นิว วงศกร เลือกไม่ผิดที่ออกจากเซฟโซน หากไม่กล้าคงไม่ได้พัฒนาตัวเอง


ให้คะแนน


แชร์

เรารู้สึกว่า มันจะต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ถ้าเราซื่อสัตย์กับอาชีพของเรา และผมก็เต็มที่กับทุกเรื่อง ณ วันแรกที่เราทำงานเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วเป็นอย่างไร ในวันนี้เราก็ยังคงรักษามาตรฐานของเรา และพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ

และวันนี้โลกเรามันเปลี่ยนไปแล้ว คนดูก็เปลี่ยนไปด้วย เราจะมาเล่นอะไรที่เป็นแบบเดิมๆ เหมือนเมื่อหลายปีที่แล้ว มันใช้กับยุคปัจจุบันไม่ได้ เราก็ปรับตัวตามยุคสมัยที่มันเปลี่ยนไป ไม่ใช่ว่าของเดิมไม่ดีนะครับ

เพียงแต่ว่า มันก็เหมือนอาหาร คนชอบทานเผ็ด ทานหวาน ทานเปรี้ยว มันเป็นเรื่องของความชอบ ไม่มีถูกหรือผิด เราเป็นนักแสดงเราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับความชอบของคนดู สไตล์ของการทำละครในยุคปัจจุบัน”

ไม่ได้อยู่เป็นพระเอกค้ำฟ้าไปตลอดชีวิต

นิว วงศกร เล่าเรื่องตอนที่ไปคุยกับผู้ใหญ่ในช่อง 7 ให้เราฟัง พร้อมกับยืนยันว่าตนเองนั้นได้ออกจากช่อง 7 ด้วยดี ไม่ได้มีปัญหาต่อกัน มีความคิดเห็นตรงกันทั้ง 2 ฝ่าย และยังสามารถกลับไปร่วมงานกับทางช่อง 7 ได้ 

“และตอนที่ผมออกมา ผมออกจากช่องด้วยดี ไม่มีปัญหาใดๆ ผมใช้วิธีการคุย ผมคุยกับต้นสังกัด ว่าผมโตขึ้น ผมมีความต้องการแบบนี้ ทางช่องมีความเห็นอย่างไร ซึ่งเขาก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เราต้องการ

เรารู้สึกว่ามันถึงเวลาที่เราโตขึ้น เราสามารถเลือกได้ เพราะเรารู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี เราสามารถเดินด้วยขาของตัวเราเองได้ เมื่อก่อนเราเป็นเด็กๆ เข้ามาในวงการใหม่ๆ เราไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี ไม่รู้ว่าสิ่งไหนที่เหมาะกับเรา เราควรจะเลือก เราควรจะมีคนที่มีความรู้ มีความเชี่ยวชาญเลือกสิ่งที่เหมาะให้กับตัวเรา

พอเราโต เราอยู่มานานหลายปี เรารู้สึกว่ามันถึงเวลาที่เราจะต้องเลือกสิ่งที่ใช่กับตัวเราจริงๆ แล้วผมก็คุยกับช่อง ทางผู้ใหญ่ก็เข้าใจ และผมรู้สึกว่าการที่ผมออกมาก็เป็นโอกาสที่ดีที่ช่องจะได้สร้างน้องๆ คนใหม่ๆ ขึ้นมา แทนที่เรา เพราะวงการนี้ก็มีคลื่นลูกเก่า คลื่นลูกใหม่ มีน้องขึ้นมาแทนที่ตลอดเวลา

มันก็เป็นการเปิดโอกาสให้น้องๆ ในช่องที่รอวันที่จะขึ้นมาแทนที่เรา เราก็คงไม่ได้อยู่เป็นพระเอกค้ำฟ้าไปตลอดชีวิต เราก็คงจะต้องหาทางขยัยขยาย ด้วยสายงานและด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น ทุกอย่างเป็นเรื่องของเวลาและความเหมาะสม ผมก็คุยกับทางผู้ใหญ่ซึ่งโชคดีมากที่ทางเขาเข้าใจเรา ความเข้าใจเราตรงกัน ก็จบกันด้วยดี เราก็ทำงานด้วยกันได้ ไม่ได้มีปัญหาอะไร”

ไม่ใช่พระเอก แต่เป็นนักแสดง

และแน่นอน การที่ดาราที่เคยมีสังกัดสักคนจะเลือกออกมาเป็นนักแสดงอิสระในยุคนี้ ยุคที่มีช่องมากมายหลากหลาย แต่ก็ยังถูกคำครหาที่บอกว่า จะไปรอดไหม เมื่อออกมาเป็นนักแสดงอิสระ เมื่อเราถามถึงเรื่องนี้ นิว วงศกร ก็บอกกับเราว่า  

“ผมไม่รู้นะ แต่ถามว่ากล้าออกมาจากเซฟโซนไหม อยู่ตรงนั้นปลอดภัย แต่คุณก็จะไม่ได้เจอกับการเปลี่ยนแปลง คุณจะไม่มีวันรู้หรอกว่าข้างนอกเป็นอย่างไร ถ้าคุณยังอยู่ในเซฟโซน ตอนที่ออกมาผมตื่นเต้นมาก นอนไม่หลับ (หัวเราะ) เหมือนเปิดเทอมวันแรก เหมือนจะย้ายโรงเรียนใหม่ เหมือนย้ายที่ทำงานใหม่ เจอเพื่อนร่วมงานใหม่ คิดไปต่างๆ นานา

แต่สุดท้าย พอไปกอง ก็เจอเพื่อนร่วมงาน ทีมงานที่เคยทำงานด้วยกันมาแล้ว เปลี่ยนแค่วัฒนธรรมในการทำงาน แต่ผมโชคดีที่ผู้ใหญให้โอกาส ทั้งที่ใหม่และที่เก่า เขาเคารพในการตัดสินใจและสนับสนุนผม ผมโชคดีตรงนี้ที่ตัดสินใจไม่ผิด (ยิ้ม)”

ตอนนี้คิดว่าตัวเองล้างภาพความเป็นพระเอ๊ก พระเอกของตัวเองที่เคยเล่นเอาไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้วได้บ้างหรือยัง งานนี้ นิว วงศกร ตอบเราด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมกับอธิบายอาชีพของตัวเองให้เราฟังว่า

“ผมไม่เคยคิดว่าผมเป็นพระเอก ผมคิดว่าผมเป็นนักแสดง เวลาใครมองว่าเป็นดารา ผมจะใช้คำแทนตัวเองว่าเป็นนักแสดง สิ่งที่เลือก ผมคิดว่ามันดีกับผม แต่ไม่รู้ว่าฟีดแบ็กกลับมาจะดีหรือเปล่า ผมไม่รู้ ผมไปไม่ถึงตรงนั้น หน้าที่ผมคือแค่ทำให้มันดีที่สุด หลังจากนั้นเป็นหน้าที่ของคนดู เราแค่ลุ้นและตื่นเต้นไปกับฟีดแบ็กที่จะตามมา”

วงการบันเทิงเปลี่ยนเด็กเนิร์ดให้เป็นพระเอก

ตลอดเวลาหลายสิบปีในวงการบันเทิง ที่ นิว วงศกร ได้เข้ามาคลุกคลีและเติบโตในวงการนี้ เราถามพระเอกหนุ่มด้วยคำถามเบสิกง่ายๆ ว่า วงการบันเทิงให้อะไรกับหนุ่ม ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อม พร้อมกับหัวเราะชอบใจในคำตอบของตัวเองว่า 

“ผมเข้าวงการมาเมื่อปี 2547 วงการบันเทิงให้เงินกับผม (หัวเราะ) และก็ให้ประสบการณ์เยอะแยะ เพราะก่อนหน้านี้ผมเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์เข้ากับสังคมได้ค่อนข้างแย่ เป็นเด็กสายวิทย์ เป็นเด็กเนิร์ด เรียนจุลชีววิทยา อยู่แต่ในห้องแล็บ ทำการทดลอง ส่องกล้องจุลทรรศ์ ดูเชื้อจุลินทรีย์ ดูเชื้อโรค เวลาคุยกับคนอื่นก็คุยไม่รู้เรื่อง เราไม่มีพื้นฐานในการเข้าสังคม

พอเรียนวิทย์มันเรียนหนัก ในหัวมีแต่แคลคูลัส ฟิสิกส์ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเรียนไปทำไม ไม่ได้ชอบ แต่เลือกตามเพื่อน ตอนเรียนจะขอย้ายไปเรียนคณะอื่น แต่อาจารย์ที่ปรึกษาเขาห้ามไว้ ว่าไม่ต้องย้าย เสียเวลา จะเรียนอะไรไป จบไปก็ไม่ได้ใช้

อาจารย์ที่ปรึกษาบอกว่าปริญญาตรีสอนแค่ให้ปรับตัวจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ รู้จักรับผิดชอบมากขึ้น ผมก็เรียนต่อ และมันก็จริง พอผมจบมาก็ไม่ได้ใช้ความรู้ที่เราเรียนมาเลยในการทำงาน ถ้าวันนี้เลือกที่จะทำงานที่ตัวเองเรียนมา อาจจะนั่งวิจัยโควิดอยู่ก็ได้ แต่ผมก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ รู้ตัวว่าไม่ได้ชอบตั้งแต่เรียน

วงการบันเทิงให้เงินกับผม และก็ทำให้ผมเป็นแบบนี้ (ยิ้ม) เพราะก่อนหน้านี้ผมจะเป็นคนถามคำตอบคำ เข้าสังคมลำบาก มนุษยสัมพันธ์ติดลบเลย ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยคุยกับใคร ปรับยากมาก

ตอนแรกที่เข้าวงการก็โดนกระแสด่าหาว่าหยิ่ง คุยด้วยก็ไม่คุยด้วย ขอถ่ายรูปไม่ให้ถ่าย เราไม่เคยมาตรงนี้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง ซึ่งที่ไม่ควรทำคืออะไร สิ่งที่ควรทำคืออะไร ก็ใช้เวลาปรับตัวอยู่ประมาณ 2 ปีถึงเข้าใจธรรมชาติของวงการบันเทิง

และผมก็ไม่ได้มีรุ่นพี่ที่สนิทมากพอที่เขาจะแนะนำว่าจะต้องทำอะไรในวงการนี้อะไรคือสิ่งที่เราไม่ควรทำ ผมเข้ามาหาคำตอบด้วยตัวเองหมด ช่วงแรกๆ ก็ปรับตัว ก็ค่อนข้างเครียด”

เป็นพระเอกที่มีค่าทางการตลาดไม่สูง 

แต่แม้จะอยู่ในวงการบันเทิงมาอย่างยาวนาน แต่เชื่อหรือไม่ว่า พระเอกหนุ่มคนนี้ แทบจะไม่ค่อยมีข่าวฉาวในวงการบันเทิงสักเท่าไรซึ่งเรื่องนี้เจ้าตัวก็ยอมรับว่า มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดย นิว วงศกร อธิบายเรื่องนี้ให้เราฟังแบบละเอียด หลังจากที่เห็นเราทำหน้างุนงงกับคำตอบของเขา

“คือมันมีทั้งข้อดีและข้อเสียนะ โดยส่วนตัวผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบเป็นข่าวอยู่แล้วครับ แต่ข้อเสียคือเราก็จะไม่มีกระแส เราก็จะไม่ค่อยมีพื้นที่บนสื่อเท่าไร ซึ่งผมก็มองว่ามันเป็นสิ่งที่สงบและผมก็แฮปปี้ที่จะเป็นแบบนี้

แต่ในมุมของหน้าที่การงานมันไม่ได้ของทางมาร์เก็ตติ้ง ทางการตลาดก็ไม่ได้ หลังๆ วางตัวละครเขาก็จะให้ฝ่ายมาร์เก็ตติ้งเป็นคนวาง ดูว่าคนนี้มีค่ามาร์เก็ตติ้งเท่าไร ลงละครเรื่องนี้แล้วเขาจะมีกำไร ขาดทุน

ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้ ตอนนั้นเราเป็นแค่เด็กวิทย์คนหนึ่งที่คิดว่าแค่เล่นละครอย่างเดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องสนใจเรื่องข่าว เรื่องกระแส โลกของเราก็เลยเปลี่ยนไป กลายเป็นว่าเราต้องปรับตัวที่จะอยู่ตรงนี้ให้ได้

และตอนนั้นผมต้องปรับตัวเยอะ อยู่ๆ ต้องมานั่งตอบคำถามว่า ตอนนี้คบกับใครอยู่ เวลาทะเลาะกันแล้วง้อกันอย่างไร อยู่ๆ โดนมาถามเรื่องส่วนตัว แต่ตอนนั้นไม่เข้าใจจริงๆ

แต่ตอนนี้รู้แล้ว ว่าคนอยากรู้เรื่องของนักแสดง เรื่องของดารา ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเดินไปไหนมาไหนแล้วไม่มีใครมาขอถ่ายรูปหรือไม่มีใครสนใจเรา วันนั้นเราก็จะไม่ได้ยืนอยู่ในวงการนี้ มันเป็นสิ่งที่เราต้องแลกมา แต่ผมก็จะทำเท่าที่ผมทำได้นะ ไม่ฝืนตัวเองมาก ถ้าไม่แฮปปี้ก็จะถอยหลังออกมา” 

เราถามต่อทันทีว่า อยู่มาก็นาน ข่าวอะไร ดราม่าอะไร เรื่องอะไรที่ทำให้พระเอกอย่างนิวไม่แฮปปี้เอาเสียเลย ซึ่งเจ้าตัวก็บอกกับเราด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า 

“สิ่งที่ผมเจอในวงการไม่มีอะไรหนักเท่ากับช่วงสองปีแรกที่ผมเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงแล้ว เพราะผมเริ่มปรับตัว เราเริ่มเรียนรู้ว่ามันคือธรรมชาติของวงการนี้ วันนี้เป็นพื้นที่ของเรา เป็นข่าวของเราเป็นดราม่าของเรา

แต่วันพรุ่งนี้มันจะเป็นของคนอื่น เปลี่ยนไปเรื่อยๆ คนก็จะลืมเรื่องของเรา เขาก็จะไม่พูดถึงเรา ทุกอย่างเป็นวงเวียน เป็นวัฏจักร พอคิดได้แบบนี้เราก็จะรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นและปล่อยวางมากขึ้น”

13 ปี รักต่างวัยกับ นาว ทิสานาฏ

จบเรื่องการทำงาน เราก็มาต่อที่เรื่องความรัก กับแฟนสาวนางเอกรุ่นน้อง นาว ทิสานาฏ ที่อายุต่างกัน 13 ปี ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง มีแพลนจะมีข่าวดีในเร็ววันหรือไม่ เพราะนิวก็อายุอานามไม่ใช่น้อยๆ น่าจะพร้อมมีครอบครัวได้แล้ว งานนี้เจ้าตัวก็ตอบกับเราด้วยรอยยิ้มแบบที่เข้าใจโลก และคนที่ถูกถามคำถามนี้บ่อยๆ ว่า

“ถ้าจะถามข่าวดีเรื่องแต่งงาน ยังนะครับ ยังไม่มีแพลนว่าเมื่อไหร่ แต่ถามว่ามีการคุยกันบ้างไหมก็มีการคุยกันครับ คุยกันตลอดครับ คุยกันเล่นๆ อยากจัดงานแบบไหน จัดที่ไหน เราคุยกันเล่นๆ ไม่ได้จริงจังเจาะจง

ซึ่งผมเข้าใจนะรุ่นผมก็แต่งงานมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว แต่ผมก็เคยคิดไว้ในใจว่าสักอายุ 37 จะแต่งงาน ตอนนี้ 40 แล้วก็ไม่ได้แต่ง แล้วน้องก็ยังเด็กอยู่ด้วย น้องเด็กกว่าผม 13 ปี เขาก็ยังไม่ได้คิดเรื่องแต่งงาน

ผมก็เลยรู้สึกว่ามันบังคับกันไม่ได้ เราอาจจะคิดแต่น้องเขายังไม่คิด หรือน้องคิดแต่ถ้าเรายังไม่คิดมันก็ไม่ได้ทั้ง 2 ฝ่าย เมื่อวันหนึ่งความต้องการของคนทั้งสองตรงกัน เราก็ค่อยมาคุยกันว่าจะอย่างไร

และเอาจริงๆ ผมเคยคิดอยากจะมีลูก ผมชอบเด็กมาก ตอนนี้ก็เล่นกับหลาน ไปรับลูกเพื่อนที่โรงเรียน ผมชอบเด็กมาก แต่ปัจจุบันความคิดที่จะอยากมีลูกมันก็เปลี่ยนไป ในยุคปัจจุบันที่โลกมันไม่เหมือนเดิม ทุกอย่างยากขึ้น การแข่งขันสูงขึ้น 

เราคิดแทนลูกเราว่าเขาจะต้องมาเผชิญกับอะไรบ้าง ไหนจะโควิด โรงเรียน หรือดราม่าการบูลลี่ที่เข้าถึงตัวได้ง่าย เราคิดแทนเขาว่าเขาจะมีความสุขในสังคมนี้ไหม

ถูกถามบ่อยๆ แบบนี้ เมื่อไหร่จะแต่งงาน ถามจริง กดดันบ้างหรือเปล่า รำคาญไหมที่ใครๆ ก็ชอบถามแต่เรื่องนี้ งานนี้ นิว วงศกร ตอบกับเราแบบเข้าใจโลกมากๆ ว่า “ไม่นะ เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเราก็ถามเพื่อนเราแบบนี้เหมือนกัน ก็อยากจะสอบถามความสุขของชีวิต มันเป็นเรื่องธรรมดา”

รักต้องปรับเพราะทัศนคติไม่ตรงกัน

เพราะมีความต่างของอายุที่ห่างกันมากๆ ถึง 13 ปี กับ นาว ทิสานาฏ นางเอกช่อง 7 เราจึงถามว่า ความรักต่างวัยของนิวและนาวนั้น ต้องปรับกันเยอะหรือไม่ มีปัญหาอะไรกันมากหรือเปล่า ซึ่งพระเอกหนุ่มยอมรับว่า รักต่างวัยของตนนั้นมีปัญหาต้องปรับกันทุกวันว่า 

“ปรับเยอะครับ และก็ปรับไปเรื่อยๆ ทุกวันจะมีเรื่องใหม่ๆ เข้ามาเสมอ รักต่างวัยมันก็มีปัญหาใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา บางเรื่องคุยกันไม่รู้เรื่องเพราะทัศนคติไม่ตรงกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราคิดถูกหรือเขาคิดผิด มันต้องมีตรงกลาง เราก็ยอมกันคนละครึ่งเพื่อความแฮปปี้ทั้งสองฝ่าย”

เพราะอายุต่างกันมาก ถามจริง เรื่องความขี้หึงขี้หวง ระหว่าง นิว และ นาว ใครจะขี้หึงและขี้หวงมากกว่ากัน พอจะสารภาพเรื่องนี้ให้กับทุกคนในโลกนี้ได้รู้หน่อยได้ไหม และคำถามนี้ ทำเอาพระเอกหนุ่ม นิว วงศกร ถึงกับขำก๊ากออกมาและสารภาพกับเราว่า 

“ผมอยากให้น้องหวงผมมากเลยนะรู้ไหม เขาไม่เคยหวงผมเลยนะ เขาปล่อยผมสบายๆ ผมให้เขาดูโทรศัพท์ผมได้สบายๆ นะไม่มีความลับอะไรอยู่แล้ว น้องรับโทรศัพท์แทนได้ รู้พาสเวิร์ดอะไรหมด

ผมบอกเขาเสมอว่า ให้น้องโทรตามผมบ้าง เช็กบ้างนะว่าทำอะไรอยู่ที่ไหน มีข่าวก็แสดงความหึงหวงหน่อยนึง แต่เขาไม่มีเลย เขาชิลๆ เขาสบายๆ

ส่วนผมก็ไม่ได้หึงหรือหวง ให้อิสระกับเขาเต็มที่เหมือนกัน เราคบกันอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจ แต่เขาก็ต้องทำให้เราไว้ใจก่อนนะ แต่กว่าจะมาถึงตรงนี้ เราก็ต้องพิสูจน์ให้เขาเห็นเยอะเหมือนกันก็ทำแบบนี้ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ให้เป็นมาตรฐาน เขาก็เลยไว้ใจ (ยิ้ม)”

เพราะอายุที่ต่างกันเยอะขนาดนี้ ถามจริงมีคนแซวเรื่องกินเด็กบ่อยไหม แล้วใจจริงของนิวนั้นโกรธหรือเปล่า เวลาที่มีใครแซวเราเรื่องนี้ ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบคำถามนี้กับเราด้วยท่าทางสบายๆ ว่า 

“มีคนแซวบ้างนะครับ แต่ผมไม่โกรธ เพราะตอนเริ่มต้นที่คุยกันผมไม่รู้ว่าเขาอายุน้อยกว่าผมเยอะ ผมคิดว่าคนที่มาเป็นนักแสดงก็น่าจะต้องเรียนจบแล้ว ถึงทำงาน แต่พอเริ่มคุยถึงรู้ว่าเขายังเรียนอยู่ แต่รู้สึกดีนะว่ากว่าเราจะพร้อมมีครอบครัวมันก็ใช้เวลานาน น้องก็ยังเด็ก มันคงเป็นโอกาสของเราที่จะมีเวลานานในการสร้างเนื้อสร้างตัวเพื่อให้เกิดความมั่นคงในอนาคต”

คุยกันมายาวๆ สักพัก ก็หมดเวลาดีลกับ นิว วงศกร ซะแล้ว แต่ก่อนจะจาก เราก็ให้พระเอกหนุ่มหน้าเด็ก ได้ฝากผลงานละครเรื่องล่าสุด ที่บอกเลยว่า เรื่องนี้จะได้เห็นฝีมือทางการแสดงอีกขั้นของหนุ่มนิวด้วย ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่รอช้า รีบขายของแบบด่วนจี๋ว่า

“สำหรับเรื่อง The secret เกมรัก เกมลับ เรื่องนี้ผมเล่นเป็นผู้ชายอัธยาศัยดีอีกแล้ว (ยิ้ม) ชอบเข้าหาคนในมุมของความรัก ไม่ได้เกลียดใคร ไม่อยากเป็นศัตรูกับใคร ใครดีกับเรา เราก็ดีด้วย

ความแซ่บมันก็แซ่บนะ ด้วยเนื้อหาของเรื่อง ลิมิตของการเล่นมันก็กว้าง นักแสดงจะมีอิสระมาก เล่นอะไรหลากหลายและได้ทำงานที่ท้าทายมากขึ้น ยากมากขึ้น แต่ก็สนุกมากขึ้น 

เรื่องนี้ผมต้องคิดคาแรกเตอร์ให้ต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่เคยเล่นมา ความยากของเรื่องนี้มีแค่ 10 ตอน ต้องเล่นให้คนเชื่อว่าผมสามารถบริหารความสัมพันธ์ของผู้หญิงทั้ง 5 คนให้ได้ภายใน 10 ตอน

ด้วยจำนวนตอนมันน้อย ก็ต้องเล่นให้เคลียร์ให้ชัดตั้งแต่แรก ก็จะยากตรงนี้ ต้องเล่นให้คนดูเชื่อ คบกับผู้หญิง 5 คนในออฟฟิศเดียวกันได้โดยที่ไม่รู้สึกว่ามันคือความผิด 

ส่วนเรื่องเลิฟซีน ไม่เยอะนะครับ แต่ในตัวอย่างจะมีฉากแบบนี้ที่ถูกตัดมาออกมาให้ดูเฉยๆ แต่เนื้อเรื่องมันไม่ได้เยอะขนาดนั้น แต่สำหรับเรื่องนี้ ทุกคนกลัวกันนะพออ่านบทแล้ว ว่าจะเล่นได้ไหม มากองก็มานั่งเครียด ต้องเล่นขนาดนั้น ต้องเล่นขนาดนี้

แต่พอได้เจอผู้กำกับ ความกลัวเหล่านั้นมันหายไป พี่เขาช่วยปรับจูนให้ทุกอย่างมันออกมาสบายใจทั้ง 2 ฝ่าย ผมก็พยายามเล่นให้ได้ในเทคเดียว เผื่อเซฟน้องๆ ทุกคน จูบจริงก็จะแค่ 3 วินาทีเท่านั้น ที่เหลือเป็นมุมกล้อง  

ผมอยากฝากละครเรื่องนี้ให้กับทุกคนได้ติดตามกันนะครับ เนื้อเรื่องมันสนุกมาก ผมเชื่อว่าคนที่ดูละครเรื่องนี้จะต้องได้อะไรดีๆ ไปจากละครเรื่องนี้ด้วย เพราะละครของค่ายนี้เขาทำมาจากโครงเรื่องจริง มันจะเป็นบทเรียนของใครหลายคนที่เดินพลาดมาก่อน

พอเราดูก็เอามาใช้เป็นบทเรียนของเรา ถ้าเรากำลังจะทำแบบนี้ ตัวละคร 1 ใน 5 คนนั้นอาจจะเป็นตัวเราอยู่ก็ได้ หรือเป็นคนใกล้ตัว เราก็ช่วยเตือนสติเขา ดึงเขากลับมาได้ครับ”  

30 นาทีกว่าๆ กับการพูดคุยกับ นิว วงศกร นักแสดงคนเก่ง เราบอกเลยว่า ผู้ชายคนนี้ มีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการทำงานมาก และมีพลังบวกส่งมาให้กับเราในระหว่างที่เราได้คุยกัน เราหวังว่า บทสัมภาษณ์ของนิวในครั้งนี้จะเป็นพลังบวกให้กับใครหลายคนที่กำลังจะตัดสินใจเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิต เพราะถ้าเราไม่เปลี่ยน เราก็จะไม่พัฒนา 

ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา

กราฟิก : phantira thongcherd

ช่างภาพ : ชุติมน เมืองสุวรรณ

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2027881
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2027881