แคทรียา ทวงถาม ความโปร่งใส นางแบบดังร่วมหุ้นธุรกิจ ลงทุน 4 ล้าน เงินอยู่ไหน


ให้คะแนน


แชร์

แคทรียา ทวงถาม นางแบบดัง ผู้ร่วมหุ้นร้านเสริมสวยทำเล็บ ลงทุนคนละ 4 ล้าน ไม่ได้เงินคืนสักแดงเบื้องต้น เร่งทนายรวบรวมหลักฐาน ตรวจสอบการเงิน

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

แคทรียา ทวงถาม – วันที่ 19 เม.ย.64 ที่ ศูนย์กีฬาบางกอกอารีนา เขตหนองจอก สถานที่ตั้งโรงพยาบาลสนาม เอราวัณ 2 ดาราสาวชื่อดัง แคทรียา อิงลิช ให้สัมภาษณ์หลังมาร่วมมอบสิ่งของใช้จำเป็นสำหรับผู้ป่วยที่ติดโควิด-19 อัพเดตกรณีธุรกิจร้านเสริมสวยทำเล็บที่เจ้าตัวร่วมหุ้นกับนางแบบดังคนหนึ่ง โดยลงทุนเป็นจำนวนเงิน 4 ล้านบาท แต่กลับไม่ได้เงินคืนแม้แต่บาทเดียว ในขณะที่อีกฝ่ายได้เคยออกมาให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าไม่ได้โกงแต่อย่างใด

ถามถึงเรื่องธุรกิจร้านทำเล็บที่มีปัญหา ตอนนี้คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว? “ตอนนี้ก็ได้เข้าไปคุยกันมาส่วนหนึ่งแล้วเมื่อเดือนที่แล้ว กำลังตรวจสอบอะไรหลายๆ อย่าง ว่ามันมีความเป็นมายังไง เพราะว่าเราก็ได้ลงทุนค่อนข้างเยอะก็อยากจะรู้เห็นชัดเจนว่าเงินที่เราลงทุนไปเนี่ยมันไปอยู่ตรงไหนบ้าง แล้วก็ตอนนี้ก็ยังไม่ได้คืบหน้าอะไรค่ะ แต่ถ้าเกิดว่าทุกอย่างพร้อมอะไรเรียบร้อยแล้วก็คงจะแถลงทีเดียวเลย”

ส่วนตัวมีความกังวลอะไรไหม? “ตอนนี้คือยังไม่มีการฟ้องร้องหรืออะไรเลย จริงๆ แล้วก็คืออยากจะคุยเจรจากันให้มันลงเอยไปด้วยดี ไม่อยากจะให้ถึงขั้นต้องฟ้องร้องกัน เพราะว่ามันก็น่าจะไกล่เกลี่ยกันได้อยู่แล้ว แต่อย่างที่บอกว่าต้องการความชัดเจนว่าลงทุนกันไปเยอะขนาดนี้แล้วเกิดอะไรขึ้น เพราะว่าแคทเองก็ให้เขาบริหาร ตั้งแต่แรกเลยก็คุยกันว่าโอเคเขาจะเป็นฝ่ายบริหารเองเลย เราก็โอเคได้ เพราะว่าเราเองต้องถ่ายละคร 3 เรื่องในตอนนั้นทำงาน 7 วัน ไม่มีเวลา คือเขาก็จะบอกว่ามีตรงนี้ๆ นะ โอเคเราก็โอนไป เลยอยากได้ความชัดเจนนิดหนึ่งว่าเกิดอะไรขึ้นไม่มีกำไรเลยเหรอ

จริงๆ ได้มีโอกาสคุยกันก่อนที่จะเป็นข่าวบ้างไหม? “ได้คุยกันแล้วมันก็ไม่ลงเอยกันสักที ฉะนั้นก็เลยให้ทนายเข้ามาคุยดีกว่า แล้วก็ให้ทนายคุยกัน ถามว่าจะนัดคุยกันอีกเมื่อไหร่ ตอนนี้ยังค่ะ ตอนนี้คือกำลังให้ทนายตรวจสอบหลายๆ อย่างอยู่ เพราะทางแคทเองก็มีหลักฐานทั้งหมดอยู่แล้ว แต่ว่าก็ต้องมาดูบัญชีดูอะไรอย่างเนี้ยค่ะว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนตัวก็อยากให้มันจบแบบมาคุยกันแล้วโอเคทั้งสองฝ่ายกับตรงนี้ คือไม่อยากจะให้มันยืดเยื้อ อยากจะให้มันตกลงให้ได้”

คิดว่าจะเคลียร์กันได้ไหม? “หวังว่าค่ะ(หัวเราะ) หวังว่าจะเคลียร์กันได้ค่ะ”

ได้เห็นทางฝั่งโน้นสัมภาษณ์แล้วใช่ไหม? “อืม…ก็ยังงงๆ ในบางเรื่องที่เขาพูดออกมา อย่างเรื่องบริษัทคือแคทเป็นคนแนะนำเอง ไม่ใช่ว่าแคทไม่รู้ คือแคทเป็นคนแนะนำให้เขาเปิดบริษัทเพราะว่าพอขยายกิจการปุ๊บมันจะมีเรื่องของเงินเข้ามา แล้วมันน่าจะหมุนเวียนกันค่อนข้างเยอะ เพราะฉะนั้นเปิดบริษัทดีกว่ามันจะได้มีความถูกต้องทางสรรพากรทางภาษีอะไรก็แล้วแต่ เราจะได้ไม่โดนทีหลัง ตอนนั้นก็เลยบอกไปว่าเราเปิดเป็นรูปแบบบริษัทไปเลยดีกว่า เรื่องบัญชีทุกอย่างมันจะได้ถูกต้อง ฉะนั้นตรงที่เขาบอกว่าแคทไม่รู้เรื่องอันนี้ไม่จริงค่ะ”

แล้วที่ทางนั้นบอกว่าแคทเป็นคนไปขอเขาหุ้นเองล่ะ?คือจริงๆ การขอหรือไม่ขอเนี่ยในที่สุดแล้วสิ่งที่สำคัญก็คือเงินหายไปไหนแค่นั้นเอง ต้องการความชัดเจน ไม่ได้บอกว่าโกงอะไรนะ แค่อยากได้ความชัดเจนทั้งหมดว่าเราลงทุนกันเยอะขนาดนี้แล้วไม่มีเงินเข้ามาเลยเหรอ เพราะว่าแคทไม่ได้รับเงินสักบาทเลยจากร้านนี้ก็เลยแบบมันเป็นไปได้ยังไง”

รู้สึกยังไงที่ทางนั้นบอกว่าแคทหาว่าเขาโกง? “ไม่ได้พูดเลย ไม่ได้พูดคำว่าโกง ไม่ได้บอกเลยว่าเขาโกง ไม่ใช่เลย แค่บอกว่าเราลงทุนแต่ไม่ได้เงินคืนมาสักบาทแค่นั้นเอง แล้วก็อยากได้ความชัดเจนถ้ามีความชัดเจนโปร่งใส ทุกอย่างโอเคปุ๊บก็จบ”

ลงทุนกับร้านนี้ไปเท่าไหร่?4 ล้านกว่าค่ะ ตอนนี้ไม่ได้อะไรขึ้นมาเลยค่ะ ยังไม่มีอะไรสักบาทเลย นั่นแหละค่ะถึงต้องการความชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะว่าจริงๆ แล้วมันก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่มีลูกค้าเข้ามาเหมือนกัน แล้วเป็นไปได้ยังไงที่ไม่มีรายได้กลับเข้ามาเลยเหรอ มีแต่ออกอย่างเดียว”

ที่ไปขอร่วมหุ้นด้วยคือเพราะความไว้ใจใช่ไหม? “ไว้ใจค่ะ จริงๆ แล้วเริ่มต้นตรงที่ว่ามันเป็นร้านเล็กๆ แล้วลูกค้ามันก็เริ่มเข้ามาแล้วแบบมันแออัดคือไม่มีที่เดิน ลูกค้ามาแค่ 2 คนก็ไม่มีที่เดินแล้ว พนักงานก็มีเพิ่มไม่ได้ เลยแบบคิดว่าเราต้องมีสเปซให้มันเยอะกว่านี้ เพื่อที่จะรองรับลูกค้า เพราะบางทีลูกค้ามาปุ๊บก็อยากที่จะทำปั๊บก็ไม่มีที่ที่จะนั่งแล้ว อ่ะโอเคถ้าอย่างนั้นควรที่จะต้องขยายมั้ย เขาก็เห็นด้วยกับการขยาย

ในเมื่อเราก็ทำเล็บอยู่แล้ว ทำบ่อย แล้วเราก็ออกกำลังกายด้วยกันด้วย เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นเราหุ้นด้วยได้มั้ย คุยกันไปคุยกันมาในที่สุดก็โอเคตกลงกันว่าแคทหุ้นด้วยนะคนละ 50% เราก็แฟร์ๆ เขาเปิดร้านอยู่แล้วเขาก็บอกเออ พี่ร้านนี้พี่ก็ต้อง 50% ด้วยนะ เราก็ได้โอเคก็ใจด้วย คุณลงทุนไปเท่าไหร่เอามาให้ดู ฉันก็ลงทุน 50% เหมือนกัน เราก็แฟร์เหมือนกัน

คือก็เลยมีความรู้สึกแบบว่าการที่เราอยากหุ้นด้วยหรืออะไรก็แล้วแต่มันไม่เกี่ยวแล้ว มันคือการที่ว่าเราบริหารกิจการของเรายังไงให้มันประสบความสำเร็จแล้วก็มีรายได้เข้ามาให้เรา 2 คน ซึ่งอย่างที่บอกว่าแคทก็ไว้ใจเขา การบริหารคือก็ไม่รู้ว่าเขาอาจจะเก่งหรือไม่เก่ง แต่เราใจกับเขาไปแล้ว สุดท้ายก็หวังว่าจะจบลงด้วยดี เคลียร์ให้จบ สถานะตอนนี้ก็คือยังเป็นหุ้นส่วนอยู่ แต่ว่าการเป็นกรรมการคือไม่เป็นมาพักหนึ่งแล้ว เพราะเราบอกแล้วว่าเราไม่ไหวแล้ว แต่ก็ยังถือหุ้น 50% อยู่ เพราะฉะนั้นการที่เขาทำอะไรก็แล้วแต่คือเราก็ต้องรับรู้ เพราะเรายังเป็นหุ้นส่วนอยู่ 50% ค่ะ”

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6346651
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6346651