รำลึกถึง เลฟต์ อาย แร็ปเปอร์หญิงที่โลกเพลงฮิปฮอปไม่เคยลืมเลือน


ให้คะแนน


แชร์

เสียงรถยนต์พลิกคว่ำหลายตลบดังก้องมาจากถนนอันเวิ้งว้างห่างไกลผู้คนในแถบชานเมืองลา เซบา ประเทศฮอนดูรัส ตอนเวลาโพล้เพล้ก่อนหกโมงเย็น

เจ้าหน้าที่ตำรวจพบร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวผิวดำบอบบางคนหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ไม่ห่างจากรถเอสยูวีสีแดงสภาพยับเยินคันนั้น พร้อมกับเพื่อนร่วมทางอีกสามคน-รวมน้องสาวและตากล้อง-ที่แม้จะกระเด็นออกมาจากรถเช่นกัน แต่ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากนัก โดยคาดว่าอุบัติเหตุครั้งนี้น่าจะเกิดจากการที่เธอหักพวงมาลัยกะทันหันเพื่อหลบรถบรรทุกที่เธอไม่ทันเห็นและรถอีกคันที่ขับสวนมาพอดี จนหลุดโค้งกลิ้งไปกระแทกเข้ากับต้นไม้ข้างทาง และเสียชีวิตทันทีจากอาการบาดเจ็บหนักที่กะโหลกศีรษะ

ผู้หญิงคนนั้นกำลังอยู่ในระหว่างการสร้างศูนย์การเรียนรู้ให้เด็กๆ ในฮอนดูรัสถึงสองแห่ง และการถ่ายทำหนังสารคดีส่วนตัวที่ยังไม่แล้วเสร็จ โดยเธอเสียชีวิตในขณะที่ยังมีอายุได้เพียง 30 ปีเท่านั้น ซึ่งห่างจากวันเกิดอายุครบ 31 ปีของเธอ (27 พฤษภาคม) เพียงแค่เดือนเดียว

ชื่อของเธอคือ เลฟต์ อาย (Left Eye) หรือ ลิซา โลเปส หนึ่งในสมาชิกวงฮิปฮอป/อาร์แอนด์บีหญิงล้วนผิวดำนาม TLC ที่โด่งดังไปทั่วโลก และแม้จะผ่านมา 19 ปีแล้ว แต่แฟนเพลงก็ยังคงไม่อาจทำใจ ‘ลืม’ เธอได้ลง

หลังจากวันอันน่าเศร้าสลดนั้น สองสมาชิกวงที่เหลืออยู่อย่าง ทีบอซ (T-Boz) หรือ ทิออนเน วัตคินส์ และ ชิลลี (Chilli) หรือ โรซอนดา โธมัส ได้ออกมาแสดงความเสียใจผ่านสื่อพร้อมรอยน้ำตา “ผู้คนจะจดจำลิซาเสมอ” ชิลลีพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “และเราจะยังคงเป็นวงเดียวกันต่อไป และมันไม่มีวันสิ้นสุดลงค่ะ” โดยทีบอซเสริมว่า “แล้วก็จะไม่มีใครมาแทนที่เธอได้ด้วย”

โศกนาฏกรรมของ เลฟต์ อาย ปรากฏให้แฟนๆ ได้เห็นอีกครั้งในสารคดี The Last Days of Left Eye ที่เปิดตัวใน Atlanta Film Festival และออกอากาศทางช่อง VH1 เมื่อปี 2007 ซึ่งภาพส่วนใหญ่มาจากฟุตเตจที่เธอถ่ายตัวเองเก็บไว้ระหว่างการทำกิจวัตร ‘ทางจิตวิญญาณ’ ที่ฮอนดูรัสในแต่ละวัน อีกทั้งยังมีการพูดถึงชีวิตและการงานของเธออย่างจริงใจต่อหน้ากล้อง โดยมีการแสดงภาพฟุตเตจจากตากล้องที่ประสบอุบัติเหตุพร้อมกับเธอในช่วงจังหวะสุดท้ายที่รถคว่ำรวมอยู่ด้วย

ทั้งหมดนั้นสร้างความสะเทือนใจให้แฟนๆ ที่รับชมไม่น้อย เพราะสำหรับพวกเขา เลฟต์ อาย เป็นมากกว่าศิลปินขวัญใจ แต่ยังเป็นคนที่ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้ถึง ‘ชีวิต’ ในอีกหลายแง่มุมเช่นกัน

2.
แร็ปเปอร์สาวผู้ใช้ ‘ชีวิต’ แซ่บซ่าท้าทายกฎเกณฑ์

คอเพลงสากลรู้จัก ลิซา โลเปส ในฐานะของ เลฟต์ อาย แร็ปเปอร์ของวง TLC (เธอได้ฉายานี้เพราะมีคนบอกว่า ‘ตาซ้าย’ ของเธอสวย) ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการแต่งเนื้อแร็ปที่มีลูกล่อลูกชน-แฝงแง่คิด และการร้องแร็ปที่เต็มไปด้วยเทคนิคการ ‘เล่นเสียง’ อันแพรวพราวผ่านเนื้อเสียงที่บางครั้งก็สดใสก้องกังวาน แต่บางครั้งก็เย่อหยิ่งเย็นชาไม่แคร์โลก รวมไปถึงรอยสักลายพร้อยและสไตล์การแต่งตัวอันจัดจ้านตลอด 10 ปีในวงการนับจากต้นยุค 90 โดยมีเพลงดังอย่าง Ain’t 2 Proud 2 Beg, Waterfalls, No Scrubs, Unpretty ร่วมกับวงจาก 4 สตูดิโออัลบั้ม (ที่ทำให้เธอคว้ารางวัลแกรมมี่ไปถึง 4 ตัว ภายใต้ยอดขายรวมราว 85 ล้านหน่วย) และยังออกอัลบั้มเดี่ยวในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่อีกหนึ่งชุดคือ Supernova (2001)

แต่ขณะเดียวกัน ตลอดระยะเวลาที่เธอโลดแล่นอยู่ในเส้นทางดนตรีและผลงานการแร็ปของเธอก็เป็นที่ยอมรับนับถือไปทั่วโลกนั้น โลเปสยังคงแสดงให้แฟนๆ ได้เห็นว่า เธอไม่ใช่ ‘คนดัง’ ที่เลิศเลอไร้ที่ติ หากแต่เป็นเพียง ‘ปุถุชนคนธรรมดา’ ไม่แตกต่างจากใครๆ ทั้งนั้น

โลเปสเป็นคนที่ตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง จนหลายครั้งก็อาจเรียกได้ว่า ‘ขวานผ่าซาก’ เธอถูกขนานนามว่าเป็น ‘ร็อกสตาร์เอาแต่ใจ’ ประจำวง เนื่องด้วยบุคลิกที่แตกต่างจากสมาชิกอีกสองคนอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเวลาให้สัมภาษณ์กับสื่อ ที่เธอมักจะพูดจาผ่านถ้อยคำและท่าทางที่ไม่แคร์ใคร, อุตริแกล้งทำตัวงี่เง่าใส่คนอื่นไปทั่วเวลาอยู่ห้องอัด หรือแม้แต่การแต่งตัวแบบ ‘สุดขั้ว’ อย่างการห้อย ‘ถุงยาง’ ไว้กับชุดขณะถ่ายทำมิวสิกวิดีโอ เพื่อตั้งใจโปรโมตให้ ‘การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย’ เป็นแค่เรื่องธรรมดา

“มันง่ายกว่าที่จะพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาเลย มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ควรมีใครถูกห้ามให้พูดในสิ่งที่ตัวเองคิดนะ คนเรามักไม่อยากพูดอะไรตรงๆ เพราะพูดแล้วโปรดิวเซอร์หรือค่ายเพลงจะโกรธเอา หรืออาจมีคนไม่เห็นด้วย” เธอเคยให้สัมภาษณ์ไว้ “แต่ฉันก็แค่มองอะไรๆ ตามที่มันเป็นน่ะ”

และหลายครั้งก็มีข่าวว่า เธอมักไม่พอใจในนิสัยบางอย่างของเพื่อนร่วมวง จนถึงขั้นมีปากเสียงและเมินใส่กันอยู่เนืองๆ โดยในช่วงปีท้ายๆ ของชีวิต หลายฝ่ายสังเกตว่า เธอเริ่มหันไปใส่ใจกับงานเดี่ยวของตัวเองมากขึ้น และถึงขั้นส่งจดหมายเปิดผนึกท้าให้สมาชิกคนอื่นมาทำอัลบั้มเดี่ยวแข่งกันด้วยซ้ำ — ซึ่งชิลลีก็ออกมาปกป้องในประเด็นนี้ หลังจากการตายของเลฟต์ อาย

“เธอเป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของเรา และไม่ว่าเราจะผ่านเรื่องราวอะไรมา เราก็ยังเป็นพี่น้องกัน พี่น้องอาจทะเลาะกันบ้าง แต่พวกเขาก็กลับมาคืนดีกันได้ ซึ่งนั่นแหละคือความสัมพันธ์ในแบบของพวกเรา” ส่วนทีบอซก็บอกว่า “ถามว่าฉันเคยโกรธเธอไหม? เคยค่ะ แต่มันทำให้ฉันรักเธอน้อยลงหรือเปล่าน่ะเหรอ? ไม่เลยสักนิด”

สอดคล้องกับที่ เลฟต์ อาย เคยให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านั้นว่า “ไม่ว่าเราจะผ่านดราม่ากันมาแค่ไหน เราก็ยังรักกันเหมือนพี่สาวน้องสาว ทั้งในฐานะของวงและปัจเจก เราต่างต้องข้ามผ่านบาดแผลชีวิตที่เจ็บปวดเหล่านั้นไปให้ได้”

ในด้านชีวิตรัก เธอไม่เคยประนีประนอมกับความรู้สึกของตัวเองเช่นกัน เมื่อคราวรัก ก็แสดงออกว่ารักมาก แต่เมื่อถึงคราวเกลียด เธอก็ไม่เคยสงวนทีท่า เห็นได้ชัดจากตอนที่เธอคบหากับ อังเดร ไรสัน นักอเมริกันฟุตบอลจาก NFL ที่นอกจากจะมีข่าวดราม่าเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนเหตุเพราะไรสันไม่ให้อิสระในความสัมพันธ์แล้ว เธอก็ยังทะเลาะกับเขาอย่างรุนแรงในค่ำคืนอันมึนเมาคืนหนึ่งกลางปี 1994 และจบลงด้วยการ ‘เผารองเท้ากีฬาหลายคู่ของเขาในอ่างอาบน้ำ’ ซึ่งก็ลุกลามไหม้บ้านไปเกือบทั้งหลัง จนเธอต้องถูกตำรวจจับกุมดำเนินคดี และโดนคุมประพฤติ 5 ปี แม้เธอจะอ้างว่าไม่ได้ตั้งใจก็ตาม (อย่างไรก็ดี เธอกับไรสันยังคงกลับมาคบหากันต่ออีกหลายปี)

และแม้ว่าหลังเหตุการณ์เลวร้ายครั้งนั้น (รวมถึงการที่วงถูกฟ้องร้องล้มละลายในเวลาไล่เลี่ยกัน และต้องเข้าสถานบำบัดเพื่อรักษาอาการติดแอลกอฮอล์ที่เป็นมาตั้งแต่อายุ 15) จะทำให้เธอ ‘นิ่งขึ้น’ กับเรื่องของความสัมพันธ์ แต่เลฟต์ อายก็ยังคงเป็น ‘ร็อกสตาร์เอาแต่ใจ’ คนเดิมของวง ที่ทั้งการใช้ชีวิตและทัศนคติสุดโต่งของเธอ มักมอบแง่คิดบางอย่างกับแฟนๆ อยู่เสมอ

(จากซ้ายไปขวา) เลฟต์ อาย, ชิลลี และ ทีบอซ ขณะร่วมวง TLC (จากซ้ายไปขวา) เลฟต์ อาย, ชิลลี และ ทีบอซ ขณะร่วมวง TLC

3.
มรดกทางจิตวิญญาณจากหญิงสาวผู้อุทิศตนให้ดนตรีและเยาวชน

ทว่าพ้นไปจากการใช้ชีวิตอย่างโลดโผนโจนทะยานแล้วนั้น โลเปสยังมีชีวิตในแง่มุมอื่นที่ส่งอิทธิพลต่อผู้คนจำนวนมหาศาล โดยที่หลายคนอาจไม่เคยทราบมาก่อน

ในฐานะของศิลปิน งานดนตรีอันเปี่ยมเอกลักษณ์ของ -ทั้งจากงานกลุ่มและงานเดี่ยว- ที่เจ้าตัวพูดเสมอว่า ‘ภูมิใจ’ ไม่เพียงส่งมอบกำลังใจอันยิ่งใหญ่ในการ ‘ต่อสู้ชีวิต’ และ ‘ทำตามฝัน’ ให้แก่ผู้ฟังทั่วไป แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปินร่วมวงการอีกเป็นจำนวนมาก เห็นได้จากการที่เธอร่วมสร้างสรรค์ -ผ่านทั้งงานเพลงและสไตล์ของวง- ให้ CrazySexyCool (1994) และ FanMail (1999) กลายเป็น ‘อัลบั้มต้นธาร’ สำหรับกลุ่มศิลปินหญิงล้วนรุ่นหลังอีกหลายวง (เลฟต์ อาย เคยถึงขนาดเป็น ‘แม่ยก’ ปลุกปั้นวง Blaque มาแล้ว) หรือการที่เจ้าแม่อาร์แอนด์บีอย่าง บียอนเซ เคยออกมาพูดชื่นชมว่า TLC คือวงที่เป็น ‘ต้นแบบ’ ให้ทั้งกับตัวเธอและวง Destiny’s Child ด้วย

และในฐานะของผู้อุทิศตนแก่เด็กและเยาวชน โลเปสมักออกไปทำกิจกรรมเพื่อการกุศลอยู่ไม่เคยขาด และเธอก็รับเลี้ยงบุตรบุญธรรมชาย-หญิงไว้ถึงสองคนด้วยกัน เพราะด้วยความที่เธอเคยถูกพ่อขี้เหล้าทุบตีและคุมเข้มอย่างหนักในวัยเด็ก เธอจึงเข้าใจความทุกข์ยากของเด็กๆ ที่เติบโตมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์พร้อม หรือถูกพ่อแม่ทอดทิ้งเป็นอย่างดี “ฉันรู้ดีว่ามีเด็กที่เจอปัญหามาหนักหนากว่าฉันเยอะ” เธอว่า

ในปี 2003 ครอบครัวของ เลฟต์ อาย ได้ก่อตั้งมูลนิธิ ลิซา โลเปส (Lisa Lopes Foundation) ขึ้นเพื่อช่วยเหลือเยาวชนที่ถูกทอดทิ้งให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หรือออกตระเวนมอบสิ่งของจำเป็นให้แก่เด็กผู้ยากไร้และครอบครัว ซึ่งก็รวมถึงเด็กๆ ในฮอนดูรัสอันเป็นสถานที่ที่ เลฟต์ อาย รู้สึกผูกพันด้วย และต้องจบชีวิตลง – ถือเป็นการสานต่อเจตนารมณ์ที่เจ้าตัวยึดถือปฏิบัติมาโดยตลอด

4.
“จงเชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้เถิดหนา”

2 พฤษภาคม 2002

แขกหลายพันคนมาร่วมงานศพของเธอที่โบสถ์ในจอร์เจียอันเป็นรัฐที่เธอพำนักอยู่ และร่างของเธอก็ถูกฝังอยู่ที่สุสาน Hillandale Memorial Gardens ในเมืองลิโธเนีย โดยบนโลงศพยังสลักเนื้อหาจาก Waterfalls หนึ่งในผลงานการแต่งเพลงที่มีคนรู้จักมากที่สุดของเธอเอาไว้ด้วย :

“Dreams are hopeless aspirations,
in hopes of coming true,
believe in yourself,
the rest is up to me and you.”

“ฝันเหล่านั้นอาจเป็นปรารถนาที่ดูสิ้นหวัง
ในอันที่จะมุ่งมั่นให้กลายเป็นจริง
แต่จงเชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้เถิดหนา
เพราะจากนี้ไปมันก็ขึ้นอยู่กับฉันและเธอนี่นา”

และด้วยบทเพลงที่ช่วยสร้างกำลังใจเช่นนี้เอง ก็อาจเป็น ‘เสียง’ ที่ทำให้แฟนๆ อยากจะจดจำ เลฟต์ อาย ต่อไปอีกแสนนาน

อ้างอิง: Wikipedia, Film Daily, Biography, LA Times, The Eye Is Right

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/inter/2077115
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/inter/2077115