แม้แต่ Nomadland ก็ไม่อาจฝืนให้ "ศิลปะ" อยู่เหนือ "การเมือง" ได้
“And The Oscar Goes to…Nomadland” มันช่างเป็นวาทะอันหอมหวานแสนอภิรมย์ หากแต่วาทะ…
“A place where there are lies everywhere”
“เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องโกหกทุกหนแห่ง”
ซึ่ง “เธอ” กล่าวพาดพิงประเทศบ้านเกิดในปี 2013 กลับทำให้ความสำเร็จในค่ำคืนแห่งเกียรติยศ ได้รับเสียงตอบรับที่สุดแสนจะเย็นชา ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นบนดินแดนมาตุภูมิของตัวเอง
ไม่มีแฮชแท็กที่ควรถูกกระหน่ำจนติดเทรนด์ในโลกโชเชียลมีเดีย หรือเสียงชื่นชมยินดีในฐานะฮีโร่ของประเทศจากรัฐบาล เฉกเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับ บอง จุน โฮ (Bong Joon-ho) ผู้กำกับชาวเกาหลีใต้ ที่รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่จากภาพยนตร์ “ชนชั้นปรสิต” (Parasite) บนเวทีเดียวกันเมื่อปีที่ผ่านมา
หรือหากเทียบเคียงกับสิ่งที่ จาง อี้โหม่ว (Zhang Yimou) ผู้กำกับระดับบรมครูของจีนเคยได้รับในฐานะผู้กำกับจากแดนมังกรคนแรก ที่พาภาพยนตร์เรื่อง “จูโด (Ju Dou) เธอผิดหรือไม่ผิด” เข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมเมื่อปี 1990 มันก็ยิ่งแตกต่างกันชนิดสุดกู่
จาง อี้โหม่ว กลายเป็นฮีโร่ในฐานะผู้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศจีนภาพยนตร์หลายเรื่องต่อมาได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากรัฐบาล รวมทั้งยังได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ผู้กำกับพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่ง ที่ว่ากันว่าใช้เงินมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เมื่อปี 2008
ในขณะที่ “เจาทิง” ไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงแบบนั้นเลยสักนิด ไม่มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งการรายงานข่าวเพื่อสรรเสริญความสำเร็จที่เกิดขึ้น รวมไปจนกระทั่งถึง “ใครก็ตาม” ที่พยายามจะแสดงความยินดีกับความสำเร็จครั้งนี้ “ข้อความเหล่านั้น” ก็มักจะหายสาบสูญไปจากโลกโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว
และนั่นคือ มุมมองจากสื่อในโลกตะวันตกแทบทุกสื่อที่เรียงหน้าตั้งคำถามตัวโตๆ กับรัฐบาลปักกิ่งว่า เหตุใดจึงเลือกใช้ “การเมือง” ปิดกั้น “ศิลปะ“
แล้วในมุมของรัฐบาลปักกิ่งล่ะ พวกเขาตอบโต้คำถามที่ว่านั้นจากสื่อตะวันตกในรูปแบบใด?
หากพูดกันอย่างตรงไปตรงมา Nomadland คือ ภาพยนตร์ที่มีวิถีความเป็นอเมริกันแบบสุดโต่ง และยังห่างไกลจากชีวิตจริงของชาวจีน อีกทั้งการที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รางวัลออสการ์น่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้แล้วว่า มันต้องจริตสำหรับสังคมอเมริกัน
เอาละ แม้จะมีบางครั้งที่ความสนใจในภาพยนตร์ สำหรับชาวจีนและชาวอเมริกันจะทับซ้อนกันอยู่ในที แต่ในบางครั้ง มันก็มีความแตกต่างกัน แต่สำหรับ Nomadland น่าจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า!
บทบรรณาธิการของ Global Times สื่อกระบอกเสียงของรัฐบาลจีน “หยิกกลับ” สื่อตะวันตกที่เรียงหน้าพร้อมอกพร้อมใจกันตั้งคำถามที่ว่านั้น
แต่เดี๋ยวก่อน การตอบโต้ของ Global Times มิได้จบลงเพียงเท่านั้น เราไปฟังการ “หยิกคืน” ของปักกิ่งกันต่อดีกว่า
เมื่อครั้งที่ภาพยนตร์ Nomadland คว้ารางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globe) ชาวจีนต่างให้กำลังใจ “เจาทิง” กันอย่างล้นหลาม แต่ในเวลาต่อมาเมื่อทราบว่า เธอเคยกล่าวถึงประเทศบ้านเกิดอย่างไม่เหมาะสม มุมมองของชาวจีนที่มีต่อเธอก็เปลี่ยนไป
ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ โดยเฉพาะในยามที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนกำลังตึงเครียด ประเด็นนี้ย่อมทำให้ทั้งชาวจีนและชาวอเมริกันเกิดความอ่อนไหวได้
หากชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศจีนเวลานี้ ก็คงเกิดความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ และเช่นเดียวกัน หากชาวจีนเดินทางไปท่องเที่ยวในสหรัฐฯ เวลานี้ก็คงเกิดความรู้สึกที่แทบไม่แตกต่างกัน
ความสัมพันธ์ทวิภาคีที่เลวร้ายลงทุกขณะ กำลังบีบช่องว่างการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างผู้คนจากทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะผู้คนที่พยายามค้นหาโอกาสจาก “ศิลปะ” แขนงนี้ ที่กำลังจะมีโอกาสได้พบกับปัญหาและความวุ่นวายที่มองไม่เห็นอันเกิดขึ้นในอดีต จนกระทั่งทำให้พวกเขาพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายเกิดความพึงพอใจ
อย่างไรก็ดี การที่ “เจาทิง” ได้รับออสการ์ถือเป็นสัญลักษณ์ที่เด่นชัดแล้วว่า “เธอ” ประสบความสำเร็จบนแผ่นดินสหรัฐอเมริกา “เรา” หวังเป็นอย่างยิ่งว่า “เธอ” จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะมากขึ้นต่อไป
และในยุคที่การเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ บางทีทั้ง “เจาทิง” และ “ฮอลลีวูด” ควรก้าวเข้ามามีบทบาทในการลดแรงเสียดทาน และผสานความเข้าใจระหว่างทั้ง 2 ประเทศ โดยเฉพาะ “เจาทิง” ที่ได้รับรางวัลที่สุดแสนพิเศษอย่างรางวัลออสการ์ไปแล้ว “เธอ” จึงควรใช้มันในการขับเคลื่อนในประเด็นนี้อย่างจริงจังต่อไป
ที่ผ่านมา ตลาดภาพยนตร์ในประเทศจีน ทั้งเปิดกว้างและให้การต้อนรับภาพยนตร์จากฮอลลีวูดเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ฮอลลีวูดจึงควรกลายเป็นอีกหนึ่งความผูกพันระหว่างสังคมอเมริกันและสังคมจีน เพราะนอกจากจะสร้างประโยชน์ให้กับฮอลลีวูดเองแล้ว มันยังก่อให้เกิดความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างสองประเทศได้อีกด้วย
ในสุนทรพจน์ที่ “เจาทิง” กล่าวหลังพิชิตออสการ์ “เธอ” ซึ่งเกิดและเติบโตในประเทศจีน ได้อ้างอิงสำนวนที่มาจากตำราคลาสสิกของจีน ที่ชื่อว่า “ซันจื้อจิง” หรือ Three Character Classic (三字经) โดยสำนวนนั้นมีความหมายว่า “มนุษย์กำเนิดมาเป็นคนดีโดยธรรมชาติ”
ซึ่ง “เจาทิง” ได้ยึดหลักสำนวนนี้ เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาเวลาที่เผชิญกับความยากลำบาก
“สำนวนนี้ไม่ใช่เพียงแค่ “เธอ” แต่ยังรวมถึงทุกคนที่มีศรัทธาและกล้าหาญในการรักษาความดีงามกับตนเองและกับผู้อื่น เพราะไม่มีอะไรที่ยากเกินกว่าที่จะทำ”
“เรา” เห็นด้วยกับ “เธอ” เพราะการจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ เหนียวแน่นได้ ก็ต้องใช้ผู้ที่มีศรัทธาและกล้าหาญในการรักษาความดีงามกับตนเองและกับผู้อื่นเช่นกัน
และนั่นคือ เสียงสะท้อนของรัฐบาลจีนที่มีต่อทั้ง “Nomadland” และ “เจาทิง” หลังประสบความสำเร็จบนเวทีออสการ์ รวมถึงสื่อตะวันตกที่พร้อมใจกันตั้งคำถามเดียวกันอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันไว้
ในเวลาที่ การเล่นสงครามเย็นเพื่อแย่งชิงความเป็นหนึ่งของโลกกำลังเขม็งเกลียวขึ้นทุกขณะในทุกมิติ รวมถึงพร้อมที่จะหยิบฉวยทุกอย่างที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อเล่นงานอีกฝ่ายให้เพลี่ยงพล้ำ และนั่นคือ ความจริงอย่างที่สุดว่า การเมืองมันสามารถแทรกตัวลงไปได้กับทุกๆ เรื่องไม่เว้นแม้แต่ “วงการศิลปะ” ซึ่งควรจะปราศจากการถูก “แทรกแซง” ในทุกรูปแบบ หรือมันอาจเป็นเพราะ…
“ผลประโยชน์ย่อมอยู่เหนือสิ่งอื่นใด”
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
ข่าวน่าสนใจ:
ดูข่าวต้นฉบับ
ที่มา : https://www.thairath.co.th/scoop/culture/2078700
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/scoop/culture/2078700