นนนี่ เคยน้อยใจ แอน สิเรียม บ้างาน วันนี้รู้แม่ทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว


ให้คะแนน


แชร์

แต่ในยุคของเรามันเป็นยุคที่ก้ำกึ่ง แล้วเราเป็นคนส่วนตัวมาโดยตลอด เราก็เลยไม่รู้ว่ายิ่งพูดไปจากคนที่ไม่ได้สนใจอะไรมาสนใจเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เราก็ไม่ได้มีที่ปรึกษาก็คิดว่าเราก็อยู่เงียบๆ ของเราดีกว่า น้องนนนี่เขาเลยจะมีความรู้สึกว่า เขาเบื่ออะไรแบบนี้ เบื่อที่นี่ ไม่อยากอยู่แล้ว

นนนี่ : บางทีคนเราอยากจะเชื่อในสิ่งที่เชื่ออย่างงั้น ต่อให้เราพูดอะไรไปเขาก็จะไม่เชื่อเรา เพราะเขาเชื่อแบบนั้นไปแล้ว

ในทางกลับกันตัวลูกบอกไม่สนใจ มันไม่เกี่ยวอะไรกับชีวิต แล้วตัวของแม่คือคนที่ยังต้องทำงานอยู่มากมาย ณ วันนั้นตอนข่าวเกิดขึ้นเรารู้สึกยังไงบ้าง?
แอน : รู้สึกว่าต้องพยายามที่จะเก็บความเจ็บปวด เก็บความเจ็บใจอันนั้นไว้ในใจ แล้วก็เรียนรู้ว่าอันนี้มันก็เป็นสิ่งที่เราจะต้องยอมรับมันว่าในเมื่อคนคิดแบบนี้ไปก็ต้องให้อภัย มันก็เกิดขึ้นได้

หลายๆ เรื่องของเราก็มีเหมือนกันที่โดนกอสซิป โดนนินทา ก็ไม่รู้จะทำยังไง จะร้องห่มร้องไห้ไปก็แค่นั้น ก็จะมาบ่นกับเขาว่าทำไมไม่ทำให้มันดีๆ ลุกขึ้นมาดูแลตัวเอง ทำให้สดใสอะไรอย่างนี้ เราก็พูดตลอด พูดจนเขารู้สึกว่าเขาไม่อยากจะพูดกับเราแล้ว

นนนี่ : ก็ชีวิตเราอะไรแบบนี้ ตอนนั้นเราก็คิดไงว่าก็ไม่ทำ ก็ไม่ได้จะกลับไปออกโทรทัศน์ ไม่ต้องมีใครมาเห็นเรา

ตอนอกหักปรึกษาคุณแม่บ้างไหม?
นนนี่ : ไม่คุย ไม่พูดด้วย รับมือเอง เหมือนไม่อยากพูด บอกแม่ว่าแม่ไม่มีเวลามาฟังหรอกอะไรอย่างนี้ เราไม่ได้มีเจตนาทำให้แม่เจ็บปวด เหมือนเราอยู่ของเราได้ เหมือนพอเป็นวัยรุ่น เรื่องรักๆ มันเป็นเรื่องที่เราอาย เราไม่กล้าพูดกับที่บ้าน ไม่อยากพูด เขิน

สิ่งที่นนนี่ทำหลายๆ เรื่องมันก็มีผลต่อคุณแม่อย่างหนักมาก อย่างครั้งที่ แอน สิเรียม เคยมานั่งอยู่ที่นี่ ได้พูดถึงเหตุผลที่ตัดสินใจช่วงหนึ่งที่ทิ้งเมืองไทยไปอยู่ที่ต่างประเทศ เหตุผลก็คือจากประโยคเดียวที่นนนี่พูด?
แอน : เป็นคนที่ถ้าตัดสินใจอะไรจะทำให้ดี

ตอนที่แม่ไปตกใจไหม?
นนนี่ : ตอนที่เขาไปคือเราอยู่โรงเรียนประจำแล้ว คือเราก็จะไปหาเขาได้แค่วันศุกร์ วันเสาร์ วันอาทิตย์เย็นต้องกลับ บางทีก็ไม่ไปเพราะอยู่โรงเรียนก็สนุก
แอน : บางทีแอนก็ต้องไปหา เขาก็จะบ่นว่าเหนื่อยนะ เขาต้องนั่งรถไฟมา ต้องนั่งรถไฟกลับอีก 2 ชั่วโมง

แล้วนนนี่มาเข้าใจตอนไหนว่าคุณแม่งานเยอะ?
นนนี่ : ประมาณช่วง 2-3 ปีหลัง พอได้เห็นว่าแบบ โอ้โห แม่ทำงานทุกวันจริงๆ แล้วพอยิ่งมาเป็นผู้จัดการยิ่ง โอ้โห ทำไมเก่งจัง ไม่หยุดไม่หย่อนเลยทุกวัน เราจะถามเขาก่อนว่าจะเอาวันนี้ไหม จะโอเคไหม ก็จะพยายามรับงานที่ไม่เหนื่อยมาก แต่แม่ก็จะไม่ๆ แม่งก แม่จะเอาทุกงาน จริงๆ แม่บอกว่าไม่ได้ๆ แม่รับๆ

นนนี่เองเหมือนมีครอบครัวแล้วตอนที่ไปอยู่ที่ต่างประเทศ? 
นนนี่ : ใช่ค่ะ แต่งงานเลย

แล้วเจอกับคนนั้นอย่างไรบ้าง?
นนนี่ : ตอนนั้นพอเหมือนเรากำลังจะเรียนจบ ก็คือเหมือนเป็นปีสุดท้าย แล้วเราก็ไปเที่ยวกับเพื่อน ไปกินข้าว แล้วเขาก็เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกทีหนึ่ง เขาก็เดินเข้ามาทักเพื่อนก็คุยกัน พอคุยกันก็ถูกใจ ก็เลยลองคบกันดู คบกันมาประมาณ 1 ปี

แต่ว่าพอเหมือนอยู่ที่นู่นมันจะไม่เหมือนเมืองไทย เพราะว่าชีวิตประจำวันของเราคือ ทำงาน กลับบ้าน เรียนๆ มันจะมีแค่นี้ พอมีแฟนก็ทำงาน กลับบ้าน เรียน อยู่กับแฟน ไม่ได้มีสังคม ไม่ได้มีผู้ใหญ่แบบนี้ ก็เลยตัดสินใจมาคบกัน

พอมารู้เรื่องลูกมีแฟน ลูกแต่งงาน?
แอน : ตอนนั้นพอเรารู้ว่าเขาจะแต่งงาน เราก็อึ้งๆ ไป ตกใจอยู่เหมือนกัน เราก็ถามเขาว่าคิดดีแล้วเหรอ ให้เขาทบทวน

ณ ตอนนั้นเราตกใจไหม?
แอน : ตกใจ แล้วก็ปรึกษาจัสติน ปรึกษาสามีว่าจะอย่างไร เขาก็บอกว่าเดี๋ยวเขาจะถามลูกอีกทีหนึ่ง เพราะบางทีลูกตอบเธอกับฉันอาจจะไม่เหมือนกัน เขาก็คุยกับจัสตินด้วย พอหลังจากนั้นเราได้คำตอบที่ยืนยันแน่นอน เราก็ปรึกษากันและคิดว่าถึงเราไปห้ามมันก็ไม่มีประโยชน์

อย่างที่เราทราบว่าเป็นอย่างดีว่าจัดงานแต่งงานราบรื่นดีทุกอย่าง จนกระทั่งมีโควิด-19 เกิดขึ้น นี่คือจุดเปลี่ยนความสัมพันธ์ของนนนี่กับสามีไหม?
นนนี่ : ใช่ ตอนแรกที่เราตัดสินใจแต่งงาน ก็ตัดสินใจจะใช้ชีวิตอยู่ที่นู่นวางแผนไว้ทุกอย่างแล้วว่าเราจะเก็บเงินซื้อบ้าน พอเราเรียนจบรับปริญญาเรียบร้อยก็ไปเที่ยวกัน กลับมาก็จะหางานประจำทำที่ไม่ใช่งานในร้านอาหาร จะลองเริ่มหาเหมือนเริ่มวางรากฐานชีวิต

แล้วทีนี้พอต้องกลับมาเมืองไทย มันก็เริ่มมีการเปลี่ยน สำหรับเราต้องยอมรับว่ามันเปลี่ยนแปลงจริงๆ หลายอย่าง เราก็เลยกลับมาเมืองไทย แต่ค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่นู่น เราก็ยังต้องรับผิดชอบอยู่เหมือนกัน

ตอนแรกเราก็คิดว่า 3-4 เดือนเดี๋ยวก็หาย คิดว่าจะกลับมาแค่แป๊บเดียว เขาก็กลับมาพร้อมกันแล้วพอทีนี้เหมือนจะมีช่วงหนึ่งที่อังกฤษเขาเริ่มเปิดทุกอย่าง ตอนนั้นก็วางแผนว่ายังไม่กลับ ให้พี่กลับไปทำงานก่อน

แล้วพอกลับไป เราก็เริ่มห่างกันแล้ว เพราะว่าชีวิตส่วนใหญ่คือเขาอยู่ที่นู่นไปแล้ว แต่พอเราได้มาอยู่เรื่อยๆ เมืองไทยก็เริ่มดีขึ้นๆ เราก็เริ่มเจอคนมากขึ้น อยู่กับคุณแม่ก็สนุก อยู่ที่นี่ก็ไม่อยากกลับ

เพราะความห่างไกลทำให้เหมือนเลิกกันโดยปริยายอย่างนี้หรอ?
นนนี่ : ประมาณนั้นก็ได้ เพราะว่าเวลาที่นู่นมันห่างกัน 6 ชั่วโมง เราก็คงไม่ได้มานั่งรอถึงตีสี่ ตีห้า เพื่อจะคุยโทรศัพท์อยู่แล้ว เพราะชีวิตประจำวันก็เริ่มตื่นเช้าทุกวัน มีกิจกรรมกับคุณแม่บ้าง

พอมันห่างกันคุยกันน้อยลง เพราะเขาก็ทำงาน แล้วทำงานเขาก็ไม่เคยส่งข้อความมาอยู่แล้ว เลยตัดสินใจเลิกก็คือช่วงสิ้นๆ ปี เพราะเราก็บอกไปแล้วว่าก็คงไม่ได้กลับไปเร็วๆ นี้

เสียใจไหม?
นนนี่ : จะบอกว่าไม่ได้เสียใจขนาดนั้น เราตัดสินใจว่าเราอาจจะเลิกกัน แต่ว่าเราได้กลับมาอยู่กับแม่ เราว่ามันก็คุ้ม เพราะว่าเราได้ความรักที่เราไม่ได้เห็นมาตั้งแต่เด็กกลับมา เราก็มีความสุขมากกว่า

กับการที่ชีวิตที่ผ่านมามีระยะกับลูก แต่ว่าวันหนึ่งลูกกลับมาอยู่แบบใกล้มากขนาดนี้ แล้วเป็นผู้จัดการด้วย เรารู้สึกว่าแฮปปี้ หรือมีปัญหาต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง?
แอน : มีบ้างนิดหน่อย ที่ช่วงแรกๆ อาจจะทำงานไม่ได้ดั่งใจในเรื่องของเอกสาร เพราะว่านนนี่เป็นคนทำงานเร็ว ทำงานคล่อง แต่ขาดความละเอียด จริงๆ เราก็เครียด ลึกๆ มีความสุขไหม เรามีความสุขมาก เพราะเรารู้สึกว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตระหว่างแม่ลูก ที่ได้อยู่ด้วยกัน

ได้ทำงานด้วยกัน เราก็คิดว่าเราปรับตัว แล้วนนนี่ก็ปรับตัวเช่นเดียวกัน แต่ว่าในความสุขนั้น เราก็มีความกังวลใจอยู่แหละ มันก็มีอยู่แล้วว่าความไม่ราบรื่นในชีวิตที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นของเรา โดยเฉพาะของลูก

ลูกก็เหมือนแก้วตาดวงใจของแม่ เมื่อเราเห็นเหตุการณ์หรืออะไรที่เกิดขึ้นมันต้องกระทบกับเรามากขึ้นกว่าเดิม กว่าที่เกิดขึ้นกับเขาเพราะเราเป็นแม่ เหมือนเราจะต้องทำตัวให้เข้มแข็ง แล้วก็ประคับประคองให้ทุกอย่างผ่านไปได้

ก่อนที่จะกลับมาเมืองไทย ความสัมพันธ์เป็นยังไงบ้าง?
นนนี่ : ดี ปกติทุกอย่างมาก เพิ่งไปพักผ่อนกลับมา หนูมีความรู้สึกว่าสมมติเราคบกันต่อไปแบบนี้ แล้วต่างฝ่ายต่างไม่มีความสุข มันก็ทำทุกอย่างไม่มีความสุขก็อย่าฝืนดีกว่า เพราะเราก็เต็มที่มากแล้ว

สิ่งที่เคยเป็นปัญหาหนึ่งของเราคือการเปรียบเทียบกับแม่ ณ ตอนนี้เรากลับมาอยู่เมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง ตรงนี้ยังเป็นปัญหาสำหรับเราไหม?
นนนี่ : ก็ยังเป็นเหมือนเดิม แต่ไม่เป็นไรเพราะไม่ได้อยากสวยเท่าแม่แล้ว อยากสวยคนละแบบ เพราะว่าจะให้ตัวเล็กเท่าแม่ก็อาจจะต้องใช้เวลานามากสำหรับเรา อะไรที่ทำให้ทุกข์ใจก็ไม่เก็บเอามาใส่ใจดีกว่า

ตอนที่ตัดสินใจว่าจะเลิก ปรึกษาคุณแม่ไหม?
นนนี่ : เราก็เดินไปบอก แม่ๆ หนูว่าจะเลิกแล้วนะ

สำหรับตัวนนนี่เอง มุมมองในเรื่องความรักของเรา เรามองเรื่องนี้อย่างไร?
นนนี่ : มุมมองความรักของเรา เรามีความรู้สึกว่าคนเราถ้าจะคบกันต้องมีความสุขทั้ง 2 ฝ่าย ถ้าสมมติว่าเราไม่มีความสุข เขาไม่มีความสุข ความรักตรงนั้นมันจะฝืนกันต่อไปเรื่อยๆ มันจะเป็นเหมือนการทำร้ายกันมากกว่า เราก็ควรที่จะเปิดโอกาสให้คนที่เรารักแล้วก็ช่วยตัวเองด้วย แต่คือต้องอยู่ในการที่เราตกลงกันแล้ว

แอนรู้สึกยังไงบ้างที่ลูกเป็นแบบนี้?
แอน : ภูมิใจ จัสตินเขาเคยพูดกับเราว่าตั้งแต่ที่นนนี่เข้ามาอยู่ในชีวิตครอบครัวของเรา เขามีความรู้สึกว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่นนนี่เหมือนดอกไม้ที่ผลิบาน แล้วก็สว่างไสวในบ้าน

กิจวัตรประจำวันของเขาก็เปลี่ยนไป ออกกำลังกายดูแลเรื่องอาหาร ตีเทนนิส ซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยเลย เขาก็บอกว่าเขาเปลี่ยนเหมือนคนละคน ก็ต้องขอบคุณโควิด-19 ที่ทำให้อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว

ชีวิตคู่ของแอนกับจัสตินเป็นอย่างไรบ้าง?
แอน : ก็ปกติดี เขาก็อยู่ที่นี่ กลับมาพร้อมกัน เขาก็บอกว่าไม่น่าเชื่อ เขาไม่เคยอยู่ในประเทศไทยนานถึง 15 เดือน เขานับตลอด เราว่ามันก็กำลังพอดี คือเขาก็อยู่บางเสร่ด้วย กรุงเทพฯ ด้วย มันก็เหมือนกำลังจะเบื่อๆ กันเนอะ อ้าว กลับไปบางเสร่พอดีเลย ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แล้วมันก็ลงตัว

วันนี้มีอะไรที่เปลี่ยนไปจากสิ่งที่เราเคยคิดในวันนั้นบ้าง?
นนนี่ : ตอนนี้เรามองว่าทุกอย่างที่แม่ทำก็คือเพื่อเรา เพื่อครอบครัว เมื่อก่อนก็น้อยใจแต่ตอนนี้คือเข้าใจ และก็ดีใจมากๆ ที่มีแม่ที่เก่งขนาดนี้

แอน : อยากจะขอบคุณ จริงๆ ความรักของเรากับลูกเป็นความรักที่ไม่ได้บอกกันทุกวัน แต่จริงๆ เขาเป็นแก้วตาดวงใจของเรา แล้วก็รักเขามากที่สุด เป็นกำลังใจให้เขา ไม่ว่าจะทำอะไรก็ขอให้มีสติคิด แล้วก็ดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง

นนนี่ : แม่ก็รู้อยู่แล้วว่าหนูก็รักแม่ที่สุด แล้วก็สัญญาว่าจะเป็นเด็กดีของแม่ ไม่ทำให้แม่เครียดจะทำให้แม่มีความสุขที่สุดเลย

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2032365
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2032365