กิก ดนัย ถอดเขี้ยวเล็บความเจ้าชู้ถาวร หลังเจอภรรยาปราบจนอยู่หมัด


ให้คะแนน


แชร์

พ่อลูกอ่อน กิก ดนัย ลั่นถอดเขี้ยวเล็บความเจ้าชู้แบบถาวร หลังเจอภรรยาปราบจนอยู่หมัด เผยวีรกรรมในอดีตเคยคบซ้อนทีเดียว 4 คน

เกาะติดข่าว กดติดตามข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

กิก ดนัย จารุจินดา นักแสดงหนุ่ม เปิดใจสาเหตุที่ต้องเลิกเจ้าชู้แบบถาวร ในรายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 ถอดเขี้ยวเล็บคาสโนว่าโยนทิ้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เปลี่ยนโหมดมาเป็นแฟมิลี่แมนตัวยงรักเดียวใจเดียว ให้ลูกกับภรรยาเท่านั้น

ก่อนที่จะมาเป็นดารา กิก เป็นนักกีฬามาก่อน? “เป็นนักกีฬาฟุตบอลมาตั้งแต่ 6-7 ขวบครับ เพราะคุณพ่อทำทีมฟุตบอลด้วยจนเอาเพื่อนๆ แถวบ้านมารวมตัวกันเพื่อให้เตะฟุตบอลในซอยเพื่อให้ห่างไกลยาเสพติด อย่างมีงานวันเด็ก พ่อก็จะพาไปแข่งฟุตบอลตามสนามทั่วไปจนมันกลายเป็นชีวิตประจำวันของเราไปเลยสำหรับการเตะฟุตบอลพอเข้าโรงเรียนก็เป็นนักกีฬาโรงเรียน นักกีฬามหาลัย”

แต่ที่เข้ามาเป็นดาราได้เพราะผีผลัก? “ไม่คิดว่าจะมาเป็นดารา เพราะตอนนั้นเล่นฟุตบอลอยู่มหาวิทยาลัยตอนปี 1 ตอนนั้นผมโกนหัวสกินเฮดเลย เวลามีผมมันขัดต่อการเตะฟุตบอลของเรามาก แล้วมีพี่ๆ ไปเห็นเขาเลยชักชวนมาเข้าวงการ ตอนนั้นเราก็มีความกล้าๆ กลัวๆ เราก็คิดว่าลองดูมั้ยหรือยังไงดีสุดท้ายก็ลองดู พอเข้ามาเรื่องแรกก็เจอบทหินบทยากสำหรับเราเลย เพราะเป็นละครดราม่าเข้มข้น ในเรื่องจะเป็นการเชิดสิงโต ลูกคนจน พ่อตาย พี่ชายตายมันต้องเป็นฉากอารมณ์ทั้งนั้นเลย ทำให้เรารู้สึกว่าผมทำไม่ได้ เราต้องมานั่งร้องไห้แล้วนักแสดงที่เราเล่นด้วยรุ่นใหญ่ๆ กันหมด เรารู้สึกทำไม่ได้ รู้สึกท้อ แต่ด้วยความที่เราเป็นนักกีฬา คือเป็นคนที่ชอบแข่งขันอยู่แล้ว แข่งกับตัวเอง พอจบเรื่องนั้นเป็นปมของผมเลย เรารู้สึกว่าเราทำได้ไม่ดีเท่ากับโอกาสที่เขาให้เรามาติดอยู่ในใจมาก แต่พอเรื่องที่สองเราก็ไปตระเวนเรียนแอ๊กติ้งหลายครูมาก และบอกเหตุผลของเราให้ครูฟังว่าเราเป็นยังไงจนทำให้รู้สึกเริ่มชอบการแสดง พอยิ่งเรื่องที่สองทำได้ มันเลยกลายเป็นรักในการแสดงขึ้นมา เราทำได้เป็นความภูมิใจที่ยิ่งใหญ่มากนะที่เราร้องไห้ได้ (เพราะเรื่องแรกยังไงก็ไม่ร้อง)”

แต่จริงๆ น่าจะเป็นคนที่แสดงบทร้องไห้ได้ง่ายๆ เพราะตัวจริงของ กิก เป็นคนเซ้นซิทีฟมาก? “จริงๆ ผมเป็นคนเซ้นซิทีฟ พอเรามาเรียนแอ๊กติ้งเหมือนเปิดเซ้นส์รับความรู้สึกได้เร็วขึ้น มันเลยกลายเป็นคนเซ้นซิทีฟร้องไห้นิดๆ หน่อยๆ ก็รู้สึกกระทบน้ำตาคลอ น้ำตาไหล ถึงขนาดที่ว่าภรรยาผมคลอดลูก ผมร้องไห้ตั้งแต่ส่งเขาเข้าห้องคลอด เราก็น้ำตาคลอแล้ว แล้วเราก็มานั่งรอ พยาบาลก็มาตามว่าจะผ่าแล้วพอเราเข้าไปลูกยังไม่ทันร้องเลยผมน้ำตาไหลออกมาแล้ว แล้วก็อะไรเป็นโมเมนต์ที่ดีๆ น่าสงสารเรื่องครอบครัว พี่น้อง ทำให้เรารู้สึกได้น้ำตาเราก็ไหล”

แล้วเวลาเตะฟุตบอลเพื่อนไม่ส่งบอลให้น้อยใจคืออะไร? “ไม่ได้งอน น้อยใจครับ คือเพื่อนจะรู้ว่าเราเป็นคนที่เล่นฟุตบอลเราจะจริงจังมาก คือเราไม่ได้โมโหนะครับ แต่เราเป็นคนที่แบบเวลาเล่นฟุตบอลจะตั้งใจมาก เพราะบางทีเราเห็นจังหวะที่ถ้าส่งให้เราก็สามารถยิงเข้าประตูได้ เพราะเรามั่นใจว่าถ้าจังหวะนี้เราสามารถจบได้เลย เราอยากให้เพื่อนมั่นใจในตัวเรา”

แล้วตามไปน้อยใจคุณพ่อคุณแม่? “ที่น้อยใจคือเมื่อตอนเข้าวงการแรกๆ ด้วยตอนนั้นเราเป็นวัยรุ่น เรามีผลงานเราก็อยากบอกเขาว่าผมเล่นละครเรื่องนี้ๆนะ แล้วพ่อเขาเหมือนไม่ค่อยสนใจ ไม่ดูไม่สนใจไม่ติดตาม เราก็น้อยใจอยู่พักหนึ่งไประบายความในใจกับแม่ แม่เขาบอกว่าเป็นวิธีการเลี้ยงของพ่อ เพราะพ่อผมมีลูกสองคน เขาก็จะแมนจัดเลยเลี้ยงลูกแบบนักกีฬามาตลอดแล้วเขาก็มีความกังวล เมื่อเราเข้าวงการมา เราจะมีความหลงระเริงไหม กลัวหลงแสงสี กลัวเสียการเรียน เขาก็มีวิธีการเลี้ยงแบบว่ากดเราให้อยู่ไม่ให้หลง แต่เขาก็แอบดูผลงานของเรานะเวลาที่เราไม่อยู่ หนังสือพิมพ์ที่ลงรูปเราพ่อเข้าก็ตัดแปะะเก็บไว้ก็มี พอเราเข้าใจพ่อแล้วเราก็รู้สึกดีนะครับที่เขาเลี้ยงเราแบบนี้เพราะพอเราโตมาอยู่ในวงการมาสิบกว่าปีเราก็ไม่ได้เปลี่ยนไปชีวิตมันก็ราบเรียบ ไม่ได้เปรี้ยงมากอะไรมากมาย แต่ก็โอเคเรื่อยๆ”

จริงๆ กิก เป็นคนที่มีภาพลักษณ์เงียบๆ แต่ก่อนหน้านี้ใครจะรู้ว่า กิก คือหนึ่งในคาสโนว่าตัวพ่อเห็นเงียบๆ แต่ฟาดเรียบ? “ก็มีบ้างครับ (หัวเราะ) ยอมรับเพราะตอนนี้เราดีแล้วไง ตอนนั้นก็สับหลายรางเหมือนกัน เข้าวงการแล้วด้วยตอนนั้น ช่วงเป็นวัยรุ่นกำลังซ่า คุยหลายคนมีแฟนหลายคน คือมีแฟนพร้อมกัน 4 คน เราต้องทำให้เขาเหมือนกันหมดทั้ง 4 คน อย่างกินข้าว ดูหนัง แต่ที่เจอกันบ่อยคือดินเนอร์ บางทีกินข้าวเย็นสามถึงสี่มื้อ อย่างเราทำงานเสร็จก็ไปเจอคนนี้ห้าโมง อีกคนทุ่มหนึ่ง ซึ่งเขาก็ไม่ได้สงสัยกันนะครับ ณ ตอนนั้นด้วยความที่มันไม่ใช่ยุคโซเชียลด้วยครับ”

ที่เขายอมรับหมดเพราะตอนนี้มีคนปราบอยู่หมัดเรียบร้อยแล้วคือ ภรรยาของกิก ถามจริงๆ ภรรยาคือคนหนึ่งในสี่ที่เป็นแฟน กิก ตอนนั้นไหม? “ใช่ครับ ด้วยทั้งชีวิตที่เรามีแฟนมาเจอผู้หญิงที่เขายอมเราตลอด แต่มีเขาคนเดียวที่ไม่เคยยอมเราแล้วทะเลาะบ่อยมาก แล้วเหมือนยิ่งเขาขัดเรา เราก็ยิ่งอยากเอาชนะ เราก็คบมาเรื่อยๆ จากที่สี่คนก็เหลือสองคน และช่วงที่เขาจับได้คือเหลือสองคน คือคนนี้เขารู้แล้วเขาไม่ถามเราเลยนะครับ เขาหายไปเลย เราไม่มีโอกาสพูดคุยกับเขาเลย เราไปที่บ้านเขาก็ไม่ลง ไปที่ทำงานก็ไม่เจอ เรารู้สึกว่ามันเป็นความทรมานใจมาก ต้องไปดักเขาเวลาที่เขาเข้างานเจ็ดโมง ผมต้องออกจากบ้านตีห้าครึ่งเผื่อไปถึงก่อนเพราะเราไม่รู้ว่าเขาไปทำงานกี่โมงบ้าง ไปก็ไม่เจอเราก็มาดักเช้าเย็นแบบนี้เป็นอาทิตย์ จนเรารู้สึกว่าไม่ได้แล้วไม่สะดวกเราด้วย เราเลยไปเปิดห้องอยู่แถวนั้นเปิดโรงแรมนอนเฝ้าเขาเลย 1 เดือน เพื่อที่จะลงมาเจอเขาก็ได้เจอบ้างไม่เจอบ้าง คือเจอเขาเราก็ไม่ได้อธิบายนะครับ ได้แต่เอาของที่เราซื้อมาฝากให้เขาแต่เขาก็รับแล้วบอก ขอบคุณค่ะ แล้วเดินไปเลย”

“ตอนนั้นก็เกือบท้อครับ เพราะเราก็พยายามๆ แต่เขาก็ยอมไปกินข้าวเย็นด้วย ยอมเป็นเพื่อนด้วยกับเรา ทำให้เรารู้สึกเข็ดในสิ่งที่เราทำลงไปในความเจ้าชู้ของเรา ตอนที่ง้อเขาอยู่ เราก็เลิกหมดเลยกับทุกคน แล้วกว่าที่เขาจะยอมกลับมาเป็นแฟนคือ 2 – 3 เดือนเพราะเขาเป็นคนที่ใจแข็งมากๆ เด็ดเดี่ยวมากๆ จนมาถึงช่วงที่ต้องตัดสินใจแต่งงานกัน ผมก็แอบถามใจตัวเองว่าเราหยุดหรือยังพร้อมที่จะไม่เจ้าชู้แล้วใช่ไหม เพราะคิดว่าถ้ามีลูกแล้วเจ้าชู้ เขาเอาลูกหนีเราแน่ เพราะเขาใจแข็งมาก เราก็เลยตัดใจแล้วมาโฟกัสเรื่องอื่นๆ มาโฟกัสเรื่องการสร้างครอบครัว การทำงานไปดีกว่า ตอนนี้ลูกชาย 1 ขวบแล้วครับ แต่เรามีลูกเราก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิมนะครับ ไปเที่ยว ไปแคปปิ้ง ก็พาเขาไปด้วย ตอนนี้ก็แพลนว่ากำลังจะมีคนที่สองต่อครับ อยากมีในปีนี้แต่ก็ดูสถานการณ์ก่อน”

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_5820460
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_5820460