ลำเพลิน วงศกร จากนักมวยตัวน้อยในวัยเด็ก สู่ศิลปินหมอลำร้อยล้านวิว


ให้คะแนน


แชร์

นักมวยตัวน้อย

ลำเพลินเล่าย้อนวันวานด้วยเสียงสดใส เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก หนุ่มคนนี้เคยเป็นนักมวยตัวน้อยๆ มาก่อน เพราะด้วยความที่เป็นเด็กดื้อ ชอบแกล้งเพื่อนๆ คุณตาเลยบอกให้ไปชกมวยดีกว่า

“ผมเป็นนักมวยตอนผมเป็นเด็กครับ ต่อยมวยตามวัด ต่อยมวย เล่นกีฬา เตะบอล ร้องเพลงก็ร้อง เราทำทุกอย่าง ถามว่าตอนเด็กที่ไปต่อยมวยดูใครมาถึงชอบ ผมเป็นคนดื้อตอนเด็กๆ ชอบแกล้งเพื่อน แล้วตาบอกชอบแกล้งเพื่อนให้ไปค่ายมวยดีกว่ามั้ง ไปเก่งบนเวทีดีกว่า รู้สึกว่าชอบครับ แต่ว่าเจ็บตัวไปนิดนึง (หัวเราะ) ถามว่าเริ่มชกตั้งแต่ตอนไหน ตั้งแต่ ป.1 ครับ ประมาณ 6-7 ขวบ ก็ต่อยมาเรื่อยๆ แต่เป็นคนขี้อายมากในเรื่องการร้องเพลง ไม่กล้าร้องเพลง จะร้องคนเดียว แต่เรื่องชกมวยไม่อายใคร ทั้งๆ ที่ชกมวยแพ้บ่อยมาก แต่ด้วยความเป็นเด็กเราชอบ”

แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้หันมาสนใจเรื่องเพลงอย่างจริงจัง ลำเพลินบอกว่า เป็นเพราะแม่อยากให้ขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีหมอลำในงานวัด ซึ่งใกล้กับเวทีมวยที่ไปชกพอดี ทำให้สังเกตเห็นสายตาของคนที่ดูมวยและดูหมอลำต่างกัน

“วันนั้นไปต่อยมวย แล้วเตะโดนหน้าครับ แต่ได้ตังค์ประมาณ 300 ลงเวทีมวยมาแล้วมันมีเวทีหมอลำครับ อยู่ใกล้ๆ กัน เป็นงานวัด แม่ผมก็เลยบอกว่า ขึ้นไปร้องเพลงหมอลำให้ฟังหน่อย ผมก็แบบเอาวะ ร้องก็ร้อง แค่ร้องเพลงเฉยๆ ไม่เป็นไรหรอก ตอนนั้นอยู่ประมาณ ม.1 ผมรู้สึกว่าสายตาของคนที่ดูมวย กับคนที่ดูหมอลำต่างกัน ถามว่าต่างกันยังไง ดูผมต่อยมวยสายตาของคนที่มองเด็กคนนี้ไม่มีอะไรเลย ก็แบบงั้นๆ แต่สายตาของคนที่มองผมร้องเพลงมันเป็นคนที่แบบเสียงดี มีความสามารถร้องเพลงเพราะ ดูจากสายตากับท่าทางเขาเรารู้ครับ เขาชอบเราร้องเพลงมากกว่าต่อยมวย ก็เลยเป็นจุดเปลี่ยน หันมาร้องเพลง เล่นดนตรี”

รักดนตรีจนเคยถูกไล่ออกจากห้อง

เมื่อหันมาสนใจดนตรีอย่างจริงจัง ลำเพลินเล่าว่า เขาชอบฟังเพลงทุกแนว แต่ชอบร้องเพลงหมอลำ เพราะด้วยความเป็นเด็กอีสาน และฟังหมอลำมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ซึมซับมาเรื่อยๆ และเพราะความเป็นคนรักการเล่นดนตรี ก็มักจะโดดเรียนไปเล่นดนตรีบ่อยๆ และมีเหตุการณ์ที่ทำให้ครูไล่ออกจากห้องมาแล้ว

“ฟังทุกอย่างครับ คาราบาวผมก็ฟัง ฟังทุกแนว เราก็รู้ตัวเองว่าเราเป็นเด็กอีสาน เราเกิดมาบนผืนแผ่นดินอีสาน ผมฟังหมอลำมาตั้งแต่เด็กเลยครับ จำความได้ผมก็ได้ยินหมอลำเลย เพราะว่าตากับยายเปิดหมอลำให้ฟังตั้งแต่ผมเป็นเด็กเลยครับ มันก็ซึมซับมาเรื่อยๆ ถามว่าสมัยเรียนเกเรมั้ย ไม่ครับ จะมีโดดเรียนไปเล่นดนตรี แต่ไม่มีเกี่ยวกับพวกเหล้ายา

เคยโดนครูไล่ออกจากห้อง เพราะนั่งเคาะโต๊ะอยู่ในห้องเรียนกับเพื่อนด้วยกัน แล้วไม่มีใครรับ ผมเลยรับว่าผมนี่แหละเป็นคนเคาะ ทั้งๆ ที่เคาะกันทั้งห้อง ครูถามว่าใครเคาะ ไม่มีคนตอบ ครูก็เลยจะลงโทษ ผมเลยบอกเคาะเองครับ เขาก็เลยไล่ผมออกจากห้องครูสอนภาษาอังกฤษ เขาบอกว่าถ้าเธออยากเป็นนักดนตรี เธอก็ไปเล่นดนตรีสิ จะมาเรียนทำไม ผมก็เดินออกจากห้องเลย ผมก็บอกว่า ครับ ผมจะไปเล่นดนตรีครับ จากนั้นวิชาของครูคนนี้ ผมก็ไม่เข้าเลย ผมก็ไปเล่นดนตรี”

ชีวิตนักศึกษาดนตรี

เราถามถึงตอนที่ลำเพลินศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ศิลปินหนุ่มเล่าให้ฟังว่า ที่เลือกเพราะเป็นหนทางเดียวที่จะได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย เพราะด้วยเกรดเฉลี่ยตอนเรียนไม่ดีนัก จึงตัดสินใจสมัครเรียนต่อจากโควตาผู้มีความสามารถด้านดนตรี

“มันเลือกเพราะว่า ผมไม่รู้ว่าผมจะเรียนอะไรครับ จนวินาทีสุดท้าย ผมเป็นคนที่ชอบเล่นกีฬา เล่นดนตรี ผมก็เลยเรียนจบ ม.6 แค่เกรด 1.97 ตามความเป็นจริงเราจะไปสอบที่ไหนได้ ก็เลยมีโควตาผู้ที่มีความสามารถทางด้านดนตรี มีที่เดียวที่ผมจะไปคือ มมส. แล้วไม่รู้จักใครด้วยครับ ไปเพียงเพราะว่าเขาเปิดรับตรงนี้ ครูแนะนำครับ อาจารย์ที่สอนดนตรีผมก็จบมาจากที่นั่น เขาก็เลยบอกว่านี่แหละเป็นที่ที่เอ็งควรจะไป ผมเป็นคนที่ตัดสินใจแบบปุบปับ พอวันสุดท้ายแล้วที่เขาจะสอบกันก็ไปครับ ด้วยความที่เพื่อนเรียนมหาวิทยาลัยหมด เราจะอยู่บ้านทำไม คิดแค่นี้”

ลำเพลินหัวเราะก่อนจะเล่าต่อว่า “ผมเกิดมาเกี่ยวข้าว ปลูกข้าว ดำนา ปลูกมัน ตัดอ้อย ผมทำมาหมดแล้ว ผมรู้สึกว่าชีวิตเราไม่ได้เกิดมาทำสิ่งๆ นี้ เราทำไม่ได้ มันหนักเกินไป เราควรใช้สมองอันน้อยนิด กับร่างกายของเราเป็นประโยชน์กว่านี้ (หัวเราะ) แน่นอนว่าถ้าเราจะทำแบบนี้จริงๆ เราไม่มีตังค์หรอก เราสร้างอนาคตตัวเองไม่ได้หรอก ถ้าเรายังจะมาตัดอ้อยไปวันๆ ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้ เราต้องทำงานของตัวเอง เอาความสามารถที่มันมีอยู่กับตัวเอง แล้วก็ฝึกฝนไปเรื่อยๆ”

เมื่อเข้ามาเป็นนิสิตในรั้วมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ลำเพลินเล่าว่า เคยถูกเพื่อนร่วมชั้นไม่ให้เล่นด้วย เพียงเพราะไม่ได้ไปกินเหล้าด้วยกัน เพราะตนเองไม่มีเงิน แต่ยังมีเพื่อนที่ไม่มีเงินเหมือนกัน ฝึกฝนดนตรีด้วยกันตลอด ก่อนจะบอกว่าเพื่อนที่บอกไม่ให้เล่นด้วย ทุกวันนี้มาเล่นดนตรีให้ตนแล้ว

“ผมเคยโดนเพื่อนไม่เล่นด้วยครับ เพราะว่าเราไม่ไปกินเหล้ากับเพื่อน เราเรียนมหาวิทยาลัย เราไม่มีตังค์ครับ แม่ต้องทำงาน ต้องกรีดยาง เงินแต่ละบาทมันมีคุณค่ามากครับ แต่เราไม่เคยเล่าให้เพื่อนฟังว่าบ้านเราไม่มีตังค์นะ เราไม่เคยไปเล่า เพื่อนก็ชวนเรา แต่เราไม่ไปกับเพื่อนสักที เพื่อนก็บอกอย่าคิดเลยว่าจะเรียนจบ เพราะว่าไม่ไปกับเพื่อน ไม่เข้าสังคมกับเพื่อน ไม่ค่อยมีใครคุยกับผม เพราะว่าผมก็ไม่ค่อยคุยกับใครด้วย เนื่องจากเราไม่มีตังค์ไปกับเพื่อน เราจะคุยกับเขารู้เรื่องเหรอ

จะมีเพื่อนอยู่ 2-3 คนที่อยู่ด้วยกันจริงๆ ไม่มีเงินนั่นแหละอยู่ด้วยกัน ก็ฝึกเล่นดนตรีอย่างเดียวเลยครับ อยู่ในห้องฝึกเล่นดนตรี เคยไม่กินข้าวเป็นวัน เพื่อที่จะเล่นดนตรีให้ได้ ฝึกร้องเพลง แต่งเพลงอยู่ในห้อง ประมาณเกือบ 2 ปีครับ ซ้อมๆๆ ไม่คบค้าสมาคมกับเพื่อน ซึ่งคนที่บอกว่าไม่ให้ผมเล่นกับมัน ทุกวันนี้มันก็มาเล่นดนตรีให้กับผมนะ มันบอกว่าผมเรียนไม่จบ ผมเพิ่งเรียนจบ เรียนมา 8 ปีครับ เพราะว่าผมทำงานก่อน”

จุดเปลี่ยนชีวิตเป็นศิลปิน

อย่างที่หลายคนรู้กันดีว่า ลำเพลินเคยเข้าประกวดเดอะสตาร์ ปี 7 เมื่อปี 2553 มาแล้ว แต่แค่ร้องเพลงท่อนแรกก็โดนเชิญให้ออกจากห้อง และไม่ผ่านเข้ารอบ ทำให้เจ้าตัวเสียใจ และไม่คิดจะประกวดเวทีไหนอีก แต่สุดท้ายด้วยความไม่ย่อท้อที่จะทำตามความฝันของตัวเอง ลำเพลินอัดคลิปร้องเพลงหมอลำลงเฟซบุ๊ก จนกลายเป็นคลิปที่มียอดคนดูล้านวิวภายในเวลาไม่นาน และเป็นจุดเริ่มต้นที่กลายเป็นศิลปินดังค่ายแกรมมี่โกลด์

“จุดเริ่มต้นมาจากผมอัดคลิปวิดีโอร้องเพลงหมอลำลงเฟซบุ๊กส่วนตัว และก็ปล่อยลงโซเชียล ตอนแรกแค่อยากทำเล่นเฉยๆ เพราะผมเรียนหมอลำอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม แล้ววันนั้นครูให้ท่องกลอนรำ ผมก็ท่องได้เลยขออัดคลิปวิดีโอไว้ลงเฟซบุ๊กตัวเอง และมีคนมาแชร์เยอะมากเป็นล้านวิว ชั่วโมงเดียวคนแชร์เป็นหมื่น ตอนนั้นมีคนติดตามอยู่ประมาณ 15,000 คน ก็แชร์ไปตามเพจต่างๆ เลยมีคนมาติดตามเยอะ ตอนนั้นดีใจมาก มันเป็นความรู้สึกที่เราแบบคิดว่าใช่เหรอ เหมือนเราเจอแสงสว่าง

พอมาวันหนึ่งก็มีพี่ชื่อสิงห์ (ณฐพบ ชาเนตร์) เขาอยู่ขอนแก่น เขามาเจอผมแล้วบอกว่า อยากให้ผมไปทำเพลงด้วยที่ค่าย คือเขาก่อตั้งค่ายขึ้นมา ชื่อค่ายว่า สิงห์ มิวสิค ผมเลยตัดสินใจว่า ไปดีกว่า อยากลองไปดู อยากมีเพลงของตัวเองด้วย พอไปไม่ถึงเดือน เหมือนมีคนส่งคลิปร้องหมอลำของผมเข้ามาให้ผู้ใหญ่ในบริษัทเห็น เขาก็เลยเรียกมาสกรีนเทสต์เป็นศิลปินของแกรมมี่โกลด์ ตอนนั้นพี่ที่อยู่ขอนแก่นนั่นแหละพามา และพอมาประมาณ 2-3 อาทิตย์ ก็ได้คำตอบว่า เราได้เป็นศิลปินนะ มาเซ็นสัญญา”

เพลงดังร้อยล้านวิว

เมื่อได้เป็นนักร้องสมใจ แต่ในระยะแรกยังไม่ได้แต่งเพลงด้วยตัวเอง จึงทำให้รู้สึกไม่ท้าทาย แต่เพราะได้รับโอกาสที่ดีจากโปรดิวเซอร์ ลำเพลินจึงได้มีส่วนร่วมในการแต่งเพลงด้วย และประสบความสำเร็จอย่างมาก
“พอรู้ว่าได้เป็นนักร้องจริงๆ ไม่กดดันครับ แค่ตื่นเต้นเฉยๆ ว่าได้ทำซิงเกิล ผมคิดว่าตัวเองเข้ามาเป็นอีกคนหนึ่งเลย ผมมีพี่ๆ เป็นไอดอลอยู่แล้ว แต่เราคิดว่าเราต้องเป็นเรา ต้องเป็นศิลปินคนใหม่ ตอนแรกได้ร้องเพลงที่เขาแต่งให้ ชื่อเพลง “ง่ายเนาะ” เป็นเพลงอกหัก ผมเลยรู้สึกว่าเพลงแรกในชีวิตผมไม่ได้ท้าทายอะไรเลย เพราะผมไม่ได้ทำเอง (หัวเราะ)

ตอนนั้นยังไม่กล้าเรียกตัวเองว่าศิลปิน เพราะว่าเรายังไม่ได้คิดอะไรเองเลย ถ้าเป็นศิลปินจริง จะต้องคิดงานเอง ทำเอง ถ้าแบบนี้เราเป็นนักร้อง แต่ผมอยากเป็นศิลปินครับ แล้วก็มีพี่โจ เป็นโปรดิวเซอร์ของผมอยู่ที่แกรมมี่โกลด์ เขาก็ดึงผมออกมา แล้วถามว่า ผมแต่งเพลงเองได้ไหม ผมก็เลยบอกว่า ได้ครับ แต่ไม่รู้ว่าจะได้ไหม หรือดีพอไหม แต่ถ้าพี่ให้โอกาสผมทำ ผมก็พร้อมที่จะทำ ผมก็ได้แต่งเพลงเอง ออกแบบดนตรีเองบ้าง เลยรู้สึกว่าตัวเองได้ทำงานตรงนี้แหละ และคิดว่าตัวเองเป็นศิลปินตั้งแต่วินาทีนั้น คือได้ทำงานเอง ได้ทำสิ่งที่เป็นตัวเรา ก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นธรรมชาติและได้อิสระทางความคิดดี ซึ่งเราก็ต้องการแบบนี้อยู่แล้ว

เพลงแรกที่ปล่อยออกมา 85 ล้านวิว ชื่อเพลง “หมาวัด” เนื้อเพลงมาจากตอนที่ผมขับรถชนหมาจรจัดที่อยู่ข้างถนนตัวสีขาวๆ ผมก็เลยรู้สึกผิด ทั้งๆ ที่มันวิ่งมาชนรถเราเอง ผมก็วนรถกลับมาดูว่ามันตายไหม มันก็ตายจริงๆ ครับ เลยตั้งใจว่าเราจะแต่งเพลงให้หมาตัวนี้ เพราะว่าเรารู้สึกผิดที่เราชนเขา ส่วนเพลง “ห่อหมกฮวกเอาไปฝากป้า” ผมไม่ได้แต่ง เต๊ะ ตระกูลตอ เป็นคนแต่ง แต่เอามาร้องด้วยกันเฉยๆ ผมเป็นคนที่เอามาทำและก็คิดดนตรีครับ เพลงนี้ยอดวิวในยูทูบ 206 ล้านวิวครับ

และก็อีกเพลงนึง “รำคาญกะบอกกันเด้อ” 345 ล้านวิว เพลงนี้ เต๊ะ ตระกูลตอ แต่งท่อนฮุค ผมก็เลยบอกว่าทำไมไม่แต่งให้เสร็จ เขาก็บอกขี้เกียจแต่ง ผมก็เลยบอกว่า เดี๋ยวเอาไปแต่งร้องนะ เขาเลยโอเค แล้วผมก็เขียนๆ แล้วเอาไปยัดไว้ในกีตาร์ เวลาผ่านไปเดือนนึง ผมก็เหลือบไปเห็นว่ากระดาษอะไร ก็เลยเห็นว่าเป็นเพลงนี่หว่า ก็เลยอัดลงเฟซบุ๊กผมอันเดิมแหละครับ ทำเหมือนตอนที่ทำหมอลำ”

เมื่อเราถามว่า คิดว่าเพราะอะไรที่ทำให้เพลงของตัวเองประสบความสำเร็จ คนหันมาฟังเพลงของเขาได้ขนาดนี้ ลำเพลินบอกว่า “มาจากความตั้งใจที่เราไม่ได้คาดหวัง เราไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เราดัง แต่เรามีเพียงเราคนเดียวที่อยู่บนโลกนี้ และไม่มีใครเหมือนเราแน่นอน ถ้าอะไรที่มันออกจากเรา มันต้องเป็นตัวเรา เป็นธรรมชาติ และก็ตั้งใจทำในสิ่งที่เราถนัด ผมเป็นคนชอบฟังเพลงแนวป๊อป ทุกเพลงที่ผมทำมันจะมีกลิ่นอายของเพลงป๊อป เป็นป๊อปสไตล์อีสาน มันเป็นความชอบ ถ้าเป็นลูกทุ่งสไตล์นี้คือรู้เลยครับว่าเป็นลำเพลินร้อง มันจะดังไหม เราก็การันตีไม่ได้ แต่ถ้าดนตรีขึ้นมา เสียงขึ้นมา เราจะรู้เลยว่าเป็นเพลงของเรา”

ชีวิตลิขิตเอง

ปัจจุบันลำเพลินกลายเป็นศิลปินร้อยล้านวิวที่ประสบความสำเร็จ มีทั้งผลงานเพลงและผลงานการแสดงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และถูกตั้งฉายาจากแฟนๆ ว่าเป็นโอปป้าสายหมอลำ เมื่อมองย้อนกลับไป ลำเพลินมองว่าการที่เดินทางมาไกลและประสบความสำเร็จเช่นนี้มาจากการเลือกของตัวเอง

“ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เราได้เจอคนที่เราไม่เคยเจอ เช่น พี่ๆ ศิลปินที่เราเคยเห็นอยู่ในโทรทัศน์ แล้วเราเป็นเด็ก ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอพี่ๆ ที่อยู่ในวงการ ผมก็รู้สึกว่าดนตรีมันพาผมมาไกล เสียงเพลงพาผมมาไกล กับคนที่ผมอยากเจอ ทั้งๆ ที่เราไม่รู้ว่าจะมีสิทธิ์ได้เจอเขาไหม เช่น พวกพี่ๆ ในวงการ อย่างพี่ตูน พี่ปั๊บ พี่โตโน่ นักฟุตบอลทีมชาติ นักมวย ทุกวงการครับ

ถามว่า มองย้อนกลับไปรู้สึกยังไงบ้าง ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกวาสนานะ ผมว่ามันมาทีหลัง มันมาในวันที่เราประสบความสำเร็จแล้ว ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นการที่ผมเลือกตัดสินใจร้องเพลง ต่อยมวยเสร็จมาร้องเพลง แล้วก็เลือกที่จะมาเรียนอยู่ที่ดุริยางค์ เรื่องพวกนี้มันอยู่ที่ความคิดผมเองนี่แหละ ที่ผมทำ ที่ผมกำหนดชีวิตเราเอง วันที่เราประสบความสำเร็จต่างๆ นานา คนก็จะบอกเราวาสนาดีนะ แต่ผมอยากพูดมากเลยว่า คุณรู้ไหมคำว่าวาสนาดีของผม ผมต้องผ่านอะไรมาบ้าง

ผมบอกเลยว่า ถ้าใครจะเป็นศิลปินปุบปับเนี่ย ผมว่าอะไรที่มันได้มาง่ายๆ มันไม่มีคุณค่า ถามว่าสิ่งที่ผ่านมาให้อะไรกับเราบ้าง มันทำให้เราเห็นคุณค่าของตัวเองครับ คุณค่าของความพยายามในตัวเองว่ากว่าเราจะมาถึงจุดๆ นี้มันไม่ได้มาง่ายๆ มันทำให้เรารู้สึกระวังตัว ว่าเราต้องรักษาชื่อเสียงที่เราสร้างขึ้นมา ให้มันอยู่กับเรานานๆ อยู่กับแฟนคลับนานๆ อย่าไปทรยศความรักของเขาที่คอยสนับสนุนเรา ต้องอยู่ตามหลักความเป็นจริง”

ก่อนจะจบการสนทนา ลำเพลินขอบคุณแฟนๆ ทุกคนที่ยังคอยให้กำลังใจเสมอมา “ขอบคุณที่คอยสนับสนุนผมมาตั้งแต่วินาทีที่มารู้จักกัน ผมอยากขอบคุณที่ทำให้ผมมาอยู่จุดๆ นี้ครับ เขาคือคนสำคัญของผม ขอบคุณที่ส่งกำลังใจให้ผมในการทำงานต่างๆ คนเราอยู่ได้เพราะมีกำลังใจครับ ขอบคุณความรักที่มอบให้กับผมครับ สิ่งที่ตอบแทนได้ก็เป็นการสร้างงานของผมนี่แหละครับ ฝากผลงานด้วยครับ จะมีอัลบั้มในปีนี้ แล้วก็มีเพลงประกอบละคร “สูตรรักแซ่บอีหลี” ทางช่องวัน 31 ครับ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : Grammy Gold
กราฟิก : Supassara Taiyansuwan

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2028869
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2028869