ดารารุ่นใหญ่ ต้น ตระการ พ่อบ้านลูกสอง เผยเคล็ดลับมัดใจภรรยาเด็กให้อยู่หมัด


ให้คะแนน


แชร์

ดารารุ่นใหญ่ ต้น ตระการ เผยบทบาทนอกจอที่ตรงข้ามกับในละคร กับการเป็นพ่อบ้านลูกสอง พร้อมแชร์เคล็ดลับมัดใจภรรยาเด็กให้อยู่หมัด

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

นับเป็นอีกหนึ่งนักแสดงคุณภาพมากฝีมือและยังคงมีผลงานดีๆ ให้แฟนละครได้ชมกันอย่างต่อเนื่อง สำหรับ ต้น ตระการ ที่เดินทางบนเส้นทางบันเทิงมายาวนานถึง 30 ปี ได้มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 ทั้งทีเจ้าตัวที่นอกจากจะเล่าย้อนอดีตการเริ่มต้นในวงการแล้ว ได้อัพเดตถึงครอบครัวอันแสนอบอุ่น พร้อมแชร์เคล็ดลับมัดใจภรรยาเด็กให้อยู่หมัด แถมยังเปิดอกว่าทำไมถึงคงต้องทำพินัยกรรมไว้ให้ลูกๆ

โดย ต้น ตระการ เผยถึงจุดเริ่มต้นในวงการก่อนว่า “เล่นละครครั้งแรกประมาณปี 2533 ตอนนั้นเป็นนักศึกษาปี 1 ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนถึงตอนนี้ก็ประมาณ 30 ปีครับ”

มีความรู้สึกช่วงงานหด งานหาย ผู้จัดไม่เรียกมีบ้างไหม? “ความรู้นี้เป็นครั้งแรกตอนที่เล่นละครเรื่อง วนิดา พอถ่ายละครเรื่องแรกจำได้เลยว่านั่งรถเมล์จากธรรมศาสตร์ไปหนองแขม เพื่อไปถ่ายละครได้ค่าตอนแสดงตอนนั้น ตอนละ 700 บาทในยุคนั้นนะ ซึ่งในตอนนั้นเราก็โอเคกับรายได้ตรงนั้นเพราะเราก็ไม่ได้อยากมีรายได้อะไรมาก แต่เรามีความภูมิใจ ซึ่งพอหลังจากเรื่องนี้ก็เงียบหายไปเลย เราก็รู้สึกว่าเราคงไปในเส้นทางนี้ไม่ได้แน่นอนแล้ว เราก็ทำใจแล้วก็ตั้งใจเรียนไปเรื่อยๆ จนได้โอกาสอีกครั้ง เพราะตอนนั้นก็จำไม่ได้ว่าเรื่อง วนิดา ออกอากาศไปหรือยัง แต่ตอนนั้นเราเป็นเหมือนนักแสดงหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการ คือได้เล่นเป็นน้องชายพี่ตั้ว ศรัณยู ก็ถือว่าเป็นดาวรุ่งแล้วมันไม่ต่อไปไม่ได้มันก็สะท้อนใจตัวเอง งานละครห่างมาประมาณ 2-3 ปีเลย เพราะว่าจำได้ว่าเรื่องที่สองเล่นเรื่อง หมอเมืองเถื่อน ของ พี่จิ๋ม มยุรฉัตร คือตอนที่เราใกล้จะเรียนจบปี 4 และหลังจากนั้นก็ไม่เคยมีช่วงไหนเว้นว่างจากงานละครเลย เราก็ไม่ได้มีผู้จัดการด้วย เราก็ต้องวางตารางชีวิตในการรับงานของเราเอง ถามว่ารับละครซ้อนกันมากที่สุดกี่เรื่องก็ต้องบอกว่าทุกวันนี้ก็รับซ้อนนะ แต่ไม่รักซ้อนนะครับ (หัวเราะ) คือต้องบอกแบบนี้ครับที่รับซ้อนเราไม่ได้รับงานวันเดียวสองสามกอง เพราะเราเป็นคนจัดตารางเวลาด้วยตัวเอง เราก็สามารถบอกเขาได้เลยว่า วันนี้ได้ วันนี้ไม่ได้ เพราะว่าเราไม่อยากจะวิ่งสองกองสามกอง”

แต่ก็ยังมีเวลาไปเรียนจนจบด็อกเตอร์เลย ด้านยุทธศาสตร์การกีฬาอีก? “ต้องบอกว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่พอเราอยู่ในวงการมาสักพักหนึ่งมันก็มีความสุขอีกแบบด้วยส่วนตัวเราก็เป็นคนที่ชอบเล่นฟุตบอลอยู่แล้ว ก็ได้ไปรู้จักกับ พี่เป็ด เชิญยิ้ม พอไปเล่นฟุตบอลด้วยกันจนไปทำทีมชาติ เราก็ได้มาเป็นผู้ช่วยพี่เป็ดในฐานะผู้ช่วยทีมชาติหญิงอายุ 19 ปี อันนั้นก็เป็นครั้งแรกในระดับประเทศ แล้วพี่เป็ดก็ชวนไปเรียน ไหนๆ เราก็สนใจในเรื่องฟุตบอลแล้วเราก็ไปเรียนในเรื่องของวิทยาศาสตร์ของการกีฬา เรื่องของการจัดการก็ได้ไปเรียนกันที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จริงๆ เรียนแค่เสาร์ อาทิตย์ ช่วงเช้า แต่จะหนักแล้วก็เป็นช่วงที่หายไปก็ในช่วงของดุษฎีนิพนธ์ เพราะว่าต้องทำวิจัยต่างๆ นานา เป็นช่วงที่ยุ่งมาก”

ซึ่งเราเห็นบทบาทของ ต้น ตระการ ส่วนใหญ่จะชินกับลุกส์ที่ใส่สูท? “เพราะว่าเป็นการให้เกียรติประชาชนทั่วไป แต่ช่วงหลังๆ พอเรามีครอบครัวแล้ว มีลูกเราก็เริ่มปล่อยตัวสบายๆ และเราก็ได้พูดกับตัวเองเสมอว่าเราไม่ใช่ดารา แต่เราคือนักแสดง พอเราแสดงตามบทบาทนั้น เป็นพิธีกรเราก็ให้เกียรติกับงานนั้นแต่งตัวให้เรียบร้อยสุภาพ แต่พอเราใช้ชีวิตส่วนตัวอยากจะไปนั่งกินข้าวแกงริมถนน คุยกับแม่ค้าในตลาดเราก็แต่งตัวไปแบบสบายๆ อยู่บ้านเราใส่แค่กางเกงฟุตบอลตัวเดียวถอดเสื้อ เป็นอาเจ็ก”

นอกเหนือจากนักแสดงจริงๆ ตอนนี้ต้องบอกว่าเป็นคุณพ่อลูกสอง? “ใช่ครับ ตอนนี้มีสองคนแล้ว แต่เรามีลูกสิ่งหนึ่งที่เราห้ามขาดเลยคือ ต้องไม่ละเลยภรรยาเพราะว่าบางคนพอมีลูกก็จะไปดูแลใส่ใจแต่ลูก ซึ่งในครอบครัวเราภรรยาของผมก็ไม่เคยละเลยหน้าที่ของการเป็นภรรยาด้วยเหมือนกันครับ เพราะว่าผมกับภรรยาด้วยความที่เรามีวัยที่แตกต่างกันประมาณ 15 ปี เขาจบจิตวิทยามาเพราะฉะนั้นเวลาที่เขาจะแสดงออกพฤติกรรมอะไรต่างๆ เขาก็จะมีการสะกดจิตของเรา มีมนต์ๆ”

เคยเจอปัญหาเรื่องช่องว่างของวัยที่ต่างกันไหม? “เคยแอบคิดเล็กๆ แต่พอเจอกับชีวิตจริงกลับไม่เป็นแบบนั้น เราเลยรู้สึกว่าวิกฤตเป็นโอกาสที่ดีเพราะว่าตัวเราเอง 50 ภรรยา 35 ลูกชาย 5 ขวบกับ 3 ขวบ ซึ่งเราก็ปรับตัวคือทำอายุของตัวเองให้น้อยลงมาเท่ากับภรรยา แล้วก็ลงไปเท่ากับลูกพยายามทำไว้ให้มันใกล้ๆ กันเพราะการที่เราอยู่ด้วยกันอย่าให้ตัวเลขเป็นอุปสรรคของชีวิตคู่ เพราะเราเลี้ยงลูกเหมือนทดลอง เพราะเราเลี้ยงเขาด้วยการใส่ใจลงไป ใส่ความรู้ใส่สิ่งที่ดีๆลงไป แล้วเราก็มาดูว่าพอเวลาที่เขาโตขึ้นเขาจะเป็นแบบที่เราคิดหรือเปล่า อย่างคนโตตอนนี้คือเขาเป็นคนที่ว่านอนสอนเลี้ยง สุภาพเรียบร้อย ส่วนคนเล็กจะมีเรื่องของพฤติกรรมที่เราสะท้อนกับเขา เช่นพูดจา ดุ ด่า ทำโทษเขาก็จะมีพฤติกรรมที่จะรุนแรงนิดนึง”

ซึ่งตั้งใจว่าจะเลี้ยงลูกเองให้เต็มที่จนกว่าอายุจะถึง 7 ขวบ หมายถึงอะไรเอ่ย? “โดยทฤษฎีโดยเฉพาะเด็กผู้ชายถ้าตอนเล็กๆ เขาอยู่กับความอ่อนโยน เขาอยู่กับแม่ อยู่กับความสุขภาพต่างๆ จะทำให้เขาซึมซับสิ่งต่างๆ ได้ดี พอโตขึ้นเขาจะมีความก้าวร้าวของเด็กผู้ชายเข้ามาเอง เราเลยตั้งใจว่าถ้าเราและภรรยาช่วยกันเลี้ยงเขาก็จะได้รับส่วนผสมที่ลงตัวพอดี เพราะว่าตอนที่เขาอายุเริ่ม 10 ขวบ จะเริ่มไปติด 15 เริ่มติดหญิง”

แต่ต้องขอถามว่าเพราะที่ตั้งใจเลี้ยงลูกขนาดนี้เพราะว่าตอนเด็กๆ มีปมอะไรในใจอยู่? “บังเอิญคุณแม่เพิ่งมาเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่เล็กจนกระทั่งเข้าโรงเรียน ตั้งแต่เกิดคลอดออกมาพ่อไม่ค่อยได้อุ้ม เพราะว่าพ่อเขาต้องทำงานตลอดเวลา เพราะเวลาที่เขาไม่ค่อยจะอยู่กับเรา แล้วเวลาที่เขาหยุดเขาก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านไปสังสรรค์กับเพื่อนแล้วก็ปล่อยให้แม่เลี้ยงเรา เราสงสารแม่นะเพราะแม่ต้องเลี้ยงลูกห้าคนแล้วเราก็เป็นพี่ชายที่ไม่ค่อยดีเพราะว่าเราไม่ช่วยเลี้ยงน้อง ก็เลยไม่อยากให้ลูกเจอเหตุการณ์แบบเรา”

เห็นว่าทำพินัยกรรมไว้ล่วงหน้าให้ลูกๆ โดยที่ไม่ได้บอกภรรยา เพราะอะไร? “คือไม่รู้พินัยกรรมนี่จะเป็นมรดกหรือหนี้สินนะครับ (หัวเราะ) ตอนปี 59 ตัวผมมีการผ่าตัดเอาเนื้องอกที่อยู่ในต่อมน้ำลายออกไป ซึ่งก่อนผ่าเราก็ต้องวางยาสลบก่อนเราก็กลัวว่าวางยาสลบแล้วเราจะไม่ฟื้น ซึ่งก่อนที่หมอจะเรียกเราเข้าห้องผ่าตัด เราก็นั่งเขียนเลยว่าเรามีหนี้สินอะไรบ้างแล้วมีเงินอยู่ตรงนี้ ที่ดิน บ้านแจงเอาไว้ เราไม่ได้มีทรัพย์สินอะไรมากมายแต่เกิดว่าถ้าเราไม่อยู่จะได้ไม่ผิดพลาด ซึ่งเราก็ไม่ได้มีโรคอะไรเกิดกับตัวเราหรอก เราก็ต้องดูแลตัวเองกันด้วย”

คลิปสัมภาษณ์ ต้น ตระการ

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6350799
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6350799