อ้อย กะท้อน เฉียดตาย ผีบังตาหวิดรถตกเขา เผยขวัญเสียเคยโดนโรคจิตจับน้องสาว


ให้คะแนน


แชร์

อ้อย กะท้อน เล่านาทีเฉียดตาย ผีบังตาหวิดรถตกเขา เผยเคยโดนโรคจิตจับน้องสาวกลางคอนเสิร์ต ขวัญเสียจนไม่กล้าร้องเพลง

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

ศิลปินเพื่อชีวิตแถวหน้าของเมืองไทย อ้อย กะท้อน เปิดเผยเรื่องราวหลังเจอพิษโควิด งานหาย เงินหด เสียรายได้หลายล้านบาท พร้อมเล่าเส้นทางในวงการเพลงกว่า 30 ปี เคยหวิดดับมาแล้ว เพราะเป็นฝีในมดลูก แถมยังเกือบตายเพราะผีบังตา อีกทั้งยังเคยโดนโรคจิตขยำน้องสาวอีกด้วย โดยเจ้าตัวมาเปิดใจผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่องวัน31 ที่มีพีเค ปิยะวัฒน์ และธัญญ่า ธัญญาเรศ เป็นพิธีกร

พี่ร้องเพลงมากี่ปีแล้ว? “กะท้อนดังปี 2530 วันที่ 29 เดือนธันวาคม ปี 2529 วางแผงเทป แล้วตั้งแต่ต้นปี 30 เราก็มีคอนเสิร์ตทั้งปี 365 วัน เรามีคอนเสิร์ต 400 งาน ไม่มีวันหยุดเลย ชีวิตพี่อยู่บนรถตู้อย่างเดียว”

เห็นว่าคนมาดูคอนเสิร์ตทีนึงเป็นแสนเลย? “เป็นแสนเลย เยอะมาก เราจะเล่นตามวัด งานประจำปีของแต่ละจังหวัด หรือเป็นงานใหญ่ๆ ของแต่ละปีที่เขาจัด จะเป็นที่โล่งแล้วล้อมรั้ว มองไปสุดลูกหูลูกตา คนเยอะมาก”

สมัยก่อนรายได้ยังไง บอกได้ไหม? “กะท้อนมี 10 คน แล้ว 10 คนหารเท่ากันหมด ก็คนละ 2,000-3,000 ต่อ 1 งาน แต่เราก็ไม่ได้ทั้งหมดนะ เราต้องเอาเข้ากองกลาง เพื่อพัฒนาวง ซื้อเครื่องมือ”

เห็นว่าตอนนั้นพี่อ้อยต้องเลิกเรียนเลย? “ใช่ เพราะเรียนไม่รู้เรื่อง พี่ไม่ได้นอน พี่อยู่แต่บนรถตู้ไม่มีเวลาไปเรียน ก็เลยต้องดรอปเรียนไว้ แล้วบอกกับแม่ว่าเดี๋ยวหนูจะกลับมาเรียนต่อ”

พี่เจอโควิดหนักขนาดไหน? “ปีแรกเจอ ตอนแรกก็ตื่นตัวเนอะ เพราะว่ามันยังไม่เคยมีโรคระบาด ก็โดนแคนเซิลงานไปเป็น 10 ตอนมาเป็นโซโล่อัลบั้มคนเดียว ตอนนี้รับงานเองราคามันก็ไม่ได้ 3,000 เหมือนตอนนู่นแล้ว ก็หายไปเยอะหลายแสน แล้วพอโควิดช่วงที่ 2 มีแพลนต้องไปร้องเพลงที่อเมริกา เพราะพี่จะมีแพลนไปร้องเพลงต่างประเทศปีนึง 2 ครั้ง ก็โดนแคนเซิลไป เป็นล้าน หมดไป เพราะที่เขาจ้างไว้แล้วรู้จำนวนเงินอยู่แล้ว แล้วก็ไม่เกี่ยวกับทิป รวมแล้วเป็นล้าน เสียดาย แต่ทำอะไรไม่ได้ ทางวัดไทยในอเมริกาเขาแจ้งมาว่าไม่สามารถเอาคนไปรวมอยู่ด้วยกันได้ มันเป็นการกระจายเชื้อ ทุกอย่างเบรกหมด”

เห็นว่าพี่อ้อยเครียดถึงขั้นคิดจะไปบวช? “เรื่องบวชพี่อ้อยบวชประจำอยู่แล้ว พี่เคยขึ้นสูงสุดแล้วดิ่งลงจนต่ำสุดเลย พี่เคยเป็นมาแล้ว พี่รู้สึกว่าชีวิตคนมันไม่แน่นอน มันดังได้เดี๋ยวมันก็ลงได้ เรารู้สึกว่าถึงจุดจุดนึงแล้วเราคว้าอะไรไปกับวิญญาณไม่ได้เลย ก็เลยคิดว่าถ้าเราได้บวช ได้ศึกษาธรรมะ อาจจะทำให้เราสงบ เย็น แล้วรู้จักที่จะวาง ปล่อยได้บ้าง”

ตอนที่ดิ่งลงสุดมันขนาดไหน? “ไม่มีเงินเลย อยู่โรงพยาบาลก็ไม่มีเงินให้หมอ”

จากเดิมที่เราทำงานทุกวันเรามีเงินเก็บเป็นก้อนไหม? “มีเงินเก็บเป็นก้อน แต่พี่ได้เอาไปใช้ในเรื่องของการดูแลครอบครัว ซื้อบ้านให้แม่ เพราะว่าแม่เลี้ยงมาคนเดียว เห็นแม่ลำบากมาตั้งแต่เด็กๆ เราอยากให้แม่สบาย อะไรที่เป็นความสุขของเขา เราก็อยากจะให้เขา”

แล้วตอนที่ดิ่งเกิดอะไรขึ้น? “ตอนนั้นพี่ไม่สบาย พี่ป่วยเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ แต่ของพี่มันเข้าไปแล้วมันไปพอกเหมือนลูกมะพร้าว แล้วเกิดการอักเสบในช่องมดลูก แล้วมันก็แตก คือก่อนแตกพี่ปวดท้องรอบเดือนประจำอยู่แล้ว จนวันนั้นพี่ต้องไปร้องคอนเสิร์ต แต่ร้องไม่ได้ เพราะพี่ต้องแอดมิตอยู่โรงพยาบาล แล้วพี่ก็ปวดมาก บอกหมอให้ฉีดมอร์ฟีน แล้วอีก 3 ชม. พี่จะกลับมาแอดมิตเหมือนเดิม แต่ขอให้ได้ออกไปทำงานก่อน เพราะมันติดต่อมาเป็นเดือนแล้ว แล้วเราจะไปแคนเซิลเขามันไม่ทัน แล้วก็ไป กัดฟันร้องจนเสร็จ พอลงมาเราช็อกหมดสติ แล้วเขาก็ส่งโรงพยาบาลเลย แม่กับสามีพาไป หมอบอกต้องเซ็นให้ผ่าตัดมดลูกทิ้งเพราว่าช็อกโกแลตซีสต์ที่แตกในท้องมันอาจเกิดการติดเชื้อถ้าไม่ผ่าทิ้งจะมีบุตรไม่ได้ แต่รังไข่จะเก็บไว้ให้อยู่”

ตอนนั้นหมอบอกไหมความความอันตรายขนาดไหน? “50:50 หมอบอกกับแม่และสามีว่า ถ้าเขาไม่เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด ให้ดูไอซียู 3 วัน ถ้าเลือดระบายออกได้หมดไม่มีการติดเชื้อก็ปลอดภัย”

รักษาตัวนานไหม? “อยู่ ICU 7 วัน แล้วก็ออกมานอนพักฟื้นข้างนอกอีก ค่าโรงพยาบาล 4 แสน เมื่อประมาณ 20-30 ปีที่แล้ว แล้วพี่ไม่มีเงินให้หมอ แล้วพี่ก็ออกจากโรงพยาบาลไม่ได้ ตอนนั้นพี่เซ็นสัญญากับค่ายนึง ร้องเพลงไปหลายชุดแล้ว แต่ไม่ได้เงิน ก็โทรศัพท์ไปขอเขา เขาบอกบริษัทเขาไม่มีนโยบายช่วยเหลือแบบนี้ เขาไม่ให้ ตอนนั้นคิดจะหนีออกจากโรงพยาบาลเลยนะ เพราะไม่มีเงินให้หมอ แล้วนึกขึ้นมาได้ว่าครั้งนึงเคยเซ็นสัญญากับบริษัทอามีโก้ ก็เลยโทรหาเฮียวิชาญกับซ้อ บอกแกว่าตอนนี้อ้อยป่วยอยู่โรงพยาบาลอยากได้เงินเอาให้หมอจะได้ออกมารักษาตัว เฮียก็โอนให้เลย 400,000 แล้วแกก็บอกว่าอ้อยยังไม่ต้องคิดเรื่องใช้หนี้เฮีย เอาไปรักษาตัวก่อน แล้วก็เดี๋ยวค่อยว่ากัน เราก็เลยซึ้งน้ำใจตรงนั้นมาตลอดเวลา”

หลังจากนั้นได้ทำงานกับเฮียที่ช่วยเราไหม? “พอพี่ออกมาจากโรงพยาบาล พี่ยังมีสัญญากับบริษัทเก่าที่เขาไม่ให้เงินพี่ พี่พูดกับทางอามีโก้ว่า ถ้าพี่หลุดจากทางนี้เมื่อไหร่ พี่จะชดเชยให้บริษัท พี่จะไปร้องเพลงใช้หนี้ให้ แกบอกไม่ต้องเก็บเอามาคิดเลย อยากจะทำเมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากัน ตอนหลังก็เลยมาร้องให้แกชุดนึง ซึ่งตอนนั้นเขาก็เปลี่ยนรูปแบบการขาย เป็นคาราโอเกะแล้ว แกก็ยังเก็บอัลบั้มชุดนั้นไว้อยู่ แล้วแกก็ไม่ได้อะไรเลย จนถึงทุกวันนี้ ยังซึ้งน้ำใจแกอยู่จนทุกวันนี้เลย”

เห็นว่าเคยเจอโรคจิตมาสัมผัสน้องสาว? “ใช่ เวทีคอนเสิร์ตเขาจะมีแผงกั้นให้เดินขึ้น แต่ระหว่างทางที่เดินก็จะมีการ์ดคอยกันให้เรา ทีนี้ไม่รู้มือไหนมันคว้าหมับแล้วก็บีบ ถ้ามันจับมาเฉยๆ เราจะไม่รู้สึกอะไร เพราะว่าเราคิดว่าเขาอาจจะพลาด ตอนนั้นด้วยความที่เราเป็นสาวแล้วยังไม่มีแฟน พอเราโดนอย่างนั้นปุ๊บเอ๋อไง เรานั่งซึมอยู่หลังเวที ร้องไม่ได้ จนน้าซูบอกว่าไม่ได้ต้องทำงานก่อน เดี๋ยวเขาจะหาคนที่ทำมาให้ว่าเป็นใคร พอตอนหลังคอนเสิร์ตเสร็จก็ตามมาได้ จะให้มาขอโทษเรา เขาบอกขอโทษ เขาจะคว้าแขน แต่คนมันเยอะ เขาคว้าไม่โดน ไปโดนตรงจุดนั้นพอดี เราก็บอกว่าทีหลังอย่าไปทำแบบนี้กับใครอีก”

เขาบอกว่าพี่ขึ้นเวทีไหน ตีกันที่นั่น เพลงอะไรที่ตีกัน? “ก็มีบุญแข่งเรือ, แม่ย่านาง, สาวรำวงนี่แหละ บางทีกำลังเต้นๆ ตีกัน มันไม่ได้ตีอย่างเดียว มันยิงกันเลย เจอหลายจังหวัด”

มีโดนลูกหลงบ้างไหม? “มี ขวดเหล้ากลมเขาเขวี้ยงมา น้าซูเขาแข้งแตก”

เห็นว่าเจอเรื่องน่ากลัวที่โรงพยาบาลเกิดอะไรขึ้น? “โรงแรม ที่หกล้มก็ไปกินเลี้ยงกับเพื่อนร่วมรุ่น แล้วด้วยความที่นานๆ เจอกันทีก็เดินคุยกันไป ก้าวพลาดหัวทิ่มไปหัวเสียโต๊ะกินข้าว แล้วมันชา เรายังไม่รู้สึก เอามือจับแล้วคุยกับเพื่อนไป พักเดียวเลือดไหล เพื่อนพาส่งโรงพยาบาล ไม่รู้เย็บ 8 เข็ม หรือ 18 เข็ม”

พี่เจอผีบ่อยมากเลยเหรอ? “ก็ไม่บ่อยเท่าไหร่ แต่ว่ามันจะมีเหตุการณ์อะไรแปลกๆ เกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย เวลาไปเล่นคอนเสิร์ตนอนคนเดียว”

เรื่องแรกผีบังตา? “พี่ไปเล่นคอนเสิร์ตที่นึง แถวเพชรบุรี หลังจากเล่นคอนเสิร์ตเสร็จเกือบตี1 พี่ก็ให้น้องสาวพี่จับ gps ว่าเราจะกลับกรุงเทพกัน ทีนี้พอออกจากวัดถ้าจะกลับกรุงเทพต้องเลี้ยวขวา แต่ gps ให้พี่เลี้ยวซ้าย พี่เลี้ยงตาม วิ่งไปได้สักประมาณ 1 ชม. ทางมันมืดลงเรื่อยๆ แล้วมันก็ไม่มีรถสวนมาเลย มืดไปหมดมีแต่ต้นไม้สูงๆ เราไปดูที่หน้าปัดรถน้ำมันจะหมด พี่ขับไปอีกประมาณเกือบชั่วโมง พี่ก็ไปสุดทางดินเกือบจะตกเขา ดีว่าเบรกทัน มันเขียนว่าสุดทาง พี่ก็โมโหคนปัก gps ทำไมพามาที่นี่ ทีนี้ต้องย้อนกลับ แล้วน้ำมันจะพอไหม ออกมาก็ไม่เจอรถสักคนนึง แล้วสัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี ปรากฏว่าพี่หลงเข้าไปในแก่งกระจาน พอพี่ขับลงมาถึงตีนเขา พี่ก็โทรไปหาคนติดต่องานพี่มัคกทายาวัด พี่บอกว่าตอนนี้พี่อยู่ที่หมู่บ้านห้วยอะไรสักอย่าง เขาตกใจมากเลย เขาถามว่าพี่เขาไปได้ยังไง ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ เราก็อยากออกแต่ออกไม่ได้ ไม่รู้มันเข้ามาได้ยังไง เขาบอกว่าพี่ฟังผมดีๆ นะ จากจุดที่พี่จอดรถอยู่หัวรถพี่หันไปทางไหน ก็บอกว่าหันออกถนน ตอนนี้มันมีซ้ายกับขวา เขาบอกว่าพี่เลี้ยงซ้ายมา แล้วพี่วิ่งเรื่อยๆ ห้ามจอดใดๆ ทั้งสิ้น จากตรงนั้น 20 กิโลพี่จะหลุด แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าตลาดอีกที”

แล้วพี่เห็นอะไรไหม? “มันพูดยาก เหมือนกับเขาดึงเราไปให้อะไรสักอย่างหรือเปล่า เราก็ไม่รู้ เพราะว่าปกติแล้วเราเป็นคนทำบุญนั่งสมาธิ หรือเขาอยากให้ช่วยอะไรหรือเปล่า เพียงแต่ไม่ให้เราเห็น”

เล่าเรื่องผีในห้องน้ำ? “เป็นโรงแรมทางภาคใต้ เหมือนกับว่าพี่ไปเล่นคอนเสิร์ตแล้วคนขับรถเขาเหนื่อยมาก เขาบอกพี่ครับ ผมขอพักโรงแรมข้างทางก่อนได้ไหม พี่บอกไม่เป็นไรพักโรงแรมอะไรก็ได้ พอเข้าไปพักก็เป็นโรงแรมพัดลม แยกคนละห้อง พอนอนปุ๊บพี่กำลังเคลิ้มๆ กดชักโครก พี่คิดว่าไม่ใช่หรอกห้องข้างๆ พอจะนอนปุ๊บเปิดฟักบัว ไม่ใช่หรอกห้องข้างๆ พี่คิดในทางที่ดีไว้ก่อนนะ เป็นอย่างนี้ 6-7 ครั้ง จนพี่โมโห ลุกขึ้นมานั่งอะไรกัน ง่วงนอนจะตายแล้ว พี่ลุกไปดูในห้องน้ำไม่มีน้ำสักหยด ไม่มีเสียงชักโครกดัง พี่ก็เลยโทรศัพท์ให้คนขับรถที่อยู่ห้องข้างๆ พี่บอกให้มาเดี๋ยวนี้เลย เขาก็ถามเจ๊เจออะไร มาถึงปุ๊บให้เขาลากกระเป๋าพี่ออกไป แล้วไปนอนรวมกับคนขับรถและคนดูแลศิลปิน แต่พี่ก็นอนไม่หลับอยู่ดีเหมือนหนีผีมาปะอู่รถไฟ”

คลิปสัมภาษณ์ย้อยหลัง อ้อย กะท้อน

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6364120
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6364120