็อกเมื่อกี้ไง แต่เราก็ไม่ยอม ยังไงก็ต้องเปิดให้ได้ แต่จนถึงทุกวันนี้เขาก็ไม่คืนกุญแจเรานะคะ ส่วนวิธีการเปิดห้องของเขามันทำให้เราแบบโอ้โห! เขาเรียกพนักงานเขาขึ้นมาคนหนึ่งแล้วขอเคการ์ดบัตรแข็งแล้วก็ปึ๊ก! (งัดประตู?) ไม่ได้งัด อย่าเรียกว่างัด เอาการ์ดไปสะกิดแล้วเข้าได้เลย เราก็แบบห๊ะ! สอนได้มั้ย ทำยังไง(หัวเราะ) เห็นแล้วแบบเข้าอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ ตกใจเลยค่ะตกใจมาก แต่ที่น่าตกใจคือบ้านมากกว่าตอนนั้น เยินมาก”

ตอนที่เห็นสภาพบ้านตัวสั่นน้ำตาไหลไหม?
“ตอนนั้นยังไม่คิดอะค่ะว่าเครียดหรืออะไร ตอนนี้ก็ยังไม่ได้คิดนะคะ แค่ไม่อยากเห็นบ้าน เวลาที่ไปสัมภาษณ์แล้วเขาเปิดรูปบ้าน หรือว่าเปิดโทรศัพท์แล้วเห็นรูปบ้านจะข้าม คือแค่ไม่อยากดู แต่รู้ว่าจะต้องทำอะไรมากกว่า คือเรื่องที่มันผ่านไปแล้วยังไม่อยากเห็น แต่รู้ว่าเดี๋ยวฉันจะต้องดำเนินการยังไง ตั้งทีมทนายมั้ย คือเหมือนคิดไปข้างหน้าก่อน เลยยังไม่มีเวลาได้เครียด แล้วก็ไม่อยากเครียดด้วยเพราะว่ามันมีอะไรต้องทำอีกเยอะ”

ในเรื่องของความเสียหายที่เราประเมินด้วยสายตา มันน่าจะกี่หลัก?
“นุกว่าต้อง 7 หลักนะคะ พูดเลยว่า 7 หลักแน่ๆ คือจะเอาอะไรมาซ่อมให้นุกดีกว่า”

ใครรับผิดชอบผู้เช่า หรือคนที่ทำสัญญาให้เรา?
“ก็ต้องเป็นคนที่ทำสัญญากับเรา ซึ่งก็เป็นคุณแม่”

ตัวแทนหรือเอเจนซี่มีการช่วยเหลือยังไง?
“ความจริงเอเจนซี่กับนุกทำงานแค่แนะนำ รู้จัก แต่ว่าในส่วนของด้านกฎหมาย เวลาเราสงสัยผู้เช่าคนไหน เราอยากจะตรวจสอบขอเข้าค้น เราปรึกษาเอเจนซี่ในแง่กฎหมาย เพราะว่าเขาจะมีความรู้ในเรื่องกฎหมายให้เช่าเลยจะปรึกษาเขา ซึ่งก็ได้ช่วยเท่านั้น แต่ในส่วนความเสียหายที่ต้องเกิดต่อจากนี้ เราก็จะต้องดำเนินการด้วยตัวเราด้วย แต่ก็อาจจะปรึกษาเขาได้ เพราะเขาเป็นเอเจนซี่ใหญ่ที่ให้คำแนะนำที่ดี คือเราก็ไม่ได้โทษเอเจนซี่นะคะ เขาก็ทำงานในส่วนของเขาได้ดีเลยทีเดียว”

หลังจากนี้จะเอายังไงกับบ้านหลังนี้?
“นุกว่าจนกว่าคดีจะเสร็จดีกว่า กว่าเราจะฟ้องกันจบ กว่าเราจะได้ทำบ้านมันก็คงเป็นปี”

ยังคิดจะอยากให้คนอื่นมาเช่าอีกไหม เพราะเจอมาแล้วซ้ำแล้วซ้ำเล่า?
“จริงๆ ตอนนี้คิดแค่ว่าจะซ่อมบ้านยังไง แต่ถ้าถามลึกๆ ก็คงไม่อยากให้เช่าแล้ว แต่ทีนี้มันจะไปยังไงต่อ เพราะเราก็ไม่อยากกลับไปอยู่ คือต้อง บอกก่อนว่านุกไม่เหมาะกับบ้านหลังใหญ่ นุกไม่ได้เป็นคนใช้ชีวิตแบบนั้นค่ะ นุกเป็นคนสมถะ แล้วนุกชอบอยู่แบบนี้ นุกค้นพบตนเองแล้ว ชอบอยู่ห้องเล็กๆ ชอบอยู่ส่วนตัวของตัวเอง มันไม่หวือหวา แล้วมันเป็นนิสัยของแต่ละคน บางทีคนเขาพูดว่าอยู่บ้านหลังใหญ่ ขับรถดีๆ อันนี้คือที่คนพูดมา แต่พอเราเจอตัวเราจริงๆ เรารู้สึกยืนยันที่จะเป็นเรา การกลับไปอยู่บ้านหลังใหญ่มันไม่ใช่เรา ถามว่าจริงๆ บ้านหลังนี้มันมีเจ้าของอยู่แล้วก็คือลูกชายทั้งสองคน เขาก็อยากจะกลับไปอยู่บ้านของเขา เราก็ต้องรอเขามีครอบครัว ประกาศตามหาลูกสะใภ้เลยมั้ยคะ(ยิ้ม) เพราะยังไงก็อายุครบ 16 ปีแล้ว 18 แต่งงานเลย(หัวเราะ)”

ถ้าทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วจะทำบุญบ้านยกใหญ่ไหม?
“ก็น่าจะดีเหมือนกันนะคะ ตอนนี้คิดแค่ว่าจะซ่อมยังไงก่อนดีกว่า(หัวเราะ)”

ตอนนี้กำลังพยายามที่จะไม่เครียด?
“จะไม่เครียด ในใจลึกก็พยายามจะตัด ความเครียดออกไปนะคะ เพราะเราก็รู้ว่าความเครียดมันไม่ได้ทำให้งานเสร็จ อย่างเรื่องลูกทำให้เราเครียด เพราะลูกรักบ้าน อะไรที่ลูกรักเราก็ต้องดูแลอย่างดี”

ลูกถามหรือเขาเห็นข่าวบ้างไหม?
“เขายังหัวเราะอยู่ เพราะเขาเห็นว่าเราหัวเราะ เขาไม่เห็นว่ามันเละแค่ไหน เขายังร่าเริงกันอยู่ เราก็ไม่อยากจะไปบอกอะไรเขามาก แต่สิ่งที่ทำให้เขาเครียดจริงๆ ก็คือการขายบ้าน เขาจะพูดตลอดสม่ำเสมอ ทุกปีทุกเดือนว่าแม่อย่าขายบ้านนะ เพราะว่าเขาโตมาจากบ้านนั้น”

นุกไม่มีความคิดที่จะขายอยู่แล้วใช่ไหม?
“ถ้าลูกพูดขนาดนี้ไม่กล้าขายอยู่แล้วค่ะ เพราะว่า เขาก็อยู่มาตั้งแต่เราเลิกกับพ่อของลูก แล้วเราก็ย้ายมาอยู่ที่นี่พร้อมกับครอบครัว คุณตา คุณยาย มันก็เหมือนเขาผูกพันมาแต่เด็ก เราก็ไม่อยากขาย เพราะจริงๆ บ้านที่เขาเกิด ตอนที่เราแต่งงานก็เป็นบ้านของคุณตาคุณยาย แล้วตอนที่เราเลิกกันคุณตาคุณยายก็ขายบ้านหลังนั้นไปแล้ว เราเลยรู้สึกว่ามันเหมือนทำร้ายจิตใจเขา เด็กมักจะผูกพันกับของเล่น บ้าน ที่อยู่ บ้านหลังนี้เราคิดไว้อยู่แล้วว่ายังไงถึงแม้เราจะไม่อยู่ แต่ก็เป็นของพวกเขาอยู่แล้ว ไม่ขายค่ะ”

พอมันมีข่าวว่าเป็นบ้านของนุก แล้วมันเป็นเรื่องที่มีสิ่งผิดกฎหมาย เรายืนยันว่าไม่เกี่ยวกันเราแน่นอน?
“ค่ะ ตรงนี้ก็ถึงบอกว่าโชคดีมากๆ ที่เรายืนยันได้ไม่ใช่แค่ปากเรา มันมีเอกสารชัดเจนเพราะว่าเราผ่านเอเจนซี่ หนึ่งโชคดีที่มันเป็นบ้านหลังใหญ่ พอมันเป็นบ้านหลังใหญ่ก็ต้องมีเอเจนซี่อยู่แล้ว ก็อยากจะฝากเตือนไปสำหรับใครที่ให้เช่า แล้วมันเป็นบ้านหลังเล็ก แล้วคุณไม่ผ่านเอเจนซี่ หรือว่าไม่ได้ทำในเรื่องของข้อกฎหมาย บางคนก็ไม่ได้รู้กฎหมาย หรือว่าทำสัญญาโดยถูกต้อง แต่พอมันผ่านบริษัทใหญ่ก็ได้ทำสัญญาที่ชัดเจนมากขึ้น ฝากไว้ให้ระวัง อันนี้ยังเป็นแค่ความเสียหายในเรื่องของเงินทอง ทรัพย์สิน แต่เราไม่น่าจะมีส่วนด้านคดี เพราะเอกสารเราชัดเจนมากๆ แต่สำหรับคนอื่นๆ ดีกว่าที่กำลังจะเช่าบ้าน หรือเช่าบ้านอยู่ ลองกลับไปดูในเรื่องของสัญญาเช่า ต้องดูให้ดี เพราะคนที่เข้ามาเช่าบ้านส่วนมากเขาไม่เอาบ้านตัวเองทำผิดกฎหมายอยู่แล้ว”

เชื่อว่าตอนที่นุกเข้าไปเห็นสภาพบ้าน ทุกมุมทำให้เราใจไม่ดีไปหมด แต่มีมุมไหนไหมที่รู้สึกเป็นพิเศษ?
“ฟางเส้นสุดท้ายใช่มั้ยคะ บันไดค่ะ คือบ้านเป็นบ้านเก่า เราซื้อมาสภาพมันมากับบ้านอยู่แล้ว มันจะมีบางส่วนที่เป็นไม้สักทอง แล้วหน้ามันกว้าง มันเป็นของเก่าค่ะ มันหาไม่ได้แล้ว”

บันไดส่วนไหน?
“บันไดที่จะขึ้นบ้าน ทุกชั้นเลยค่ะ บันไดมันจะโค้งวนไปชั้น 1 ชั้น 2 ชั้น 3 เป็นบันไดทรงกลมค่ะ เป็นไม้สักทอง แล้วส่วนชั้น 3 ห้องนอนก็เป็นไม้สัก”

สิ่งที่เห็นมันเปลี่ยนสภาพไปเป็นยังไง?
“คือสีที่ย้อมถุงมือ สีฟ้า มันวนตามรอยทางเดินวนไปตามบันไดเลยค่ะ เป็นจุด เป็นจุด แค่ขัดพื้นไม้นุกก็โดนไปหลาย…แล้วค่ะ เรารีโนเวตบ้าน พอเราขัดพื้นไม้มันต้องขัดทั้งชั้น ขัดทั้งหมด ไม่ได้ขัดเป็นจุดๆ ค่ะ แล้วทุกครั้งของการขัดเราเสียหน้าไม้ เราก็เลยรู้สึก(ถอนหายใจ)นิดนึง”

แค่ระยะเวลา 2 เดือนใช่ไหมที่เขามาอยู่?
“ใช่ค่ะ (อย่างน้อยในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีที่เราได้รู้เร็วเหมือนกัน?) เราเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าเจ้าที่ที่บ้านดีมาก (คือใครเป็นคนไม่ดีอยู่ได้ไม่นาน?) 2-3 เดือนประมาณนี้ แผลงฤทธิ์ละ แต่ว่าตอนที่เราอยู่ก็ร่ำรวยผิดป กติจริงๆ(ยิ้ม) ตอนนั้นเงินเข้าเยอะมากจริงๆ ตอนนั้นเราก็ปฏิบัติธรรมศาสนกิจทุกอย่าง ตามศาสนาที่เราเป็นอยู่ในช่วงนั้นๆ แต่เราอยู่มานาน อย่างช่วงที่อยู่เราทำรายการเคเบิลค่ะ ตอนนั้นรุ่งเรืองมากยังไม่มี ดิจิทัลทีวี เรามีรายการ 8 รายการ ผลิตเอง 8 รายการแล้วก็ ใช้ชีวิตไม่เหนื่อยมากเป็น 8 รายการที่เราทำงานสบาย ไม่เหมือนสมัยก่อนที่เราอยู่ฟรีทีวี แล้วเราผลิตและการรู้สึกว่าแค่รายการเดียวเหนื่อยจังเลย เงินเข้าแบบ…ตอนนั้นเฟื่องฟูขนาดที่ว่าลูกค้าขอซื้อรายการกับเรา คือขอซื้อเวลา ด้วยความที่เราไม่เคยวิ่งหาลูกค้าเลยค่ะ แต่เราก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเพราะบ้าน หรือว่าเพราะอะไร แต่เรารู้สึกได้ว่าอยู่แล้วก็ดีนี่ ซึ่ง เราเพิ่งมาสังเกตว่าคนที่อยู่แล้วไม่ดี จะอยู่ไม่เกิน 3 เดือน”

คนดีอยู่แล้วรุ่ง คนไม่ดีอยู่แล้วก็ต้องไป?
“ใช่ค่ะ (ต้องบอกท่านไว้ล่วงหน้าเลยไหมว่าคัดคนตั้งแต่ก่อนเข้ามาอยู่เลย?) ท่านอาจจะไม่มีสิทธิ์มาคัดค่ะ(ยิ้ม) ไม่มีโอกาส แต่ก็เคยบอกไว้ค่ะ น่าจะเป็นในส่วนที่อยู่แล้วมากกว่าค่ะ”

อยากให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ยังไงบ้าง?
“อยากให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับใครก็ตามที่จะให้เช่าบ้าน ต้องตรวจให้ดี เพราะพอให้เช่าไปแล้วก็ระวังแล้วกันในเรื่องของสัญญา สัญญาอะไรก็ต้องให้รัดกุมนะคะ จริงๆ ก็อยากจะฝากไปถึงกฎหมายเช่าบ้านนะ ซึ่งนุกเชื่อว่าคนที่เคยให้เช่าหลายคนออกมามีข่าวอย่างนี้เยอะมาก ด้วยความที่เงินประกันมันต่ำค่ะ มันควรจะอยู่ในจุดที่รับได้ทั้งสองฝ่าย ถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้องเช่า แต่ตอนนี้เงินประกันมันถูกจำกัดด้วยกฎหมาย เก็บไม่ได้เกินสองถึงสามเดือน ซึ่งมันไม่ครอบคลุมกับการประกันบ้านของเรา แล้วนุกว่าหลายๆ บ้านก็เป็นแบบนี้ เพราะค่าเช่าเราไม่ได้คิดสูง จะมาคิดจากค่าเช่ามันก็ดูไม่แฟร์สำหรับผู้เช่า หมายถึงเงินประกันน้ำ ไฟด้วย เพราะเวลาที่ไปแล้วไปเลย ไปบางทีไม่จ่ายค่าน้ำค่าไฟแล้วช่วงโควิด ค่าไฟรัฐบาลเขาช่วยเหลือเนอะก็เลยติดไปได้เรื่อยๆ แต่ไม่ช่วยเหลือผู้ให้เช่าเลยค่ะ”

เราต้องมาจ่ายเองทีหลัง?
“ใช่ เพราะมันเป็นชื่อเรา เราต้องมาจ่ายเองทีหลัง เราก็ฝากไว้ตรงนี้นิดนึงแล้วกัน สำหรับเรื่องของกฎหมายหรือว่าเรื่องการประปาน้ำไฟถ้าเกิดว่าผู้ให้เช่าไปทำเรื่องว่าบ้านนี้ให้เช่าแล้วก็ควรจะตัดตามบิลหรือเปล่า เพราะว่าช่วงโควิดรัฐบาลช่วยคนเช่า แต่ก็อยากให้ช่วยผู้เช่าด้วยหรือเปล่า ขอฝากไว้ด้วยเรื่องค่าน้ำค่าไฟ การประปา การไฟฟ้าด้วยค่ะ”

หลังจากนี้ต้องไปให้ปากคำที่ไหน?
“ตอนนี้ก็ปคบ.ค่ะ ต้องไปให้ปากคำ ซึ่งนุกเชื่อว่าตำรวจทราบดีอยู่แล้วค่ะ ว่าเหตุการณ์เป็นยังไงเพราะเขาคงสืบได้ไม่ยาก แล้วคงจะมีการสืบมาอยู่แล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะรู้เหมือนเรา เขาก็ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่เราหรอก แต่ต้องเป็นการสอบสวนตามสเต็ปตามขั้นตอนที่ต้องเกิดขึ้นที่ต้องสอบเจ้าของบ้าน”


ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_5735355
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_5735355