เจษ เจษฎ์พิพัฒ รัก วิว ลงล็อก ขยันเติมหวาน งานไม่ใช่ข้ออ้าง


ให้คะแนน


แชร์

เจษ เจษฎ์พิพัฒ รัก วิว ลงล็อก ขยันเติมหวาน งานไม่ใช่ข้ออ้าง

เป็นคู่รักที่หวานอย่างต่อเนื่องสำหรับคู่ของ เจษ เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์ กับ วิว วรรณรท สนธิไชย ล่าสุด(4 มีค.64) ได้เจอนักแสดงหนุ่ม ที่เดินทางมาร่วมพิธีบวงสรวงละครเรื่อง เล่ห์ลวง ที่ ACTS Studio หลังจบพิธีนักแสดงหนุ่มได้ให้สัมภาษณ์อัพเดตเรื่องหัวใจ


วาเลนไทน์ที่ผ่านมาคู่เราก็หวานไม่แพ้กับคู่อื่นเลย? “อันนั้นคือหลังเลิกกองครับเวลาก็ไม่ค่อยมีครับช่วงนี้ถ่ายละครสองเรื่องก็แทบจะเจ็ดวันเลยครับหลังเลิกกองก็ไปเซอร์ไพรส์นิดนึง ก่อนไปก็บอกแล้วแหละว่าจะไปหาให้เขาเตรียมตัวนิดนึงแต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะเตรียมอะไรไปหรือไปกี่โมง ไปแบบเวลาเท่าที่ว่างเลยเราก็รีบกลับเพื่อพรุ่งนี้จะได้ตื่นไปถ่ายละครต่อ”
เรียกว่าได้เจอไม่ขาดใช่ไหม? “เราก็ต้องดูแลในส่วนของชีวิตส่วนตัวและเรื่องงานเราเอามันมาพูดมาอ้างมันก็ไม่ใช่เรื่อง อย่างช่วงนี้ไม่ได้เจอกันก็มีแบบว่านิดหนึ่งที่เขาจะไม่มีเวลาเลย แต่ว่าเราก็พยายามทำให้เต็มที่แหละที่เราทำได้ครับ”
ปีที่เท่าไหร่แล้ว? “พี่อย่าถามดิเดี๋ยวผมตอบผิด ผมชอบตอบผิดอยู่ด้วย น่าจะครั้งที่ 3 แล้ว”
แล้ววิวมีเซอร์ไพรส์อะไรเราบ้าง? “มีครับเป็นกระเป๋าเราชอบใช้กระเป๋าใบเล็กๆใส่พวกกระเป๋าสตางค์ พวกโทรศัพท์อะไรเขาก็ซื้อให้”


คบกันมาหลายปีแล้วเป็นยังไงบ้าง? “เข้าใจกันมากขึ้นเรื่อยๆ เจอเหตุการณ์ต่างๆที่ต่างกันไปเรื่อยๆ ก็เหมือนพิสูจน์ไปเรื่อยๆ ว่าเราจะเข้าใจกันได้ทุกเรื่องไหม เพราะว่าแต่ละช่วงมันก็ไม่เหมือนกัน บางครั้งเขาไม่ว่างบ้าง บางครั้งเราไม่ว่างบ้าง ช่วงเขาทำงานหนักช่วงเราทำงานหนักอะไรแบบนี้ ก็เป็นช่วงที่ก่อนหน้านี้อาจจะไม่เคยเจอแล้วไม่เข้าใจกัน แล้วก็มาปรับความเข้าใจกันว่ามันจะต้องเป็นแบบไหนอะไรอย่างนี้ ซึ่งผมรู้สึกว่าเราเข้าใจกันได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็รู้สึกว่ามันก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่วันแรก”
3 ปี คนก็ลุ้นว่าเราจะผ่านอาถรรพ์ไปได้ไหม? “อาถรรพ์ มัน 3 5 7 เลยหรอ ทำไมมันเยอะจัง(หัวเราะ) ผมไม่ได้คิดว่ามันเป็นอาถรรพ์อะไรหรอก ผมรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นช่วงเวลาที่ยาวประมาณหนึ่งที่พอจะทำให้คนมีความรู้สึกที่เปลี่ยนไป แต่ว่าสำหรับผมยังเหมือนเดิมเราก็ยังตั้งใจที่จะปรับความเข้าใจกันและอยู่กันให้ได้ต่อไปครับ

ผมไม่เชื่อนะผมรู้สึกว่ามันเป็นคนมีเหตุผลของมันเช่น 3 ปีก็เป็นระยะเวลาประมาณหนึ่ง ที่ช่วงแรกๆมันหายไปสักพักแล้วช่วงที่จีบกันช่วงที่คุยกันแรกๆ มาอยู่ในช่วงที่ความเป็นจริงแล้วว่าแต่ละคนเป็นยังไง รับกันได้ไหมและเหตุการณ์ที่เจอในปี 1 2 3 มันต่างกันไปแล้วเราเข้าใจกันได้แค่ไหนอะไร 5 ปี 7 ปี ผมว่ามันก็น่าจะเป็นสิ่งที่คล้ายๆ กันครับ”


วิวก็ดูเหมือนเป็นสายมู? “ไม่นะเขาก็ไม่ได้บอกนะว่านี่ 3 ปีแล้วนะต้องระวังไว้อะไรอย่างนี้ไม่มีครับ”
แต่เขามีบ่นน้อยใจเรื่องเวลาใช่ไหม? “ไม่ได้ขนาดนั้นครับ เขาก็เข้าใจแหละมันก็เป็นข้อดีที่เขาก็ทำงานเหมือนเราเหมือนกัน เขาก็รู้ว่าถ่ายละคร 2 เรื่องมันเหนื่อยจริงๆ มันแทบไม่มีเวลาเลย เขาก็พยายามเข้าใจนะบางทีวันว่างๆ เขาก็ เออ คุณไปพักเถอะ ก็มี แต่ว่าเราก็พยายามดูแลกันให้ได้มากที่สุดครับ”
เรียกว่าเป็นการจับมือกันฟันฝ่าอุปสรรค? “อย่าเรียกว่าอุปสรรคเลยครับ มันเป็นทุกคู่แหละที่เจอเหตุการณ์ต่างๆ กัน แล้วอาจจะมีความคิดความเข้าใจต่างๆ ที่มันไม่เหมือนกัน แต่มันอยู่ที่ว่าถ้าคู่ที่ไปไม่รอดก็อาจจะเพราะเขาตกลงกันไม่ได้แล้วก็ไม่รู้ว่าทางออกจะเป็นทางไหน แต่อย่างของผมก็มีเป้าหมายว่าเราจะผ่านมันไปให้ได้เราก็เลยคุยกันแล้วก็พยายามเข้าใจกันให้มากที่สุด”
เป้าหมายเราก็คือคนนี้แหละเนอะ? “ครับผม ที่จริงก็ใช่ครับผมเป็นคนที่ไม่ได้เหงาและกลุ่มคนผมเป็นคนที่ดูเยอะอยู่เราก็ตั้งใจกับทุกความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นก็อยากจะให้มันดีอยากจะให้มันไปกันได้แบบมีความสุขครับ”
ก่อนหน้านี้เหมือนเราวางแผนเรื่องแต่งงานไว้แล้ว? “ผมไม่เคยวางแผนครับ ผมแค่บอกว่าผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้คิดว่าจะไม่แต่งงาน คิดว่าจะแต่งก็เหมือนชีวิตของเราในอนาคตแต่ว่าไม่ได้แบบว่าพอเป็นคนนี้แล้วจะอีกกี่ปี ผมไม่ได้วางแผนเรื่องนั้น”
คบกันมา 3 ปีมีอะไรต้องปรับเปลี่ยนกันไหมด้วยความที่นิสัยต่างกัน? “มีครับ หลายอย่างครับหรือเรื่องของความเข้าใจในเรื่องของบางอย่างที่เราไม่รู้หรือเขาไม่รู้ว่าไม่ชอบ พอมารู้เราก็มาเจอกันตรงกลางส่วนใหญ่มันจะดีกว่าคนคนหนึ่งไปทำตามความต้องการของอีกคน รู้สึกว่าแบบนั้นมันไม่ยาวนานอ่ะ”


มีคิดไว้ไหมว่าอายุเท่าไหร่จะแต่งงาน? “ไม่เคยคิดเลยครับ ตอนนี้ผมจะเข้า 29 แล้ว (ยังไม่ได้มองตรงนั้น) คือเรารู้สึกว่ามันควรจะแต่งเมื่อไหร่ผมว่ามันจะรู้สึกเอง ถ้าสมมติว่า 2 ปีที่แล้วผมไปขีดเส้นใต้ว่า 29 ผมจะแต่งแล้วก็ถึงเวลาแล้วเราไม่แต่งเราก็รู้สึกแย่กับตัวเอง แล้วคนที่เราไปบอกเขาเขาก็ยิ่งรู้สึกแย่กับเราที่เราไม่ทำตามคำพูดไว้”
ถามถึงตลาดพรพัฒน์ ของครอบครัว ที่ก่อนหน้านี้มีปัญหาเรื่องโควิด-19 สถานการณ์ดีขึ้นหรือยัง?เปิดแล้วครับ เรื่องมาตรการจริงๆแล้วผมอยากบอกให้ทุกคนเข้าใจว่ามาตรการเราเข้มงวดมาตั้งแต่รอบแรกที่ระบาดแล้วครับ แล้วก็มีการปิดกันไปตามที่รัฐให้ปิดทุกรอบก็ให้ปิดเราก็ปิด เราก็ทำมาตรการเหมือนตอนแรก เข้มงวดเหมือนเดิม แต่ครั้งหลังเนี่ยมันเป็นกลายเป็นว่าข่าวที่ออกไปคือเราเป็นคลัสเตอร์เหมือนคนแพร่กระจายซึ่งในความเป็นจริงแล้วตลาดรังสิตแบ่งกลุ่มตลาดหน้า ตลาดกลาง ตลาดท้ายครับ แล้วก็มีคนติดทุกตลาดแล้วก็พบว่าปัจจัยในการติดไม่ใช่สถานที่

แต่ว่าเป็นปัจจัยผู้คนที่เข้ามาแล้วเขานำเชื้อมามากกว่า จะมาบอกว่าเราเป็นคลัสเตอร์บ้างเพราะเรามีมาตรการที่ไม่เข้มงวดพอ เอาในความเป็นจริงครับผมรู้สึกว่ามันไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่กับที่ต่างๆ ไม่ใช่แค่ที่ของผม ผมเชื่อว่าที่อื่นเขาก็มีมาตรการเหมือนกัน เขาก็ไม่อยากให้คุณมาเสี่ยงติด แต่ว่าเราไม่สามารถรู้ได้ แล้วเราก็คัดกรองอยากจบหมดแล้วอย่างที่ทุกคนรู้แสดงอาการไม่แสดงอาการอะไรแบบนี้มันไม่สามารถตรวจเช็กแบบละเอียดได้ทุกๆ ที่”
พอเปิดแล้วคนกลับมาคึกคักหรือยัง? “มันโชคดีที่ว่าบ้านผมเป็นตลาดขายส่งคนที่มาซื้อก็จะเป็นเจ้าเดิมๆ ที่เป็นร้านอาหารอะไรแบบนี้มาซื้อของสดไป แม่ค้าก็จะมีลูกค้าตลอดแต่มันก็จะมีในส่วนของลูกค้าใหม่คนที่มาซื้อใหม่ เขาอาจจะไม่มั่นใจ ก็อยากจะพูดให้มั่นใจว่าเราทำมาตรการเข้มงวดมาตั้งแต่แรกแล้วหลังจากที่ปิดไปรอบนี้ที่ ศบค บอกว่าเราต้องปรับปรุงแก้ไขตรงไหนคุณพ่อผมก็ทำเรียบร้อยหมดแล้ว”
จะสร้างความมั่นใจให้คนที่เข้ามาใช้บริการอย่างไร? “จริงๆเราพยายามกระจายข่าวอยู่ ซึ่งทางบ้านก็ให้ผมช่วยด้วยในฐานะที่เราพูดได้ก็พยายามจะบอกว่าเราไม่ใช่คลัสเตอร์จริงๆ เราก็ติดมาจากอีกที่หนึ่งเหมือนกัน ทุกที่มันก็เสี่ยงเหมือนกันหมด แล้วมาตรการเราจะมีเข้มงวดตั้งแต่แรกไม่ได้หละหลวมอะไรเลย และตอนนี้คือเปิดแล้วและเขาให้ปรับปรุงแก้ไขอะไรตรงไหนเพิ่มเติมเราก็เหมือนว่าเข้มงวดยิ่งกว่าเดิมเราอยากให้ทุกคนมั่นใจว่าจริงๆแล้วเราปลอดภัยนะเราก็เช็คทุกอย่างอย่างละเอียดแล้ว”

ขอบคุณรูปจากไอจี : jesjpp

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6069461
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6069461