ใครไหวไปก่อน หลงความหล่อละลายของ "ตรี-ภรภัทร" พระเอกดาวรุ่งที่น่าจับตา


ให้คะแนน


แชร์

วันนี้มาทำความรู้จักกับหนุ่มคนนี้กัน

ข่าวแนะนำ

“ดีใจมากๆเลยครับที่มีโอกาสมาเล่นซิทคอม เป็นต่อ ซึ่งเป็นซิทคอมที่ผมชื่นชอบ และดูมาตั้งแต่ยังไม่เข้าวงการ พอวันนึงเราได้เข้ามาแสดงร่วมกับพวกพี่ๆรู้สึกตื่นเต้นมากๆ เกร็งเหมือนกันครับ กลัวจังหวะการแสดงจะไม่เข้าขากับพี่ๆเค้า เพราะผมก็ไม่เคยเล่นซิทคอมมาก่อน และพี่ๆเค้าเล่นได้เข้าขารับส่งมุขกันได้อย่างสุดยอด ผมก็เลยกลัวว่าจะเป็นตัวถ่วง ซึ่งในเรื่องผมได้รับบทเป็น “ปกป้อง” เป็นน้องชายของเพื่อน พี่ทิพย์ (กิ๊ก-มยุริญ) ที่มีนิสัยเพลย์บอย ชอบปาร์ตี้ มีสาวๆเยอะ พี่สาวจึงมาขอร้องให้พี่ทิพย์ช่วยดัดนิสัย ด้วยการพาเราไปปฏิบัติธรรม แต่ด้วยความที่เราไม่อยากไป เราจึงวางแผนต่างๆนานา เพื่อจะได้ไม่ต้องไปเข้าวัด เลยทำให้เราได้สนิทสนมกับคนรอบๆข้างพี่ทิพย์ไปด้วย จนเกิดเป็นความผูกพัน”

ต้องเล่นเป็นหนุ่มเพลย์บอยชอบปาร์ตี้ด้วย เตรียมตัวยังไงมั้ย?

“จริงๆไม่ต้องเตรียมตัวเลยครับ (หัวเราะ) เพราะผมก็เคยเป็นนักปาร์ตี้คนนึงมาก่อน แต่เดี๋ยวนี้ด้วยงานเยอะขึ้นเลยไม่มีเวลา และทำให้เลิกปาร์ตี้หนักๆไปได้โดยปริยาย แต่ความยากของบทนี้คือการที่ผมต้องโปรยเสน่ห์ ซึ่งเรื่องของเสน่ห์มันเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีเหมือนกันหมด และในทางภาพที่ออกมาตามบทมันต้องดูดีดูหล่อในทุกๆมุม ดังนั้นในการถ่ายทำจึงค่อนข้างใช้เวลานาน พี่นก-จิรศักดิ์ ผู้กำกับ ก็ให้เวลาและหาวิธีค่อยๆดึงเอาความเป็นตัวตนของเราเข้ามาใส่ในตัวละคร ซึ่งพอเริ่มถ่ายนานผมก็เริ่มเกรงใจพี่ๆคนอื่นๆ เพราะเค้าเคยเล่นกันสบายๆ รับส่งมุขกันโบ๊ะบ๊ะ พอผมมาก็ต้องเล่นหลายเทกอีก ผมก็เลยเกร็งและแอบเครียด แต่พี่ๆที่ผมเข้าฉากด้วยในวันแรกก็จะบอกว่า เฮ้ย ไม่ต้องคิดมากนะ ก็ทำให้เราใจชื้น มีกำลังใจมากขึ้น และทุกอย่างก็เริ่มสมูทขึ้นเรื่อยๆครับ”

ชีวิตจริงล่ะเจ้าชู้เหมือนบทมั้ย เวลาจะจีบสาวล่ะพลิ้วมั้ย?

“ผมว่าผู้ชายทุกคนก็น่าจะเป็นเหมือนกันหมดนะครับ เพียงแต่จะแสดงออกมากน้อย ต่างกันยังไง? ตัวผมเองก็ชอบมองไปเรื่อย ใครสวยน่ามองก็มอง เรียกว่าเจ้าชู้รึป่าว? ในเรื่อง “เป็นต่อ” นี่คือมีผู้หญิงหลายคนในเวลาเดียวกัน ผู้หญิงมาตีกันต่อหน้าเราเลย แต่ในชีวิตจริงผมไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ จีบสาวก็ยังจีบไม่ค่อยเป็น ส่วนใหญ่จะเริ่มจากการรู้จักกันก่อน เป็นเพื่อนกันมาก่อนมากกว่า แต่ถ้าคุยผมก็คุยทีละคนครับ”

ขอถามเรื่องส่วนตัวหน่อย มีไลฟ์สไตล์และตัวตนยังไง?

“ถ้าคนมองภายนอก อาจจะมองว่าผมดูแบดบอยนะครับ เพราะด้วยหน้าตาท่าทางกวนๆ แต่จริงๆแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับว่าผมอยู่กับใคร เวลานั้นทำอะไรอยู่ ถ้าอยู่กับเพื่อนๆไม่ได้ทำงาน เราก็สนุกสนานเฮฮาเต็มที่ แต่ถ้าเป็นสมัยเด็กๆก็ยอมรับว่าผมค่อนข้างเกเรมาก ติดเพื่อนไม่ชอบไปโรงเรียน มีเรื่องชกต่อยบ่อยๆ สร้างความปวดหัวให้ที่บ้านไม่รู้จบ เรียกว่าไม่ได้มีจุดมุ่งหมายในชีวิตอะไรเลย แต่พอโตขึ้นมาก็ไม่เป็นแล้วครับ มีความรับผิดชอบมากขึ้น โดยเฉพาะตั้งแต่ผมเข้าวงการก็ต้องหัดตื่นแต่เช้า เข้านอนเร็ว ก่อนนอนก็ต้องอ่านบท แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะกลายเป็นอีกคนไปเลยนะครับ ยังใช้ชีวิต เหมือนเดิม ไปกินเที่ยวกับเพื่อนๆเหมือนเดิม แต่แค่รู้ว่าเราต้องทำอะไร จัดลำดับความสำคัญของชีวิตก่อนหลัง เพื่อให้ทุกอย่างลงตัวครับ”

เรื่องดีๆก็มีนี่ เห็นได้ข่าวว่ากินมังสวิรัติ?

“ครับ ผมทานมังสวิรัติทุกวันพระ ทำมาได้ 2-3 ปีแล้ว พอผมรู้ว่าผมต้องมีความรับผิดชอบในการทำงานมากขึ้น ผมก็เลยเลือกที่จะทำสมาธิ สวดมนต์ไหว้พระ และทานมังสวิรัติทุกวันพระ ซึ่งเป็นความโชคดีที่คุณแม่และที่บ้านผมทำกันมานานแล้ว จึงเป็นตัวอย่างที่ทำให้เราทำตามได้เลยทันที เวลาไปกองถ่ายก็จะเตรียมอาหารไปเอง เพราะบางทีเราก็เกรงใจไม่อยากให้เค้าต้องคอยมาวุ่นวายกับเราคนเดียว”

ได้ข่าวว่าตรีไม่เคยคิดอยากเข้าวงการบันเทิง?

“ใช่ครับ ผมไม่เคยคิดเลย ตอนเด็กๆติดเกมมาก จนถูกที่บ้านส่งตัวไปเรียนที่อัสสัมชัญ ศรีราชา ความฝันตอนเด็กๆคืออยากเป็นหมอ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะผมดูละครแล้วเห็นพี่ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ เล่นเป็นหมอ ผมก็อยากเป็นหมอ (หัวเราะ) คุณพ่อก็เลยคิดว่าลูกจะตั้งใจเรียนแล้ว เลยให้กลับมาอยู่กรุงเทพฯ พอประมาณ ม.3 ด้วยความที่คุณแม่ทำงานหนัก ตอนนั้นผมก็เริ่มได้ใช้ชีวิตแบบอิสระ ทำให้ผมเริ่มติดเพื่อนและเกเรอย่างที่บอก จนผมเองก็เริ่มเบื่อตัวเอง พอ ม.6 ก็เลยขอคุณแม่ไปอยู่อังกฤษ ก็ไปอยู่ที่อังกฤษได้ประมาณปีนึง ไปแบบพูดภาษาอะไรก็ยังไม่ได้เลย ก็ต้องค่อยๆไปเรียนรู้ จนดีขึ้นเรื่อยๆ พอกลับมาก็ยังไม่ได้คิดเรื่องวงการบันเทิงเลยครับ แต่บังเอิญว่าคุณแม่รู้จักกับพี่ที่ช่องวัน และคุณแม่ผมนี่เป็นแฟนช่องวัน เค้าก็เลยชวนๆ
ให้มาลองแคสติ้งมาออดิชันบทนั้นบทนี้ ก็เริ่มต้นด้วยละครเรื่อง “เธอคือพรหมลิขิต” ซึ่งตอนนั้นผมเองก็ไม่ได้คิดอะไรเลยนะ ผู้กำกับให้เล่นยังไงก็พยายามเล่นตามไป กว่าจะผ่านแต่ละฉาก ก็ต้องใช้เวลา คนอื่นก็ต้องรอเรา จนมาถึงเรื่อง “สายรักสายสวาท” ผมก็เริ่มเข้าใจการแสดงมากขึ้น เริ่มมีความตั้งใจมากขึ้น ต่อจากนั้นก็ได้เล่น สงครามนักปั้น”, “ภาตุฆาต”, “เลดี้บานฉ่ำ” และที่กำลังถ่ายทำอยู่คือ เรื่อง “เวลากามเทพ” แสดงคู่กับ เฟิร์น-นพจิรา พูดง่ายๆเลยคือ ผมเข้าวงการมา เพราะทำตามความฝันของคุณแม่ แต่พอถึงวันนี้ผมบอกได้เลยว่า การแสดงคือความฝันของผมเองแล้ว และผมก็จะทำเพื่อตัวเอง เพื่อให้ทุกงานออกมาดีที่สุดครับ”

จำได้ว่าเรื่องแรกที่เข้ามา ตรีก็หุ่นดีมีซิกซ์แพ็กให้โชว์แล้ว แปลว่าเป็นคนดูแลตัวเอง?

“ใช่ครับ เพราะตอนเด็กๆผมเคยอ้วนเคยเตี้ย แล้วไปจีบผู้หญิงเค้าก็บอก ไม่ชอบ เพราะเราทั้งอ้วนทั้งเตี้ย โอ้โห เท่านั้นแหละครับ ออกกำลังกาย กินวิตามิน กินนม กลายเป็นคนดูแลตัวเองมาตั้งแต่ตอนนั้น (หัวเราะ) แล้วพอเราเห็นว่าการใส่ใจตัวเอง การออกกำลังกายสม่ำเสมอ มันดียังไง ก็ทำให้เราติด พอจะมีละครหรือมีถ่ายแบบที่ต้องฟิตหุ่น เรากลับไปเล่นเวทเพิ่ม ไม่นานกล้ามเนื้อก็กลับมาเร็วครับ”

รู้สึกยังไงที่หลายคนมองว่าเราเป็นพระเอกดาวรุ่งที่น่าจับตา กดดันมั้ย?

“ผมก็ต้องฝากขอขอบคุณทุกคนไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ที่มองเห็นความตั้งใจกับทุกผลงานของผม ส่วนเรื่องความกดดัน บอกตรงๆว่าแรกๆกดดันครับ แต่ไม่นาน ก็เลิกคิด เพราะถ้าเรามัว กดดันตัวเองอยู่อย่างนั้น ก็ยิ่งเสียเวลา สู้เอาเวลาที่เครียดมาคิดว่าเราจะ รับมือกับงานที่ได้รับนั้นยังไง ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง ต้องทำการบ้านยังไง คิดว่าจะสู้ยังไงเพื่อให้งานที่ได้รับมอบหมายออกมาดีที่สุด ผมคิดว่าเส้นทางในวงการบันเทิงของผม ยังเป็นแค่ช่วงเริ่มต้น ถ้าเปรียบกับเด็กก็เพิ่มเริ่มเดินได้เท่านั้นเอง ยังมีอะไรให้ต้องเรียนรู้อีกมากมาย ซึ่งผมก็มีเป้าหมายว่า ผมจะเดินบนเส้นทางนี้ ด้วยความรักและความตั้งใจอย่างเต็มที่ครับ”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2077228
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2077228