Minari ชิง 6 ออสการ์ หนังเพื่อคารวะพ่อแม่ ของขวัญแด่ลูกสาว


ให้คะแนน


แชร์

อี ไอแซค จอง ทำ Minari หนังชิง 6 ออสการ์ คารวะแด่พ่อแม่ เป็นของขวัญให้ลูกสาว

ภาพยนตร์กระแสแรงแห่งปี Minari มินาริ ที่นอกจากจะได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ทั่วโลกมาอย่างท่วมท้น บนเวทีรางวัลก็ยังคงเดินหน้าทั้งการเข้าชิงและรับรางวัลบนเวทีใหญ่มากมาย อาทิ เข้าชิง 3 รางวัลใหญ่บนเวทีแซ็ก อวอร์ดส์, 8 รางวัลจากนักวิจารณ์วอชิงตัน และรางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมบนเวทีลูกโลกทองคำ

Minari

ล่าสุดกับการเข้าชิง 6 รางวัลบนเวทีออสการ์ หนึ่งในนั้นคือ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

Minari มินาริ ภาพยนตร์ที่สร้างจากความทรงจำของผู้กำกับฯมากฝีมือชาวเกาหลี-อเมริกัน อี ไอแซค จอง ทั้งยังได้นักแสดงคุณภาพมากมายมาช่วยถ่ายทอดเรื่องราวอย่าง สตีเวน ยอน (Walking Dead, Burning และ OKJA) ร่วมด้วยนักแสดงยอดฝีมือ ยูนยอจอง (The Housemaid และ The Taste of Money) และ ฮันเยริ นักแสดงชื่อดังจากผลงานซีรีส์ (Hello, My Twenties! (Age of Youth), Love Guide for Dumpeesและ As One)

Minari

เล่าเรื่องราวของหนึ่งครอบครัวชาวเกาหลีที่ได้หอบเอาความหวังมาตั้งรกรากในอเมริกา แต่อุปสรรคที่ถาโถมบนผืนแผ่นดินอันแห้งเหือด ทำให้ความหวังถูกสั่นคลอน

อี ไอแซค จอง เริ่มสนใจทำ Minariเมื่อเขาต้องเล่าให้ลูกสาวฟังว่าชีวิตวัยเด็กของเขาเป็นอย่างไร พ่อแม่ของเขาต้องเสียสละอะไรบ้างเพื่อให้ได้มาตั้งรกรากในอเมริกา แล้วอุปสรรคทุกอย่างที่เขาเคยเผชิญมีความหมายกับเขาอย่างไร

Minari

อี ไอแซค จอง ขณะถ่ายทำ

“การเขียน Minari มันเหมือนความพยายามเฮือกสุดท้ายของผม เพราะตอนเขียนผมคิดว่า ถ้าผมสามารถทิ้งเรื่องไว้ให้ลูกสาวอ่านได้เรื่องเดียว เรื่องนั้นจะเกี่ยวกับอะไร? ผมลองไล่เขียนความทรงจำสมัยตอนที่ผมอายุเท่าลูกสาวลงไป ผมเขียนไป 80 เรื่อง มีตั้งแต่ตอนที่พ่อแม่ผมเถียงกันตอนอยู่ที่อาร์คันซอ พอลองมาดูๆ แล้ว ผมว่านี่อาจเป็นเรื่องที่ผมอยากถ่ายทอดมาตลอด”

สิ่งที่ออกมาเปรียบเสมือนจดหมายรักต่อพ่อแม่ของเขา แต่ยังรวมถึงพ่อแม่ทุกคนที่ยอมเสียสละเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของลูก แม้มันจะเป็นเรื่องแต่ง แต่เขาหวังว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นทั้งการคารวะพ่อแม่ที่กรุยหนทางอเมริกันชนไว้ให้เขา และยังเป็นของขวัญให้ลูกสาวของตัวเองตอนที่เธอโตพอจะเข้าใจ

Minari

ผู้กำกับฯ และลูกสาว

“Minariไม่ใช่งานที่เล่าชีวิตวัยเด็กของผม เจค็อบ และ โมนิก้า (ตัวละครของสตีเวน ยอน และ ฮันเยริ) ไม่ใช่พ่อแม่ผม แม้จะมีส่วนคล้ายบ้าง แต่เอกลักษณ์ของตัวละครก็มีความโดดเด่นน่าจดจำของพวกเขาเอง ผมพยายามที่ไม่ใช้ประสบการณ์จริงที่ตัวเองเคยสัมผัสมาใส่ในเรื่องตั้งแต่เริ่มเขียนบท ผมแยกความจริงที่เกิดขึ้นกับความจริงในหนัง เพื่อให้หนังเรื่องนี้เป็นอะไรมากกว่าแค่บันทึกส่วนตัวของผม”

เส้นทางอาชีพของจองไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบ แม้ว่าเขาจะโตมาในไร่เล็กๆ ที่เมืองลินคอล์น รัฐอาร์คันซอ แต่ผลงานเรื่องแรกของเขาถ่ายทำในรวันดา ที่ภรรยานักศิลปะบำบัดของเขาเดินทางไปในฐานะอาสาสมัคร เรื่อง Munyurangabo

ที่บอกเล่าเรื่องราวมิตรภาพของเด็กชายสองคนซึ่งมาจากต่างเผ่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำในเวลาแค่เพียง 11 วัน โดยใช้นักแสดงท้องถิ่นเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ใช้ภาษาคินยาร์วันดา และได้การตอบรับอย่างล้นหลาม

Minari

กับนักแสดงนำ สตีเวน ยอน

Minari เป็นอีกครั้งที่เขาเลือกทำอะไรที่ต่างออกไป มันเป็นสิ่งที่กลั่นกรองมาจากในตัวเขา แต่ในอีกมุมมันคือการเดิมพันครั้งสำคัญ การมอบชีวิตให้เด็กชายที่ชื่อ เดวิด รับบทโดย ดาราเด็กมากฝีมือ อลัน เอส. คิม ซึ่งเป็นศูนย์รวมความแสบสไตล์เด็กผู้ชาย ความโกรธและกดดันจากการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ มอบโอกาสให้จองได้กลับไปสำรวจความทรงจำของตัวเองอีกครั้ง

“การปั้นตัวละครเดวิดใช้สองสิ่งด้วยกัน อย่างแรกคือความทรงจำตอนที่ผมรู้สึกกลัว ตื่นเต้น และอยากรู้อยากเห็นแบบเด็กๆ อย่างที่สองคือ สิ่งที่ผมได้จากการเฝ้าดูลูกสาวตัวเองเติบโต ได้เห็นว่า เธอรับมือกับเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ในชีวิตอย่างไร เดวิดกลายมาเป็นส่วนผสมระหว่างสิ่งที่ผมอยากบอกกับตัวเองและสิ่งที่ผมอยากบอกกับลูกสาว” จองกล่าว

การปะติดปะต่อสมาชิกคนอื่นจนกลายเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ เจค็อบ หัวหน้าครอบครัว จอมหัวแข็งที่ยึดมั่นในการตัดสินใจของตัวเอง แม้ว่า โมนิก้า ภรรยาของเขาพยายามทุกอย่างเพื่อประคองครอบครัวฝ่ามรสุมที่เจค็อบเป็นคนก่อ sลังจากที่เขาตัดสินใจมาตั้งรกรากใหม่

แอนน์ พี่สาวคนโตของบ้านเธอเป็นเด็กหัวไว เรียนรู้งานได้เร็ว ช่วยงานที่บ้านโดยไม่ต้องรอให้ใครขอ ขณะที่เดวิดจอมแสบต้องต่อกรกับซุนจา คุณยายปากร้ายใจดีที่เพิ่งเดินทางมาถึง และยังมีตัวโจ๊กอย่าง พอล ลูกจ้างของเจค็อบ ผู้เคร่งศาสนา

แม้ว่าแต่ละตัวละครจะมีมุมเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน แต่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ต้องการเสียดสีหรือตัดสินใดๆ ทั้งสิ้น จองอธิบายไว้ว่า

“สำหรับผมมันสำคัญที่ตัวละครทุกตัวในเรื่องต้องไม่เป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ของประเด็นใดๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคมหรือการเมือง ผมคิดว่าเป็นเพราะผมได้รู้จักคนเหล่านี้จริงๆ ในชีวิต มันมอบอิสระให้ผมได้คั้นเอาแก่นแท้ของพวกเขาออกมา ผมอยากสร้างตัวละครที่มีชีวิตจริงๆ ตัวละครที่ชวนให้คุณอยากทำความรู้จักกับพวกเขา”

นอกจากชีวิตวัยเด็กของตัวผู้กำกับฯที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิด Minariแล้ว จองยังได้อิทธิพลจากวรรณกรรมอเมริกันไม่น้อย โดยเฉพาะผลงานของ แฟลนเนรี โอคอนเนอร์ ที่ว่าด้วยเรื่องราวชีวิตชนบททางตอนใต้ มันเล่าประเด็นเรื่องความศรัทธาและความยากลำบากของชีวิตออกมาได้เบาสมอง ไม่ตึงเครียดจนเกินไป

“สิ่งที่ผมชอบในงานของโอคอนเนอร์ตัวละครที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกอึดอัดที่สุดมักเป็นตัวละครที่เสนอทางออกของปัญหาโดยการหันหน้าเข้าศาสนา หรือการชำระบาป มันฟังดูขัดแย้งกับที่มันควรจะเป็นใช่ไหม”

เขายังยืมท่อนนึงจากผลงานของ วิลลา คาเธอร์ จองเผยว่าประโยคนี้ทำให้เขาต้องการเจาะลึกมากขึ้น “คาเธอร์กล่าวไว้ว่า ‘สำหรับฉัน ชีวิตเริ่มต้นเมื่อฉันเลิกชื่นชมงานคนอื่น และเริ่มจดจำเรื่องราวของฉันเอง’ ผมคิดถึงประโยคนี้ในหัวตลอดเวลา”

แม้ว่าจองจะมอง Minari เป็นเรื่องราวชีวิตสไตล์อเมริกัน แต่เขาตัดสินใจเขียนบทสนทนาในครอบครัวเป็นภาษาเกาหลี เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าครอบครัวที่เพิ่งตั้งถิ่นฐานในแผ่นดินใหม่ต้องเจอกับอะไร

“หลายครั้งที่คุณเห็นตัวละครในหนังฮอลลีวู้ดพูดภาษาอังกฤษ ทั้งๆ ที่ตามบริบทแล้วมันไม่สมจริงเลย ผมคิดว่าหนังยิ่งเล่าแบบจริงใจมากเท่าไหร่มันยิ่งมีความหมายมากเท่านั้น การพูดเกาหลีในครอบครัวมันให้บรรยากาศแบบที่ไม่มีวิธีอื่นทำได้”

พิสูจน์ความยอดเยี่ยมของ Minari มินาริ 1 เมษายนนี้ ในโรงภาพยนตร์พร้อมร่วมลุ้นว่าหนังจะคว้ารางวัลกลับบ้านไปได้มากน้อยแค่ไหนในงานประกาศรางวัลออสการ์ ครั้ง93 ซึ่งจะมีขึ้น 25 เมษายน ที่จะถึงนี้

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6226508
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6226508