ม้า อรนภา มุ่งทำธุรกิจออนไลน์ เคลียร์ข่าวเม้าท์ขายสมบัติเก่ากิน (คลิป)


ให้คะแนน


แชร์

คิดว่าเรื่องมันจะรุนแรงมากไหม?
ม้า : ในเมื่อเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โต รุนแรง เราก็ต้องเล่นไปบทบาทนั้น เพราะมันเป็นแบบนั้น เราจะไปคัดค้านอะไรมันก็เป็นไปไม่ได้ ดิฉันไม่เคยคัดค้านอะไรเลย

คุณแม่หายไปกี่เดือนแล้ว?
ม้า : หายจากหน้าจอเหรอ น่าจะ 5 เดือนแล้ว

เราก็จะเห็นคุณแม่ในโซเชียล ขายของ?
ม้า : จริงๆ ในโซเชียล ดิฉันก็หายไป 4 เดือน

หมายถึงว่าวันนั้นตั้งแต่มีเรื่องก็ไม่ได้เล่นโซเชียล?
ม้า : ก็ไม่ได้เล่นเลย ต้องบอกว่าดิฉันอกหัก คือหมายถึงว่ามันมะรุมมะตุ้มอะไรขนาดนั้น ดิฉันก็เลยคิดว่าถ้าเรื่องราวมันเป็นขนาดนี้ มารุมดิฉันขนาดนี้ ดิฉันไม่เล่นเลยก็ได้ แต่ก็ยังพูดคุยกับเพื่อนในไลน์

แล้วได้เข้าไปอ่าน เข้าไปดูไหม?
ม้า : ดูของคนอื่นดู แต่ว่าไม่ได้คอมเมนต์อะไรนะคะ ดูความเคลื่อนไหว ตามลักษณะคนเคยอ่านข่าวมาก่อน

อกหักกับผิดหวังต่างกันไหม?
ม้า : มันต่างกัน

จริงๆ ในเหตุการณ์ที่ผ่านมามันมีคำว่าผิดหวังไหม?
ม้า : ไม่มี ดิฉันไม่เคยผิดหวังอะไรเลยในชีวิต รู้สึกอย่างเดียวคือ น้อยใจนิดนึง ไม่เสียใจด้วยนะ แต่น้อยใจที่ไม่มีเงินจากการทำงานในแต่ละเดือน ซึ่งฉันไม่เคยน้อยใจใครเลยนะ คุณอาจจะคิดว่าดิฉันน้อยใจในสิ่งที่ทุกคนพยายามให้ดิฉันออกจากงานหมดทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มทำงานมา จนมาถึงวันที่เกิดเหตุการณ์ 30-40 ปี ดิฉันไม่เคยน้อยใจ ต้องขอบคุณกับทุกๆ คนที่ให้โอกาสดิฉัน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของรายการ เจ้าของละคร เจ้าของเวที แฟชั่นโชว์ เจ้าของเสื้อผ้า คือทุกสิ่งทุกอย่าง จนมาถึงจุดนึงเพื่อนฝูงดิฉันเขาไปกันหมดแล้ว ดิฉันยังอยู่อยู่เลย แล้วดิฉันก็ยังยืนอยู่เป็นหนึ่งตลอด อันนี้ดิฉันต้องขอบคุณเขา สิ้นสุดไปเมื่อตุลาคมปีที่แล้ว

วันนั้นพอเกิดเหตุการณ์แบบนั้น พี่รู้ไหมว่ามันจะมีเรื่องงานตามมา?
ม้า : ไม่รู้สิ ดิฉันไม่คิด ใครจะไปคิดล่ะ

คุณแม่น้ำตาตกไหม?
ม้า : ไม่ตก ไม่เคยร้องไห้เลยกับการที่ดิฉันถูกออกจากงานทั้งหมด ทุกรายการ ดิฉันไม่ได้ร้องไห้เลย ไม่ได้เสียใจ ต้องขอบคุณมากกับการที่ดิฉันได้ปฏิบัติธรรม แล้วนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างดี ต้องขอบคุณที่ดิฉันเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เสียใจเลย แต่ร้องไห้นะ

ล่าสุดคุณแม่แต่งหน้า แล้วบอกว่าคิดถึงการทำงานในวงการบันเทิง?
ม้า : ดิฉันไม่ได้พูดว่าในวงการบันเทิง ดิฉันเขียนไปว่าอยากทำงาน ต้องบอกอย่างนี้ในแคปชั่น ในการคอมเมนต์ หรือว่าในการเขียนอะไรต่างๆ ในลักษณะของดิฉันจะเป็นสั้นๆ ได้ใจความ เพราะดิฉันเป็นคนเขียนหนังสือมาก่อน รูปนี้เป็นรูปที่ดิฉันไปเดินแบบสนุกๆ ในตลาด ดิฉันก็ไปขายของ ไปขายห่อหมก แล้วก็ไปช่วยเขาเดินแบบ ก็จะมีนางแบบคนอื่นๆ ดีไซเนอร์คนอื่นๆ มาช่วยกันเดินสนุกๆ เพื่อที่ทำให้ตลาดไม่เหมือนที่อื่น

ลึกๆ แล้ว อยากกลับไปทำงานในวงการบันเทิงไหม?
ม้า : ในอาชีพอย่างพวกเราทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพิธีกร นักแสดง มันเป็นอาชีพรอให้เขาเรียก ดิฉันก็ต้องรอให้เขาเรียก เราก็ทำตัวให้เรามีศักยภาพที่ดี เพื่อพร้อมที่จะทำงาน

วันนี้พร้อมกลับมาทำงานไหม?
ม้า : ก็พร้อมเสมอ มีไหมล่ะ อย่าใช้คำพูดว่าเป็นกำลังใจให้นะ อย่าพูด กระทำเลย

ชีวิตคุณแม่ตอนนี้จะเห็นว่าคุณแม่ไลฟ์ขายของ ส่วนมากคุณแม่ขายอะไรบ้าง?
ม้า : ขายห่อหมก นั่นคือทำคลิปเพื่อมาบอกว่าเดี๋ยววันนั้นวันนี้ฉันจะขายห่อหมกนะ ก็จะเป็นคลิปในไอจี และในเฟซบุ๊กเท่านั้น แล้วจะมีลงในเพจห่อหมกแม่คุณม้า ลูกๆ หลานๆ ทำเพจอันนี้ให้คุณแม่แค่นั้นเอง ดิฉันก็จะมีการขายแบบนั้น

บางทีเห็นมีเสื้อผ้า?
ม้า : ตั้งแต่ตอนที่ดิฉันทำงานมาตลอด ก่อนหน้านี้ 2 ปีผ่านมา โปรดิวเซอร์คนนึงก็ลุกมาทำเพจแม่ม้ามาแล้ว เราเห็นว่าเรื่องราวออนไลน์มันมีอิทธิพลมากขึ้น ก็ทำออนไลน์ดีกว่า เราก็เลยหันมาทำออนไลน์

คุณแม่เอาแบรนด์เนมหลักเป็นแสน เป็นหมื่น มาขายหลักพัน?
ม้า : พอหลังจากนั้นเราก็หยุดไป เพราะด้วยเศรษฐกิจการหาโฆษณามันก็ลดน้อยถอยลง เราก็เลยหยุดไปตั้งแต่มีโควิด พอมาปลดล็อกครั้งแรกเราก็เลยคิดว่าเรามาทำปัดฝุ่นกันใหม่ เราก็เริ่มกลับมาทำคอนเทนต์กันใหม่ แต่คอนเทนต์มันยังไม่ออก เราก็เลยทำไลฟ์ขายของกันดีกว่า พอเราเริ่มปั๊บ เราก็ยังหาลูกค้าไม่ได้ จะขายอะไรดี พี่เคยเอาเสื้อผ้าไปขาย สาเหตุเพราะว่าการปลดล็อกครั้งที่ 1 ของโควิด ทางห้างแห่งนึงเขาให้พื้นที่กับคนในวงการแฟชั่นให้เอาของไปขาย โดยที่ไม่คิดค่าเช่า แล้วมีน้องคนนึงเขาเอาไปขาย ฉันบอกว่าฉันมีเสื้อผ้าเยอะมากใส่ไม่ค่อยได้แล้ว บางทีมันก็เบื่อแล้วก็ขายตัวละ 500-1000-1500 จากตัวละ 4-5 หมื่น

เสียดายไหม?
ม้า : ไม่เสียดาย ของนอกกาย อย่าไปเสียดาย

คุณแม่ได้อะไร?
ม้า : ไม่ได้อะไร ได้สิ่งนึงคือตู้ฉันไม่แตกแล้ว

กลัวคนมองไหมว่าคุณม้า อรนภา จากที่เลิศหรู แต่มาขายของแบบนี้?
ม้า : ดิฉันไม่ได้เลิศหรูขนาดนั้น คุณไปสร้างภาพเองว่าดิฉันเลิศหรูขนาดนั้น

พอแม่มาไลฟ์ขายของในคอมเมนต์ก็บอกว่าคุณแม่ใกล้จะหมดตัวหรือเปล่า แม่เลยต้องเอาของออกมาขาย?
ม้า : เอางี้นะ ดิฉันทำงานมา 30-40 ปี คุณคิดว่าดิฉันจะไม่มีเงินเก็บเลยเหรอ ดิฉันใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทด้วย

ล่าสุดขายรถ?
ม้า : คือดิฉันมีรถตู้ เอาไว้สำหรับทำงาน เพราะมีคนขับรถ อันที่สอง ดิฉันมีรถสปอร์ตเอาไว้ใช้สำหรับวันที่ไม่มีคนขับรถ ดิฉันอยากได้รถญี่ปุ่นคันเล็กๆ มือสอง 4-5 แสน แล้วซื้อเงินสดแล้วก็จบไป แต่ไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นรถสปอร์ตคันนี้ เพียงแค่พูดว่ารถสวย คนฟังเขาก็เลยซื้อให้

คุณแม่บอกว่าเอารถที่คนซื้อให้มาขาย รถสปอร์ตที่คุณแม่ขับทุกวันนี้ คุณแม่ไม่ได้ซื้อเอง?
ม้า : ไม่เคยซื้อเอง ยังมีเครื่องเพชรอีกเยอะแยะมากมายที่ไม่ได้ซื้อเอง

รถสปอร์ตราคาเท่าไหร่?
ม้า : 3.6 ล้าน จริงๆ มัน 3.8 ล้าน แต่เขาลดให้ รถสปอร์ตคันนี้อยู่มา 7 ปีใช้ไปหมื่นโล ฉันปฏิเสธว่าไม่เอา แต่เขาซื้อมาแล้ว ฉันก็บอกว่าไม่เอา มันเป็นสิ่งที่ใหญ่เกินไปที่มาให้ของที่มันเป็นล้านๆ ก็เพราะว่าเขารักฉัน จบ แต่ดิฉันไม่ได้รักเขา ดิฉันเป็นกัลยาณมิตรกับเขาแค่นั้นเอง แต่ไม่ใช่อยู่ๆ เราไปเอาของเขานะ พอเราเริ่มรู้จักกัน ฉันให้เขาก่อนนะ ฉันให้ทั้งความรู้ การศึกษา ฉันให้ข้าวของ วันเกิดฉันให้แบรนด์เนม ฉันให้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง เรารู้จักที่จะให้เขาก่อน

คุณแม่เป็นสายเปย์ด้วยไหม?
ม้า : ฉันไม่ได้เป็นสายเปย์ คือมันต้องมีน้ำใจ เรารู้จักกัน การที่สานสัมพันธ์อยากจะเป็นเพื่อน จนถึงอยากเป็นกัลยาณมิตร เราไม่รู้จักการให้เหรอ เราคบกันด้วยผลประโยชน์เหรอ ก็เหมือนรายนั้นที่ให้รถ ให้เครื่องเพชรก็ด้วยผลประโยชน์อยากจะได้เราไง สุดท้ายไม่ได้มันก็เลิกรากันไป

ผู้ชายคนนั้นคือใคร?
ม้า : เรารู้จักกัน เขาทำธุรกิจอยู่ทางใต้ เวลาเขามีงาน เราก็ไปช่วย เราจะไปทำคอนเทนต์ต่างๆ ทำโชว์ โดยที่ไม่คิดอะไรเขาเลย พอดิฉันคบใคร ดิฉันจะเป็นในลักษณะแบบนี้ คนนี้คือคนล่าสุด

เห็นว่ามี 2 คน คนนึงเป็นผู้ชาย คนนึงเป็นทอม?
ม้า : นั่นคือ 7 ปีที่แล้ว ที่เขาซื้อรถให้

อาจารย์เป็นหนึ่ง : แกมีเสน่ห์ทุกปี ย้อนกลับไปตอนนั้นมีคนนึงมาชอบแก แล้วซื้อทุกอย่างให้แก โดยที่แกไม่เคยเข้าห้องด้วยกัน ไปโรงแรมก็จะนอนแยกห้องกันตลอด?
ม้า : ก็คือรถคันที่เห็นนี่แหละ เสร็จแล้วพอหลังจากนั้นก็มารู้จักกับอีกคนนึง ก็รู้จักกันมา 3 ปี สนิทสนมกันระดับนึง ก็มีน้ำใจต่อกัน ก็มีอยู่วันนึงเขามาถามว่าทำไมไม่ใช้รถญี่ปุ่น ยี่ห้อนี้ล่ะ ดีมากเลย ฉันก็บอกว่าไม่เอาแล้ว ฉันไม่อยากมีภาระ เพราะว่าชีวิตนี้ไม่ได้มีหนี้สินอะไรเลย เรื่องอะไรจะมาก่อหนี้ เขาบอกเอาอย่างนี้ไหม เดี๋ยวผมซื้อคันสีขาวสปอร์ตนี้ไป แล้วเงินที่เขาซื้อไปก็ไปออกรถญี่ปุ่นคันนี้ซะ เราก็บอกถ้าอย่างนั้นโอเค เพราะรถสปอร์ตคันนี้มีคนรู้จักกันเอาไปฝากขาย 2 ปียังขายไม่ได้เลย อยู่มาวันนึงมีคนมาซื้ออย่างนี้ ฉันก็ขายเลยสิ เพราะมัน 7 ปีแล้ว หนึ่งคือการซ่อมมันจะแพง รถตู้อีก ก็เป็นการลดภาระ

ตอนคุณแม่จะขายได้บอกคนที่ซื้อให้ไหม?
ม้า : ไม่ได้คุยกันแล้ว หมายถึงเจอก็คุย แต่ไม่ได้มีคอนแท็ก แต่เขาก็รู้อยู่แล้วเวลาทำอะไรฉันก็ลงสื่อให้คนเห็น

แล้วคนที่เป็นทอมล่ะ?
ม้า : ฉันก็เบื่อมากเลย ทำไมก็ไม่รู้ เวียนหัวเหมือนกัน

ทอมนี่เมื่อไหร่?
ม้า : เมื่อ 7 ปีที่แล้ว

ทำบุญด้วยอะไร?
ม้า : ไม่ได้ทำบุญด้วยอะไร เราต้องมีน้ำใจ คนเราไม่ใช่เป็นผู้รับอย่างเดียว ต้องรู้จักที่จะให้ก่อน

ชมคลิป

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2027008
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2027008