สัมผัสตัวตน พั้นช์ วรกาญจน์ ผู้หญิงตาดำๆ กับ 16 ปีบนถนนแห่งเสียงเพลง


ให้คะแนน


แชร์

เพราะความที่เป็นครอบครัวนักดนตรีที่ร้องเพลงตามร้านอาหาร ทำให้ พั้นช์ วรกาญจน์ อยู่กับเสียงเพลงมาแต่เด็ก และชื่นชอบการร้องเพลงมาตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ เดินสายประกวดมาเรื่อยๆ จนเธอได้เป็นนักร้องของวง Tiny Thai และมาประกวดเวทีร้องเพลงดัง จึงได้มาเป็นศิลปิน แต่หากไม่ได้เป็นศิลปิน พั้นช์ในวันนี้อาจจะมีอาชีพค้าขายตามคุณยาย เพราะชอบเอาของไปขายตั้งแต่เด็กๆ

“ที่บ้านเป็นครอบครัวดนตรีอยู่แล้ว ก็เลยร้องเพลงตามร้านอาหารมาตั้งแต่เด็กๆ เหมือนนักร้องทั่วไปที่ออกงานกลางคืน พ่อเป็นนักร้องอยู่แล้วด้วย พอปู่มีงาน เขาก็จะมาซ้อมดนตรีกันที่บ้าน เราก็จะได้ดู เพลงยุคเก่าๆ เราจะร้องได้หมด รู้จักหมด อย่างเพลงยุค 80-90’s เพลงโบราณๆ เราร้องได้หมด

เวลาที่เราไปร้องเพลงตามงานต่างๆ ก็เป็นข้อดีสำหรับเราว่าเรารู้จักเพลงนี้ พอลูกค้าขอมาเราร้องได้นะ เราก็ประกวดนู่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยตั้งแต่อายุ 9-10 ขวบ ประกวดตั้งแต่งานวัด งานประจำปีแถวบ้าน แม่ก็จะพาไป เราก็เลยเหมือนมีประสบการณ์หน้าเวที เลยไม่ค่อยกลัว แต่จังหวะที่เราได้มาเป็นศิลปินเพราะเราได้มาประกวดเวทีของเนสกาแฟ

ถามว่าถ้าไม่เป็นศิลปินจะทำอะไร จริงๆ เคยคิดว่าถ้าไปเป็นพนักงานออฟฟิศจะเป็นยังไง ระบบระเบียบชีวิตจะเป็นยังไง เราไม่เคยทำงานอย่างอื่นเลย คงทำอะไรไม่เป็น ก็คงร้องเพลงและก็มีค้าขาย เพราะว่าเมื่อก่อนยายก็ขายของ อาจจะเป็นคนชอบขายของ ตอนเด็กๆ ยายขายโจ๊ก เวลาปีใหม่มี ส.ค.ส. เราก็ชอบเอาไปขายเพื่อนที่โรงเรียน

พอวันวาเลนไทน์เราก็เอาช่อดอกไม้ไปขาย เอาสติกเกอร์ไปขายที่โรงเรียน แม่ก็จะไปสำเพ็งซื้อพวกสติกเกอร์มาให้เรา เราก็เอาไปขาย เพราะว่าชอบการค้าขายตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็เคยขายโอวัลตินมัดถุงที่แช่ช่องฟรีซเจาะตูดดูด เอาไปขายคนแถวบ้าน เราทำเองแล้วใส่กระติกมาเดินขาย แต่พอเราเริ่มมีงานทำ เริ่มร้องเพลง เราก็ไม่ได้ทำตรงนี้แล้ว”

ผู้หญิงตาดำๆ

และในปี 2548 พั้นช์ วรกาญจน์ เข้าสู่วงการเพลงแบบเต็มตัว ด้วยการออกอัลบั้มชุดแรกในชีวิต “ผู้หญิงตาดำๆ” มีเพลงฮิตมากมายในยุค 2000 อาทิ คำขอร้องของผู้หญิงตาดำๆ, เราคงต้องเป็นแฟนกัน, ไม่ถือสาแต่ว่ารู้สึก ฯลฯ อีกทั้งสไตล์เสื้อผ้า การแต่งหน้าทำผมของพั้นช์ที่ดูเป็นผู้หญิงห้าวๆ แต่ดูสดใส น่ารัก กลายเป็นนักร้องน้องใหม่ที่ถูกจับตามองอย่างมาก และกลายเป็นแฟชั่นไอคอนของสาวๆ ในยุคนั้น ซึ่งพั้นช์ยกความดีความชอบให้กับ พี่ฉัน คนดูแลลุคของเธอในเวลานั้น ที่ทำให้คนยังจดจำภาพผู้หญิงตาดำๆ มาจนถึงทุกวันนี้

“วันแรกที่ออกอัลบั้มแรก จะเป็นที่รู้จักของต่างจังหวัดก่อน แล้วก็ค่อยๆ เข้ามาในกรุงเทพฯ เวลาไปต่างจังหวัดจะมีแฟนเพลงมาเยอะมาก เราก็ดีใจเพราะว่าบ้านเราสนับสนุนเต็มที่เรื่องการร้องเพลง ครอบครัวก็มีความสุข เห็นเราในโทรทัศน์ เห็นเรามีเพลงเป็นของตัวเอง เราก็รู้สึกดีใจ แรกๆ เราก็ตื่นเต้นเวลาเราไปแล้วมีเริ่มมีแฟนคลับ มีคนขอถ่ายรูป ให้ของขวัญ เราก็รู้สึกทำตามฝันที่เราต้องการที่เราคิดไว้ได้ เราชอบร้องเพลงมาตั้งนานแล้ว ร้องมาตลอดตั้งแต่เด็กๆ ทั้งชีวิตร้องเพลงมาตลอดเลยนะ

อยากบอกว่าคนที่ดูแลลุคของพั้นช์เก่งมาก เขาอยู่แกรมมี่ ชื่อพี่ฉัน เป็นคนที่ดึงความสามารถของเรา คาแรกเตอร์ของเราออกมาได้ขนาดนี้ ตอนแรกจะอยู่กับพี่อีกคนหนึ่ง พี่เขาบอกถ้าให้พี่ พี่ก็คิดไม่ออกว่าเราจะออกมาเป็นแบบไหน แต่พี่ฉันคนนี้ คุยข้อมูลกับพั้นช์เยอะมาก คุยว่าความเป็นอยู่พั้นช์เป็นยังไง รายละเอียดชีวิตเป็นยังไงบ้าง

เขาก็บอกเด็กคนนี้เหมาะกับแบบนี้ ภาพควรจะโผล่ออกมาจากหน้าต่างแบบเปิดโลกออกมาให้คนได้รู้จักนะ คนเข้าถึงง่าย เข้าใจง่าย ต้องขอบคุณพี่ฉันมาก เขาเป็นคนเก่งมากที่ดึงคาแรกเตอร์ของศิลปินให้คนจดจำ มันหายากมากนะที่จะทำให้คนจดจำตัวตนเราได้ในสมัยนั้นยันสมัยนี้ อย่างคนอื่นๆ ที่เขาทำ ทุกคนจดจำตัวตนได้หมดเลย เช่น พี่ปาล์มมี่ ชุดแรกมาติสต์ๆ นะ ท่าเต้นแบบนี้นะ แล้วก็ภาพพี่แคทรียา อิงลิช ลืมภาพเป็นดาราไปเลย เป็นพี่แคทโอเคนะคะไปเลย โชคดีมากที่มาเจอเขา”

อีกหนึ่งภาพจำที่หลายคนยังจำได้ดีเมื่อพูดถึง พั้นช์ วรกาญจน์ คือ เป็นนักร้องที่ถ่ายทอดเพลงเศร้าออกมาได้ดี พั้นช์บอกว่าชอบเพราะเป็นทางที่เธอถนัดอยู่แล้ว พร้อมทั้งเผยถึงอัลบั้มเพลงที่ชอบที่สุด คืออัลบั้มชุดแรกและชุดที่ 2

“เขาจะรู้ว่าโทนเสียงเรา วิธีการร้องของเราจะออกไปทางแนวเพลงช้าได้ดีกว่า เขาก็เลยเลือกเพลงช้าๆ มาให้เป็นทางของเรา ชอบ เป็นคนชอบร้องเพลงช้าอยู่แล้ว ถามว่าใน 7 อัลบั้ม ชอบอัลบั้มไหนที่สุด 1-2 ที่ชอบที่สุด เพราะชุดแรกตื่นเต้นอยู่แล้ว เป็นอะไรที่เป็นเราทั้งหมดเลย แทบจะเกือบทุกเพลงในนั้นมาจากความเป็นเรา เราเล่าให้ฟังว่าชีวิตเป็นแบบนี้นะ เขาเก่งมากเลย เขาทำอัลบั้มนี้ให้เป็นตัวเราได้เลย

อย่างเพลง “เราคงต้องเป็นแฟนกัน” ก็คือเรานั่งเรือไปเรียนทุกวันตอนเรียนมหาวิทยาลัย ในเอ็มวีก็นั่งเรือไปเรียน มันก็คงความเป็นเราอีก พอมาอัลบั้มชุด 2 เราชอบเพลง ยิ่งกว่าเสียใจ, วางมือบนบ่า, เปลืองหัวใจ อะไรอย่างเงี้ย คืออัลบั้มชุดนั้นได้รางวัลเยอะมาก เป็นเดอะเบสท์ของเราเลยในชุดที่ 2 แต่ก็ภูมิใจในทุกอัลบั้ม แต่ที่โดดเด่นที่เราชอบคืออัลบั้มชุด 1-2 ค่ะ”

นางเอกละคร

แต่ที่ทำให้หลายคนแปลกใจไม่น้อย คือการที่พั้นช์ก้าวเข้าสู่วงการละคร ทั้งที่ตอนแรกไม่ได้ชื่นชอบการทำงานในด้านนี้เอาซะเลย แต่เพราะผู้จัดสาวเก่ง ตู่ ปิยวดี มาลีนนท์ เห็นแววของพั้นช์ และมั่นใจว่าพั้นช์เหมาะกับบท จึงทำให้ “ทัดดาว บุษยา” ทางช่อง 3 กลายเป็นละครเรื่องแรกในชีวิตของผู้หญิงตาดำๆ คนนี้ แต่หลังๆ รับเล่นละครอีกเป็นเพราะเริ่มรู้ทางละครมากกว่า

“ที่จริงไม่ได้ตั้งใจจะเป็นเลยนางเอกละคร เหมือนทั้งค่ายให้เล่นเอ็มวีเอง เพราะว่ามันก็เรื่องราวของเรา เขาอยากให้เราถ่ายทอด แต่ด้วยความที่ว่าเอ็มวีมันไม่ต้องมีบทพูด เราก็เลยโอเค ไปไกลแค่สีหน้าอาการ แล้วก็ร้องซิงค์ ก็ได้เล่นเอ็มวีมาตั้งแต่ตอนนั้น คนก็เลยเห็นว่าพอจะสามารถเล่นได้มั้ง จนมาเล่นละครเรื่องแรก ก็ไม่ได้ตั้งใจจะเล่นอยู่ดีนะ

ตอนนั้นพี่ตู่ ปิยวดี เขาจะทำเรื่องทัดดาว บุษยา เขาเล่าให้ฟังว่าเห็นโปสเตอร์ปกชุดแรกของเราที่เป็นผมสั้นๆ ที่เหมือนทอมๆ เขาก็อยากรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใคร เขาก็เลยติดต่อมา เป็นการทำละครเรื่องแรกของคุณตู่ด้วย เราก็หัวเราะเลยนะ บอกไม่เอา ไม่ชอบเล่นละคร ไม่ชอบเรียนแอ็กติ้ง ไม่ชอบเรียนการแสดง ผ่านไปหลายเดือนเราก็คิดว่าเขาไม่เอาแล้ว จนพี่เขาบอกอยากได้น้องจริงๆ เขาบอกพี่รอ จนเราเริ่มเกรงใจ แล้วเขามาดูตัวที่แกรมมี่ครั้งแรก ตอนนั้นคิ้วหนาๆ ดูเป็นผู้ชายหน่อยๆ เข้มๆ แล้วก็ไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็บอกเล่นไปเลย แม่อยากดู อันนี้คือจุดประสงค์ด้วย เราก็เลยตัดสินใจเล่น

มาวันแรกเข้าฉากก็โคตรยาก บล็อกกิ้งอยู่ตรงไหน พูดยังไง ถ่ายวันแรก 3 ชั่วโมงเป็นของเราคนเดียวจนเกรงใจผู้ใหญ่ พี่กบ ปภัสรา เขารอเข้าฉาก เราก็เอาแล้ว ทำไงดี พี่ปุ้ยเป็นผู้กำกับ เหมือนเขาเข้าใจเรานะ เขารู้ว่าครั้งแรก ก็ให้เล่นบทง่ายๆ ก่อน วันแรกเดินเฉยๆ ไปหาน้องในห้อง บล็อกกิ้งก็ยังไม่ได้เลย แต่มันก็ผ่านมาได้ ทำอะไรโดยที่ไม่ได้ตั้งใจเยอะมาก ถามว่าหลังๆ ที่รับละครอีกเพราะเริ่มชอบรึเปล่า คือเริ่มรู้ทางละครมากกว่า มันไม่ได้ยากเหมือนตอนเราคิดแรกๆ เพราะเราเล่นละครทัดดาว บุษยามาเกือบปี เราก็เริ่มรู้แล้วว่าเป็นแบบนี้นะ เราก็รู้สึกกล้าเริ่มเล่นมากขึ้นๆ”

ชีวิตหลังออกจากแกรมมี่

ปี 2560 พั้นช์ วรกาญจน์ หมดสัญญากับค่ายแกรมมี่ และเข้าพิธีแต่งงานกับ ปลั๊ก อรรถกร คูพัฒนาวิบูลย์ สามีนักธุรกิจชาว จ.ชุมพร เมื่อ 5 พ.ย. 2560 ซึ่งพั้นช์เผยว่า ที่ตัดสินใจไม่ต่อสัญญา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจะแต่งงาน และเป็นช่วงที่หมดสัญญาพอดี แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้กลับมาทำงานเพลงอีกครั้ง จนได้มาร่วมงานกับค่ายเพลงข้าวสาร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ในฐานะศิลปินอิสระ กับเพลง “เก็บซ่อน”

“การที่ออกจากแกรมมี่ เราไม่ได้คิดว่าจะไปอยู่ค่ายไหนเลย คิดว่าจะทำกันเองแล้วลงยูทูบกันเองขำๆ แต่มีจังหวะไปเจอผู้ใหญ่ที่รู้จักกันของช่อง 3 ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีค่ายข้าวสารฯ เลย แต่เกิดขึ้นได้เพราะเพลง “เก็บซ่อน” จริงๆ ตอนนั้นเอาเพลงให้เขาฟังเพื่อที่จะขอสปอนเซอร์จากเขา เพื่อที่จะมาทำเอ็มวี แต่พอเขาฟังเก็บซ่อนแล้วเขาบอกว่าเขาชอบเพลงนี้ ขอเปิดค่ายได้ไหม ก็เลยเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตมาถึงตอนนี้เลย

ตอนนั้นมาช่วยกันคิดว่าจะใช้ชื่ออะไรดีถ้าเราทำค่ายกัน ก็เสนอว่าข้าวสารไหม เพราะเราเป็นคนไทยก็ต้องกินข้าวกันอยู่แล้ว คือเราเริ่มต้นกับเขาทั้งหมดเลยเพราะเพลงเก็บซ่อน พอเพลงมีผลตอบรับที่ดี เขาเลยรู้สึกดีใจว่าประสบความสำเร็จสำหรับเขา เราก็ขอบคุณ และคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่เพลงนี้ทำให้คนเริ่มรู้จักค่าย เหมือนเป็นการเริ่มต้นใหม่ของการร้องเพลงกับเขา

จริงๆ แล้วเพลงเก็บซ่อนก็ไม่ได้คิดว่าจะทำอะไรนะ จังหวะที่ว่าเราไม่ได้ทำเพลงมานาน ก็มีลุงมาชวนทำเพลง เดี๋ยวลุงให้พี่เขาแต่งเพลงให้ แล้วให้เราเลือกว่าเราชอบไม่ชอบแค่นั้นเอง เขาก็เอาเพลงมาให้ฟัง เราก็บอกว่าเราชอบท่อนฮุคมันฟังง่าย จังหวะทุกอย่างมันลงตัวพอดี

เราไม่รู้ว่าลุงเราเคยเอาเพลงไปเสนอแกรมมี่ เขาเพิ่งมาบอกตอนหลัง แต่ผู้ใหญ่เห็นแล้วดูว่ามันโบราณไปไหม ดูยุคสมัยเก่าไปไหม เขาก็เลยไม่ได้ทำออกมา แต่กับแกรมมี่เราก็ยังไปมาหาสู่กันนะ เพราะไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน แค่ช่วงหลังๆ ที่หายไปออกจากแกรมมี่ เพราะไปแต่งงานด้วย จะไปใช้ชีวิตครอบครัว อันนั้นคือประเด็นหลัก เพราะมันตรงกับจังหวะที่เราจะหมดสัญญาพอดีก็เลยไม่ได้ต่อ”

สัมผัส

เราถามถึงผลงานล่าสุด “สัมผัส” ซิงเกิลที่ 2 ของพั้นช์กับค่ายเพลงข้าวสารฯ ซึ่งพั้นช์เล่าว่า เพลงนี้มีส่วนร่วมในการทำงานมากขึ้น ด้วยความเป็นค่ายน้องใหม่ และเปิดรับฟังความคิดเห็นของศิลปิน จึงทำให้มีอิสระในการทำงานเพลงมากขึ้นกว่าเดิม

“พอซิงเกิล “เก็บซ่อน” ผ่านไป เรารู้สึกว่าน่าจะมีเพลงใหม่ได้แล้วแหละ พี่เขาก็เอาเพลงมาให้เราลองฟังดูว่าชอบไหม ลองเลือกดู ตอนแรกก็ยังไม่ลงตัว รู้สึกว่าต้องมีเปลี่ยนเมโลดี้ เปลี่ยนเนื้อเพลงบ้าง กว่าจะมาเป็นเพลงนี้ก็ใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน แล้วก็เริ่มไปอัดร้อง พี่ๆ ทีมเพลงก็คือทีมเดิม แล้วก็ดูนักแสดงว่าจะเอาใครมาเล่น เลยนึกได้ว่าเอาน้องแพร์ (พิชชาภา พันธุมจินดา) กับน้องแชมป์ (ชนาธิป โพธิ์ทองคำ) มาเล่นเหมือนเดิมก็ได้ เพราะว่าเป็นภาคต่อจากเพลงเก็บซ่อน พอดีน้องทั้งคู่ก็ว่างตรงกันเลยลงตัว

เรื่องเสื้อผ้าหน้าผมที่ดูหวานๆ เปลี่ยนลุคค่อนข้างเยอะ คือเปลี่ยนตั้งแต่เก็บซ่อน เพราะว่าผลงานชิ้นแรกๆ เราจะดูลุยๆ ห้าวๆ ก็รู้สึกว่าลองเปลี่ยนคาแรกเตอร์ของตัวเองบ้างดีกว่า ซึ่งมันก็ไม่ได้ไกลจากเราเท่าไร ยังอยู่ในโทนผู้หญิงห้าวๆ เท่ๆ อยู่บ้าง จริงๆ เราเป็นคนบอกเขาเองว่าควรจะเปลี่ยนบ้าง เขาก็เห็นด้วย เพราะไม่งั้นมันจะเหมือนเดิม คนก็จะเบื่อ ให้ดูโตขึ้นหน่อยๆ

ก็มีอิสระทางความคิดมากขึ้น อยากทำอะไรก็ได้ทำ การทำงานของข้าวสารฯ คือเราสามารถแสดงความคิดเห็น พูดคุย โต้แย้งได้หมด เขาให้ความสำคัญกับเรา ถามว่าแตกต่างจากที่เดิมยังไง แตกต่างกันในเรื่องการทำงาน การแสดงความคิดเห็น แกรมมี่จะทำเป็นองค์กร เราจะไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็นออกไป เพราะว่าจะมีผู้ใหญ่ มีทีมงานหลายๆ ทีมที่คอยดูเพลง แต่เราไม่มีบทที่จะอยู่ตรงนั้น เราเลยรู้สึกว่าถ้าเราได้ตรงนั้นน่าจะดี แต่ ณ จุดนั้นไม่มี เราก็ต้องร้องตามที่เขาให้มา เรามีความเกรงใจ แต่พอมาค่ายนี้เราตั้งใจจะทำเองอยู่แล้ว เลยทำได้เต็มที่”

พั้นช์ในปัจจุบัน

เดินทางบนถนนสายดนตรีมานานกว่า 16 ปี แต่นักร้องนักแสดงสาวคนนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนไป ทุกคนยังสัมผัสได้ว่าพั้นช์เป็นผู้หญิงคนเดิมที่ติดดิน แม้จะมีรายได้เยอะจนทำให้สบายมากขึ้น แต่วิถีชีวิตไม่ต่างจากเดิมเท่าไร

“มันก็ดีนะที่คนเขามองเราแบบนั้น อย่างน้อยก็เป็นความเป็นเราจริงๆ เรารู้สึกว่าการทำงานนี้มันเป็นการทำงานของเราเฉยๆ เป็นการทำงานร้องเพลงอาชีพหนึ่งที่มีคนเห็นเรามากกว่า แต่ชีวิตความเป็นอยู่ไม่ได้ทำให้เราเปลี่ยนไปสักเท่าไร มันก็มีรายได้ขึ้นมา อยู่สบายกว่าเดิมอยู่แล้ว แต่ว่าวิถีชีวิตก็ไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไร ยังสามารถไปไหนได้เอง

เป็นคนสบายๆ เน้นสะดวก ถ้าวันไหนนั่งมอเตอร์ไซค์สะดวก เราก็นั่งมอเตอร์ไซค์ ถ้าวันไหนชิลๆ เราก็เดินทางไปรถไฟฟ้า เราไม่ได้ยึดติดในวัตถุมาก ของแบรนด์เนมถามว่าอยากมีมั้ยก็อยากมี แต่บางทีถ้ามันจะมีเราก็ทบทวนหน่อยว่าช่วงนี้สามารถซื้อได้ เราก็จะซื้อ แต่ถ้าแพงเกินไป ไม่รู้จะซื้อไปทำไม เราก็ไม่ซื้อ ด้วยความที่เรามีแต่เพื่อนเดิมๆ คนคบก็ยังเป็นคนเดิมๆ กลุ่มเดิมๆ มันก็ยังใช้วิถีชีวิตเดิมๆ ทุกอย่าง ก็เลยไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง”

แม้โควิด-19 จะกระทบชีวิตการเป็นนักร้องจนถูกแคนเซิลงาน แต่ชีวิตของพั้นช์ก็ยังโชคดีที่ยังมีงานเข้ามาตลอด จึงไม่ได้เดือดร้อนหนัก แต่ก็มีแอบคิดไว้ว่าอยากทำธุรกิจเล็กๆ เป็นของตัวเอง

“ก็จะมีกระทบช่วงเพลงเก็บซ่อน โดนแคนเซิลหลายสิบงาน แต่เราก็เข้าใจ ช่วงเพลงเก็บซ่อนโชคดีตรงที่มีกระแสดี เราก็ทำงานไว้เยอะเหมือนกัน แทบจะพักน้อยมาก เดือนหนึ่งคืองานเยอะมาก เราก็เลยได้จากตรงนั้นเป็นเงินเก็บสะสมช่วงโควิด พอมีเพลงเก็บซ่อนก็ไม่ได้ทำอะไรเลย มีร้องเพลง มีงานจ้าง ออกรายการบ้าง มีแอบไปถ่ายหนังบ้างนิดหน่อย หนังที่รับคือแค่ 5 คิว ไม่เกิน 10 คิว มันมีเวลา แต่ถ้าเป็นละครเลยมันไม่ได้ ใช้เวลา 6-7 คือไม่ต้องทำอะไรเลย ถ้าถ่ายละครจะร้องเพลงไม่ได้ ไปงานไม่ได้เลย

ถามว่ามีอยากหันมาขายของแบบตอนเด็กๆ อีกมั้ย ตอนนี้ยัง (หัวเราะ) ตอนนี้ยังไม่มีจุดกระตุ้น เคยคิดจะทำร้านกาแฟ แม่ชอบทำกับข้าว เปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยว แต่รอจังหวะอีกหน่อยนึง ถ้าไม่มีอะไรทำอาจทำก็ได้ คิดว่าถ้าจะเปิดคงเปิดที่ชุมพรบ้านแฟน น่าจะสะดวกกว่า แต่เราก็อยากเปิดที่กรุงเทพฯเหมือนกันนะ มีแฟนคลับเรา ญาติเราอยู่เยอะ อยากให้หลายๆ คนมาช่วยกันทำงาน เหมือนหางานให้เขาทำในช่วงที่หลายคนตกงาน”

ปิดท้ายการสนทนา พั้นช์ขอบคุณแฟนๆ ทุกคนที่สนับสนุนกันมาตลอด “ต้องขอบคุณแฟนเพลงมากๆ ที่ให้การสนับสนุนในทุกๆ เพลง ในทุกๆ งานที่พั้นช์ได้ทำ แล้วก็คอยให้กำลังใจไม่ว่าจะออกเพลงไหนมา ก็คอยติดตามยังรอฟังเพลงของพั้นช์อยู่ ถ้ามีโอกาสหมดโควิด เราคงได้เจอกันตามงานต่างๆ นะคะ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : ชุติมน เมืองสุวรรณ
กราฟิก : Sathit Chuephanngam

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2033272
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2033272