เติบโตอย่างมีไฟ “นนท์” ยิ่งทำงาน ยิ่งสนุก ผ่านทุกเรื่องราวพิสูจน์ตัวเอง


ให้คะแนน


แชร์

เริ่มจาก “จี๊บ” ไปต้องชะตา “นนท์” ได้ยังไง?

แนวเพลงของ “นนท์” กับเลิฟอิส?

นนท์ “ผมไม่เคยนิยามว่าผมทำอะไรอยู่ เลยไม่ได้ปิดกั้นศักยภาพตัวเอง ผมรู้สึกว่าผมทำอะไรได้ก็ทำ ทำอะไรไม่ได้ผมก็จะฝึกแล้วผมก็ทำ ไม่อยากให้คนนิยาม นนท์-ธนนท์ ส่วนที่เราชอบก็จะเป็นอาร์แอนด์บีโซลป๊อป แต่อย่างอื่นก็ไม่ใช่ว่าเราทำไม่ได้ รู้สึกว่าการที่คนดูได้ฟังอะไรหลากหลายและเราได้ทำอะไรหลากหลายมันก็เป็นการขยายศักยภาพตัวเอง ทุกวันนี้เข้าปีที่ 9 ปีที่ 10 ของผมและผมยังสนุกกับงานซึ่งก็เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ที่สุด ซึ่งใช้ได้กับทุกอาชีพครับถ้าเราทำสิ่งเดิมด้วยความรู้สึกใหม่ การที่ทำมันมา 9 ปีแล้วยังรู้สึกสนุก ก็ต้องขอบคุณคนฟังที่ติดตามเรามาตลอดตั้งแต่ก้าวเข้าวงการ ไม่เคยทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยวเลยทุกครั้งที่ออนสเตจ”

จี๊บดึงศักยภาพนนท์ตรงไหน?

จี๊บ “อย่างที่เค้าบอกครับว่าเค้าพร้อม เค้าไม่ใช่น้ำเต็มแก้ว เราก็ไม่ต้องปรับตัวอะไร เราก็สนุกไปด้วยกัน ลองทำมุมนี้มั้ย ร้องแบบนี้มั้ย เหมือนความเอนจอยในการทำแล้วเอาความเอนจอยตรงนั้นมาเป็นงานให้คนไปเสพยังไง ถ้าเค้าทำงานด้วยความสุขงานมันก็จะสะท้อนออกมาเอง เท่าที่คุยกันทัศนคติเค้าดี ไปได้อีกเยอะแน่ๆ”

ตอนประกาศว่ามาเซ็นสัญญากับเลิฟอิสก็ฮือฮา?

นนท์ “ผมตกใจเลยนะ พอเห็นกระแสตอบรับดีมากเลย คิดว่าหรือเราควรจะตกใจขนาดนั้น แต่ผมคิดว่าผมไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรขนาดนั้น วงการมันเล็กนิดเดียวก็วนเจอกันอยู่แล้ว แค่เรามาอยู่ที่นี่ เรามีจุดมุ่งหมายอีกแบบนึงผมรู้สึกอย่างนั้นนะว่าเราก็แก่ขึ้นทุกวัน ผมอายุ 25 เข้าวงการตั้งแต่อายุ 15-16 จะสิบปีแล้ว เวลาผ่านไปเร็วมาก ก็ดีใจครับที่เห็นแฟนๆตั้งตารอเรามาอยู่ที่นี่”

กดดันมั้ยที่แฟนๆตั้งตารอ?

นนท์ “ก็กดดันนะแต่ผมไม่ได้รู้สึกอึดอัด ผมแค่เต็มที่กับงาน เหมือนกับทุกปีที่เราปักหมุดว่าปีนี้เรามีศักยภาพเท่านี้ ก็จะมีงานที่คนดูชอบหรือไม่ชอบ แต่คนดูจะเถียงไม่ได้ว่างานไม่ดีเพราะเราเต็มที่แต่ชอบไม่ชอบเป็นอีกเรื่อง”

จี๊บ “ผมนี่ล่ะกดดันจากสองทางคือแฟนๆที่มี 2 แฟน แฟนเดิมของเลิฟอิส และแฟนๆของนนท์เวลาเรามีวงหรือศิลปินอย่างนี้มาจะรู้สึกว่าทำยังไงให้แฟนสองกลุ่มนี้เข้ากันให้ได้ อันดับสองที่กดดันคือตัวเค้า พอกระแสเยอะๆเลยอยากรู้ว่าแฟนๆเค้าคาดหวังอะไร”

นนท์ “คนก็คาดหวังว่าเพลงจะเป็นยังไงซึ่งเราไม่อยากให้คนคิดไปก่อน ให้เพลงเราพาไป ให้เห็นมุมของตัวนนท์ในวันที่อายุ 25 เหมือนเป็นไดอารีของเรา ผมมองว่าแค่สนุกกับมัน การทำงานกับทีมเพลงผมประทับใจที่เราแชร์อะไรกันทุกวัน ว่าผมมีอันนี้หรือไปฟังเพลงนี้มา ส่วนแพลนที่จะปล่อยเพลงคือกลางปี เราทำไว้หลายแบบมาก เราโตขึ้นมุมมองกว้างขึ้นเพียงแต่ท้ายที่สุดเราจะหยิบเรื่องไหนมาเล่า ตอนนี้การฟังเพลงของคนมันเป็นปัจเจกมาก เมื่อก่อนเปิดวิทยุก็จะได้ยินเพลงนี้ทุกคลื่น เดี๋ยวนี้คนสามารถฟังสิ่งที่ตัวเองอยากฟังได้ แต่แน่นอนในหลายเพลงที่ทำมันโตขึ้นมาก ปีนี้เป็นปีที่ผมรู้สึกโตอย่างก้าวกระโดด ผมไม่อยากให้คนดูคาดหวังเยอะ แค่อยากทำงานคุณภาพ รู้สึกสนุกกับงานทำงาน ผมมาค่ายได้ทุกวันแบบไม่ได้มีนัดงานอะไร มาคุยเพลง ทำเพลง มาดูว่าเราทำอะไรได้บ้าง เป็นช่วงเวลาที่ได้เก็บเกี่ยวงานหลังบ้านด้วย ได้ฝึกได้ลองทำที่นี่ ก้ำกึ่งขยันหรือบ้า (ยิ้ม) ผมสนุกกับการทำงานมากขึ้น ถ้าปีก่อนหน้านี้ผมแค่ไฟไม่หมดแต่ปีนี้ผมรู้สึกอยากทำงานมากขึ้น อยากทำงานเต็มที่ขึ้น เพราะการทำงานที่นี่พร้อม ถ้าไม่พร้อมคือตัวเราเอง”

หลายคนเห็นบอสจี๊บในมุมนักธุรกิจ การได้เข้ามาทำงานในวงการเพลงแบบนี้เรามีแพชชันอะไร?

จี๊บ “สมัยก่อนเราทำเกี่ยวกับเครื่องดื่ม ต้องร่วมงานกับค่ายเพลงต่างๆอยู่แล้ว พอมาทำเลิฟอิส ในอุตสาหกรรมเราถือว่าเราเป็นบริษัทระดับกลางไม่ใช่บริษัทใหญ่หรือเล็กๆ เลิฟอิสเองผมก็มองว่าอยู่ตรงกลาง รู้สึกว่ามันมีบางอย่างใกล้เคียงกัน วันที่ตัดสินใจมาลองทำเพราะอยากมาช่วยทำ แต่ทำไปสักพักมันสนุกดี เหมือนตัวเราเองได้รีเฟรช ได้มาเจอน้องๆ เราก็ได้อะไรจากเค้าเยอะเลย ลูกผมก็อายุ 10 กว่าปีแล้ว
ผมก็ได้เตรียมตัวว่าจะรับมือกับลูกยังไง ผมก็เป็นคนในวัยผมที่เล่นไอจี มันสนุกมากนะ ตอนแรกก็ไม่คุ้นเลยเพราะผมเป็นมนุษย์ถ้ำ ไม่เคยออกมาจากถ้ำ ไม่ชอบออกมาอยู่ข้างหน้าจนน้องข้างหลังต้องบังคับว่าพี่เป็นฟรอนต์นะ ต้องออกมาบ้าง พอมาทำเพลงเราก็ลงไปลองทุกอย่าง ทำให้รู้ว่ามันยากนะ ผมก็ค่อยๆเรียนรู้ พวกอาร์ติสต์ก็มีความเป็นศิลปะของเค้าเรายิ่งต้องใช้ศิลปะในการสื่อสารกับเค้ามากกว่าสินค้าปกติที่เราทำ ลูกค้าที่เคยเห็นผมก็จะบอกว่าเค้าชอบผมในพาร์ตนี้นะ ปกติเค้าเจอในโหมดซีเรียส อย่างเจอคนอายุ 25 อย่างนนท์ ก็อยากรู้ว่าเค้าคิดอะไรอยู่”

พอมาอยู่ในพาร์ต วงการเพลงแล้วเติมเต็มตัวเรายังไงบ้าง ยากง่ายแค่ไหน?

จี๊บ “ทุกธุรกิจมันมียากง่าย สนุกไม่สนุก เราก็พยายามปรับทัศนคติเราว่าอันนี้เป็นธุรกิจครึ่งเดียวบางธุรกิจเอาบัญชี มาร์เกตติ้งนำ สินค้านำ แต่ธุรกิจนี้ต้องเอาแพชชันนำ ผมว่าการทำดนตรีมันเป็นสมบัติของชาติไม่ว่าจะค่ายไหนเพลงไหนขอให้มีคุณภาพนะ มันเหมือนเรากำลังสะสมอะไรสักอย่าง มันอยู่ตลอดไปถ้าเราทำให้มีคุณค่าและมันวัดมูลค่าไม่ได้ ผมเลยอยากให้ทุกค่าย ทุกคนทำเพลงไปเถอะ”

เลิฟอิสปีนี้จะมีอะไรว้าวๆ มั้ย?

จี๊บ “มีน้องๆเข้ามาทำงานร่วมกันมากขึ้นก็คิดว่าน่าจะมีมากขึ้นอีก วันนี้ผมบอกตัวเองว่าหน้าที่ผมคือผู้สร้างความสุข พยายามที่สุดที่จะส่งต่อสิ่งนั้นไป นนท์ก็เป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่เราคิดว่าเค้าทำความสุขให้คนฟังได้”

เลิฟอิสในยุคของจี๊บเป็นยังไง?

จี๊บ “เรารู้สึกว่าน้องมีคุณภาพในตัว ทำยังไงถึงจะให้เค้า Shining หน้าที่ผมคือเค้าขาดเหลืออะไรต้องทำยังไงให้ถึงตรงนั้น บางทีคนเรียกบอส ผมไม่ค่อยสบายใจเลยนะ บางทีเรียกพี่เรียกพ่อยังสนุกกว่า เรียกบอสมันเกร็ง เมื่อก่อนอาจจะชิน นี่ผมลาออกจากการเป็น CEO ธุรกิจแล้วจ้าง CEO มาทำแทนเลยนะจะได้มาสนุกกับตรงนี้”

อยากให้เลิฟอิสเติบโตแบบไหน?

จี๊บ “เราก็มีหลักการของเรานะว่าเราอยากสร้างความหลากหลายในทางดนตรี เราก็ระลึกได้ว่าคนหนึ่งคนไม่สามารถทำได้ เพราะฉะนั้น ผมโชคดีที่วันนี้เรามีค่ายย่อยหลายค่าย เราทำให้น้องขึ้นมาจากคนเป็นศิลปินขึ้นมาบริหาร นี่คือสิ่งที่เราใฝ่ฝัน ทุกๆค่าย marr Holy Fox พร้อมบวก lit สิ่งที่เราคอมมิตกับค่ายเหล่านี้ด้วยคือวันนึงที่เด็กของคุณพร้อม กรุณาให้เค้าไปเปิดค่ายใหม่แตกออกไปอีก แล้วคุณก็ไปเป็นหุ้นกับเขา เพราะฉะนั้นเลิฟอิสไม่ต้องทำอะไรเพราะอยู่ตรงนี้อยู่แล้วเดี๋ยวก็ตามไปเอง แตกกิ่งก้านออกไปแต่ทุกคนก็มีรากแก้วอยู่ตรงนี้นะ มีอะไรอยากจะให้เราช่วยเหลือหลังบ้านยังไง เราพร้อม หน้าที่ของคุณคือไปหาว่าเค้าฟังอะไรกัน สร้างสิ่งที่คนเค้าฟังแล้วมีความสุขเท่านั้นเอง”

สำหรับ “นนท์” นอกจากความเป็นนักร้องคนยังยกให้นนท์เป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ได้ทุกรูปแบบ?

นนท์ “ผมไม่เคยมองตัวเองเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์เลยนะ แต่เป็นคนที่เวลาอยู่ในกลุ่มเพื่อนเราชอบเล่นแล้วเพื่อนเห็นว่าเราเล่นได้ก็ส่งมา กลายเป็นเราเป็นตัวกลาง มันเป็นอย่างนั้นตั้งแต่เด็ก เป็นคนสนุก แล้วเราก็ไม่ชอบให้บรรยากาศของคนรอบข้างดูตึงเครียด จริงๆเราเป็นคนที่เครียดมากนะ เลยรู้สึกว่าเพียงพอแล้วไม่อยากให้คนรอบตัวเครียด”

การเป็นเราแบบนี้ทำให้กลุ่มแฟนคลับเหนียวแน่นและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆรู้สึกยังไง?

“ผมว่าคงเป็นเพราะการเป็นคนดีต่อกัน มันเลยเหนียวแน่น บางทีศิลปินดีแต่แฟนๆทะเลาะกันมีเรื่องขัดใจกันมันก็อยู่ยาก เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเรามีทุกวันนี้เพราะแฟนๆซัพพอร์ต ตั้งแต่ส่งนนท์-ธนนท์ เข้าวงการมาเราไม่เคยโดดเดี่ยวเลย ประหลาดมาก ทั้งที่เราเริ่มจากการขึ้นเวทีทั้งที่คนโห่ตั้งแต่แปดขวบ แล้วตอนนั้นเราไม่มีภูมิคุ้มกันอะไรเลย เริ่มเข้าวงการตอนแรกประกวดเสร็จก็โดนบูลลี่ตั้งแต่หัวจดเท้าเลย พออยู่ไปสักพักมีคนมาบอกผมว่าผมถึงที่แล้วผมไม่กล้าเข้าวงการเลยพี่โดนเยอะมาก ผมเลยบอกว่ามันคุ้มค่านะ หลายๆอย่างมันต้องพิสูจน์กว่ามันจะลงไปเย็นข้างล่างมันก็ต้องผ่านร้อนก่อน และมักบอกเสมอว่า ทำงานในวงการนี้ต้องอดทนจนวันนึงเราไปเจอคนที่รักเราจริงๆ เจอคนที่ทุ่มเทกับเราจริงๆระยะทางมันพิสูจน์ม้าจริงๆมันไม่ได้ง่ายๆ พอเล่าเรื่องเราให้บางคนฟังบอกว่าเป็นเค้า เค้าเลิกไปแล้ว แต่ตัวผมต้องขอบคุณแฟนๆเพราะเค้าไม่ได้แค่ดีกับผมแต่เค้าดีต่อกันด้วย ดูแลกันด้วย ผมโชคดีมากๆที่เข้ามาในวงการนี้แล้วผมสามารถเป็นตัวเองได้ทั้งหน้ากล้องและหลังกล้อง ทุกวันนี้ก็ได้เป็นตัวเองมากขึ้นไปอีก เป็นอิสระในการใช้ชีวิตทั้งแง่มุมความคิด ความรัก ต้องขอบคุณแฟนๆที่ซัพพอร์ตและเติบโตด้วยกัน ปีนี้น่าจะได้ตอบแทนแฟนๆเยอะหน่อย”.

เรื่อง: สุภลัคน์ วุฒิกรีธาชัย

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2075876
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2075876