พลอย ชิดจันทร์ ยอมทิ้งอาชีพเสี่ยงเพื่อรัก กว่าจะได้ลงเอยสามี เคน คุกเข่าทั้งน้ำตา


ให้คะแนน


แชร์

พลอย ชิดจันทร์ เปิดใจหมดเปลือก ยอมทิ้งอาชีพนักแสดง เสี่ยงเพื่อรัก กว่าจะได้แต่งงานกับสามีชาวฮ่องกง ครอบครัวสั่งห้ามคบ เคน ต้องคุกเข่าขอร้องทั้งน้ำตา

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

เป็นอีกหนึ่งสาวที่ประสบความสำเร็จทั้งในเรื่องความรัก ครอบครัว และการงาน เรียกได้ว่าเพียบพร้อมไปหมด สำหรับ พลอย ชิดจันทร์ เมื่อได้มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ CLUB FIRDAY SHOW ผลิตโดย CHANGE2561 เจ้าตัวก็ได้เล่าเรื่องราวทุกมุมของชีวิตกับสามีหนุ่มนักธุรกิจชาวฮ่องกง เคน ฮง และลูกๆ ทั้ง 4 คน ที่ทุกคิดว่าสวยงาม แต่กว่าที่จะเรียบและเดินสะดวกแบบนี้ จริงๆ แล้วก็ผ่านอุปสรรคมาไม่น้อย

ชีวิตสวยงามในวันนี้ ถ้าย้อนกลับไป พลอย ก็มีจุดเปลี่ยนอยู่หลายรอบเหมือนกัน เห็นว่าตอนเด็กๆอยากเป็นหมอ? พลอย ชิดจันทร์ : “ใช่ค่ะ เพราะว่าเราตั้งใจเรียนสายวิทย์เพื่อเป็นหมอ แล้วพอได้มีโอกาสมาประกวดดัชชี่ ที่มาประกวดได้เพราะว่าพลอยเป็นเชียร์ลีดเดอร์ตั้งแต่อนุบาลถูกทางโรงเรียนจับให้เป็นทุกปี ซึ่งตอนที่เราเป็นลีดอยู่ในงานก็มีพี่ที่เป็นแมวมองโมเดลลิ่งดังที่เชียงใหม่ ชื่อพี่กานต์ เขาก็มาดูเด็กๆ แหละว่าเด็กคนไหนมีแววบ้าง เริ่มแรกก็มีงานเดินแบบถ่ายแบบที่เชียงใหม่ แล้วพี่เขาก็ส่งเราเข้าประกวด ซึ่งพี่เขาเป็นคนจัดการให้เราทุกอย่าง เรามารับรู้อีกทีคือเราเข้ารอบแล้ว เราเลยต้องไปคัดเลือกสำหรับภาคเหนือ ถามว่าสิ่งนี้เคยอยู่ในความฝันของพลอยไหม แรกๆ เรามาทางสายเชียร์ลีดเดอร์แต่ว่าเหมือนมันพาไปมากกว่า แต่พลอยเป็นคนที่ชอบดูละครนะคะ ตอนเด็กๆ เพราะดูละครกับย่า”

แล้วที่บ้านสนับสนุนในการทำงานด้านนี้ของพลอยหรือเปล่า? พลอย ชิดจันทร์ : “ที่บ้าน คุณแม่ก็ซัพพอร์ตนะคะ มารับมาส่ง แล้วเขาก็มาลุ้นกับเราด้วยเพราะตอนนั้นเราเด็กที่สุดด้วย พอได้ตำแหน่ง พลอยก็ได้ไปแคสติ้งในที่ต่างๆ แล้วก็ได้เข้ามาในวงการแสดงช่อง 3 ก็เลือกเราให้มาเซ็นสัญญาทำงานด้วย เราก็เริ่มมีละครมีงานต่อเนื่อง มันก็เอ็นจอยสนุกกับการทำงาน และด้วยความที่เราไม่ได้เรียนอะไรเกี่ยวกับการแสดงหรืออะไรมาเลย เราเลยรู้สึกว่าอยากจะเรียนเสริมทางนี้ก็เลยเบนเข็มจากหมอ ไปสอบที่มศว. คณะศิลปกรรมการแสดงและกำกับการแสดง แล้วก็สอบได้ที่หนึ่งเลย แรกๆ ที่เราเล่นละครก็จะมาแบบสาวหวาน แล้วพอมาเล่นร้ายเรื่อง ปี่แก้วนางหงส์ เป็นสาภีในยุคอดีต เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากๆ แต่พลอยสนุกมากๆ แล้วพอออกมาหลายๆ คนก็ยังพูดถึง”

เห็นว่าเรื่องนั้นบูมมากจน เรน เลือกให้เป็นนักแสดงอีกคนไปแสดงโฆษณาด้วย เป็นนางเอกเลย ซึ่งเขาก็เลือก พลอย เองด้วย? พลอย ชิดจันทร์ : “คือเขาก็บอกว่าเขาส่งไปหลายคนแล้วให้ทางนู้นเลือกมา ซึ่งตอนนั้น เรน เขาก็ดังมาก เราก็ดีใจเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ตื่นเต้นเหมือนกันแล้วเราก็เป็นแฟนคลับของเขาอยู่แล้ว ดู Full House ที่เขาแสดงชอบมากดีใจ จากตอนนั้นถึงตอนนี้ 13 ปีแล้วค่ะ สำหรับโฆษณาตัวนั้นนับว่าเป็นโอกาสที่ดีของเราอีกชิ้น”

ในชีวิต พลอย ก่อนที่จะมาเจอ คุณเคน เคยอกหักไหม? พลอย ชิดจันทร์ : “ไม่เคยเลยค่ะ (ยิ้มๆ)”

แต่เมื่อได้มาเจอ คุณเคน ก็มีโจทย์มีปัญหาอยู่ไม่น้อย เจอกันได้ยังไง? พลอย ชิดจันทร์ : “เจอกันครั้งแรกที่บ้านย่าของพลอยเพราะว่าพี่เคนเขามากับคุณอา พี่เคนเขาเป็นลูกหุ้นส่วนของคุณอา ก็มาร่วมงานปีใหม่ของที่บ้านเพราะตอนนั้นเราก็ทำงานอยู่กรุงเทพฯ แล้วเราก็บินกลับไปงานที่บ้านเราก็ได้ไปเจอเขาวันนั้นครั้งแรกที่งาน ตอนที่เจอเขาครั้งแรกก็ไม่ได้ปิ๊งอะไรขนาดนั้น แต่ว่าพอมาคิดย้อนหลังถึงทุกวันนี้แบบ.. มันก็มีอะไรนิดนิด ความจริงมันก็รู้สึกพิเศษนิดหนึ่งแต่วันนั้นเราก็ไม่ได้รู้สึกอะไรขนาดนั้น เขาเป็นคนฮ่องกง-จีน ส่วนมากที่เราคุยกับเขาเลยเป็นภาษาอังกฤษอย่างเดียวเลยเพราะตอนนั้นเขาก็ยังไม่ค่อยได้ภาษาไทย ตอนนั้นที่เจอเขา พลอยก็ถ่ายหนังแล้วก็เล่นละครเรื่องแรกเลยค่ะ”

ที่พลอยบอกว่าเจอกันครั้งแรกก็รู้สึกพิเศษเหมือนกัน แล้วความรู้สึกพิเศษนั้น คืออะไรเอ่ย? พลอย ชิดจันทร์ : “ถ้าพูดตอนนี้ พลอยว่าตอนนี้รู้ตัวว่าเราน่าจะเป็นคนชอบคนตี๋ๆ เพราะเราชอบหนุ่มลักษณะแบบนี้อยู่แล้ว ส่วนปัญหาที่ได้เจอก็คือระยะทาง หรือมันจะยากหรือเปล่าสำหรับความสัมพันธ์ที่มันห่างแบบนี้ แต่ตรงนั้นที่เราเขว ไม่ใช่ประเด็นหลักๆ มากกว่ามันเป็นเพียงองค์ประกอบโดยรวมๆ เพราะที่บ้านเราที่บ้านเขาก็ดูจะเป็นไปได้ยากค่ะ”

แปลว่าครอบครัวเราไม่ค่อยถูกใจคนนี้ และครอบครัวเขาก็ดูเหมือนกับไม่ถูกใจเราเหรอ? พลอย ชิดจันทร์ : “เพราะด้วยความที่เราพูดภาษาจีนไม่ได้ และไม่ได้เจอคุณพ่อคุณแม่ของเขาด้วย เพราะว่าคุณพ่อเขาไปมาๆ แต่คุณแม่เขาอยู่ฮ่องกงตลอด แล้วคุณอาก็มาบอกคุณแม่ของเราบ้างแหละว่าตอนนี้คุณพ่อของเขาอยากให้เขาแต่งงานแล้วนะ เหมือนธรรมเนียมที่บ้านเขาจะมีการหาคนที่เหมาะสมคู่ควรให้กัน พี่เคนเขาก็ไม่ได้ทำให้พลอยรู้สึกว่าเขาฟังตามนั้นหรือเขาจะทำแบบนั้น เพราะอันนี้ก็เป็นเรื่องที่พิสูจน์ใจเยอะเหมือนกัน มันมีอุปสรรคปัญหาอะไรเยอะ ที่บ้านเขาอยากให้เขาแต่งงานเหมือนพาเขาไปดูตัว แล้วเขาก็จะมีสินสอดที่เว่อร์วังมาก สำหรับคนจีนคือถ้าแต่งงานกันผู้หญิงจะต้องเป็นฝ่ายให้เพราะเหมือนเขาออกมาจากบ้านเขา เขาก็จะเหมือนให้เงินก้อนหนึ่งติดตัวมาเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ซึ่งที่คุณอามาบอกคุณพ่อคือ สินสอดที่เขานำมา ร้อยกว่าล้าน พอแม่เราได้ยินท่านก็คิดว่าเราคงไม่ใช่อนาคตของลูกเขา แม่เราก็จะบอกเราว่าโอเคเรื่องรักกัน เรื่องอะไรเขาเข้าใจแต่ก็ต้องดูทุกอย่างด้วย แต่พี่เคนเขาก็ปฏิเสธพ่อเขา เขาก็ดื้อเขาก็บอกไม่เอา ไม่เอาจริงๆ ทางพ่อเขาก็อยากให้เป็นอย่างที่เขาเตรียมไว้ ส่วนแม่เราก็ไม่อยากให้เราเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องทะเลาะกับพ่อ เราก็พิจารณาตัวเองหรือเราต้องถอยออกมาด้วยไหม”

ย้อนกลับไปตอนนั้นที่พ่อเขาก็บินไปบินมา แล้วตัวเขาก็บินไปบินมา แล้วเขาเคยพาเราไปเจอพ่อเขาบ้างไหม? พลอย ชิดจันทร์ : “ไม่เลย ไม่เคยเจอเลย แต่เคยเจอแบบผ่านๆ สมมติว่าพ่อเขามาคุยกับคุณอาแล้วก็เห็นแบบผ่านๆ แต่ไม่เคยมานั่งคุย กินข้าว หรือเจอกัน ไม่เคยเลยค่ะ เพราะเราคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง”

แล้วเขารู้ไหมว่าเราเป็นแฟนลูกชายเขา? พลอย ชิดจันทร์ : “ทราบค่ะ แต่ตอนนั้นเราคิดว่าเขาต้องเหม็นเราแน่เลย เพราะว่าเราทำให้ลูกเขาไม่ทำตามที่เขาอยากได้”

แต่ทางคุณพ่อคุณแม่ของพลอย บอกว่าให้หยุด หรือแปลสั้นๆ ออกมาคือ ให้เลิกกัน แต่ก็มีเหตุการณ์หนึ่งคือ คุณเคน คุกเข่าขอคุณแม่พลอยด้วยตัวเอง ขอคบลูกสาวต่อ? พลอย ชิดจันทร์ : “คือตอนนั้นเราก็ทำตามที่พ่อแม่เราขอ เราก็เลิก เราก็หายไปจากเขา ไม่ตอบอะไรเขาเลยเขาโทรศัพท์มาเราก็ไม่รับ เราหายไปอาทิตย์หนึ่งประกอบกับตอนนั้นเราไปเที่ยวทะเลกับแม่ อยู่เกาะด้วยแหละค่ะ เราก็ปิดเครื่องเงียบหายไปเลย แต่ก่อนหน้านั้นเราก็คุยกับเขาแล้วว่ามันยาก แล้วอีกอย่างเขาก็มีแผนของเขา ของที่บ้านเขา เขาก็ควรที่ต้องทำให้สิ่งที่มันเป็นหน้าที่ของเขา เราก็มีหน้าที่ของเรา จะให้เราแต่งงานตอนนี้มันก็ไม่ได้อยู่ดี มันดูขัดแย้งกันไปหมดแล้วเหมือนเขาคงอยู่ไม่ได้ ตอนนั้นเขาอยู่เชียงใหม่ เขาก็ขับรถมาเลยแบบไม่จอดไม่พักเลยขับมาอย่างเดียว เขาก็มาหาที่พลอยอยู่กับแม่ เขาก็มาแล้วเขาร้องไห้ ซึ่งครั้งนั้นเป็นครั้งเดียวที่เห็นพี่เคนร้องไห้ขนาดนั้น เพราะตั้งแต่ที่อยู่กันมาจนถึงตอนนี้ เรายังไม่เคยเห็นเขามีน้ำตาเลย เป็นน้ำตาลูกผู้ชายจริงๆ ที่เขาร้องไห้แล้วเขาก็คุกเข่าบอกแม่เราว่า ขอคุยกับพลอยหน่อยได้ไหม เพราะเขารู้ว่าแม่ของเราห้าม ในตอนนั้นแม่ก็ให้คุยกัน”

พลอย ชิดจันทร์ : “พอได้คบกันมาถึงวันที่เขาไม่ได้แล้ว เขาต้องแต่งงานแล้ว ตอนแรกเราอยากให้อีก 2 ปีค่อยแต่งเพราะว่าเราอยากเรียนให้จบ คือหน้าที่ที่แม่เราอยากให้เราทำให้สำเร็จ เราก็ต้องทำเรื่องเรียน เรื่องงาน คือจริงๆ มันก็หน้าที่ของเราด้วยแหละที่เราก็ทิ้งไปไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้แล้วจริงๆ เพราะทางพ่อเขา เราก็เข้าใจเขามากจริงๆ ว่าเขาโดนเยอะ แล้วช่วงนั้นคุณย่าของเขาก็ป่วย เขาอยากให้มีงานมงคลก่อนที่คุณย่าจะป่วยมากกว่านี้”

ที่พ่อเขาเร่งให้แปลว่าตอนนั้นพ่อของคุณเคนเขาโอเคกับเราแล้วหรือเปล่า? พลอย ชิดจันทร์ : “เหมือนพ่อเขาก็ก้ำๆ กึ่งๆ พลอยว่าไม่เชิงโอเคแต่ว่าบังคับไม่ได้แล้ว เพราะว่าพี่เคนก็ไม่จริงๆ เพราะเวลาที่พี่เคนดื้อ เขาจะไม่พูดเลยแบบไม่คุยด้วยไม่แบบอะไร พลอยว่าเขาก็คงจะดื้อกับพ่อเขาพอสมควร เขาคนชัดเจน มีความรู้สึกว่าเขาชัดเจนจริงๆ ว่าเขาไม่คือไม่ ตอนนั้นเราเลยต้องตัดสินใจ เพราะว่าถ้ารอบนี้เราบอกว่าไม่ ก็คือคราวนี้จบจริงแล้ว ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการเพราะว่าเราคบกันมาขนาดนี้แล้ว เราก็รู้สึกว่าเขาก็ใช่สำหรับเราแล้ว ซึ่งตอนที่พลอยไปบอกคุณแม่คุณพ่อว่า จะแต่งงานตอนนั้นมันยากมากเป็นอะไรที่เรารู้สึกว่ามันยาก แล้วเขาจะเข้าใจเราไหมอะไรอย่างนี้ เราก็ร้องไห้เข้าไปก่อนเลย โดนที่ท่านยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เราบอกท่านว่าเราเลือกแล้ว เราขอเลือกแบบนี้ เพราะมันเป็นครั้งแรกที่เราเลือกจะไม่เชื่อฟังเขา เพราะทุกครั้งเราจะคุยกันแล้วสรุปสุดท้ายคือเป็นไปตามทำตามที่พ่อแม่ว่า แล้ววันนั้นคือเป็นครั้งแรกด้วยที่ได้บอกพ่อกับแม่ว่า จริงๆ แล้วก็ได้แอบคบกับพี่เคนมาตลอด ซึ่งท่านไม่ได้ยอมรับแล้วไม่ได้พอใจ แต่เรารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เราเลือกแล้ว จริงๆ เราขอแบบนี้นะ ซึ่งเขาก็รู้เหตุผลของฝั่งพี่เคนแหละว่าทำไมเพราะอะไร แล้วพี่เคนต้องเจอกับอะไร ซึ่งอารมณ์ตอนนั้นเราก็เหมือนจะสู้ไปด้วยกันกับพี่เคน เพราะเราเองก็ยังไม่รู้ด้วยว่าพ่อแม่ของสามีเขาจะอย่างไรกับเราด้วยซ้ำ แต่เราสองคนรู้แค่ว่าเราโอเคกัน เราจะไม่เลือกใครแล้ว แล้วเขาก็รู้ว่าเขาเลือกเราแล้วแค่นั้นเลยแล้วๆ”

และอีกเรื่องที่ถ้ามองย้อนกลับไป คือสิ่งที่แรงที่สุดที่เข้ามากระทบในชีวิต คือวันที่ พลอย ออกมาแถลงข่าว เป็นวันที่เรามีน้องอยู่ในท้องแล้ว 7 เดือน ก็มีข่าวออกมาต่างๆ นานา แน่นอนพอออกมาแถลงข่าวว่ามีน้อง ก็มีข่าวว่าท้องก่อนแต่งส่วนใหญ่ไปในทิศทางนี้ พูดได้ว่า พลอย ไม่ได้อธิบายในเรื่องนี้เลย? พลอย ชิดจันทร์ : “คือเราไม่ได้อธิบายไทม์ไลน์ขนาดนั้น เหมือนเราได้มาคุยกันตั้งแต่แรก วันนั้น เราก็อธิบายเพียงแค่ว่าที่เขียนอักษรย่อกันคือเราแหละ แต่เราแต่งงานกันแล้วนะ แต่เราไม่ได้อธิบายว่าเราแต่งงานกันมานานแล้ว แต่แต่งกันเงียบๆ เฉพาะคนในครอบครัวเราที่รู้ ซึ่งในรายการ Club Friday Show เป็นครั้งแรกของพลอยเลยค่ะ ที่มานั่งเล่าไทม์ไลน์ ทั้งหมดแบบละเอียดมาก”

ซึ่งอาชีพที่พลอยใฝ่ฝันคือหมอ แล้วเปลี่ยนมาเป็นการแสดง สุดท้ายอาชีพจริงๆ ของพลอยคือ นักธุรกิจ แล้วเป็นแม่บ้านแบบเต็มตัวในการเลี้ยงลูก? พลอย ชิดจันทร์ : “ตอนนั้นเหมือนเราไปเริ่มต้นสตาร์ทชีวิตใหม่ ชีวิตของเราก็พลิกอีก เราก็ต้องมาโฟกัสภาษาของเราต้องได้ล่ะเพื่อสื่อสารกับครอบครัวสามี ลูกค้าธุรกิจ เราต้องช่วยเขาได้ ซึ่งทุกวันนี้เราก็คุยได้เลยคุยกับคุณพ่อได้ตลอดแล้วค่ะ พอคุยกันจริงๆ คุยพ่อเขาก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด แรกๆ เราก็จะคิดว่าเขาดูดุมากค่ะ แต่พอได้คุยกับเขาจริงๆ คือเขาสอนเราเยอะมาก ภาษาที่พลอยได้ทุกวันนี้ พลอยก็ได้มาจากคุณเลยค่ะ เพราะคุยกับเขา เขาก็จะโต้ตอบสอนเราด้วย เขาก็จะ FaceTime มาเลยค่ะ เพื่อจะคุยกับพลอย เพราะเขากลัวว่าถ้าเขาโทรมาเขาจะคุยกับพลอยไม่รู้เรื่อง เขาต้องเห็นหน้าคุยอธิบายมันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งพี่เคนเขาคงมั่นใจในตัวเราว่าเราได้ เราเอาอยู่ เราจัดการได้ เราทำได้แหละเขาก็เลยให้เราคุยกับพ่อไปเลยเรื่องนี้ พลอยก็ต้องขยันขึ้นมากๆ ซึ่งคุณพ่อจะโทรมาคุยงาน 8 โมงเช้า”

คุณพ่อคุณแม่เขาเคยเหมือนไม่เลือกเรา เขามีกำแพงกับเราไหมช่วงแรก? พลอย ชิดจันทร์ : “พลอยก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันยากขนาดนั้นนะคะ คุณแม่น่ารักมากใจดีมาก เป็นคุณแม่ที่เข้าใจนะคะ ส่วนคุณพ่อก็คงจะมีแผนในมุมนักธุรกิจการทำงานของเขาที่พลอยก็เข้าใจ แต่ในเมื่อมันไม่เป็นแบบนั้นเขาก็เข้าใจยอมรับได้ ตั้งแต่ที่พลอยมาอยู่กับครอบครัวเขาก็รู้สึกดีตลอด ไม่ได้มีความรู้สึกแบบที่เรากังวลเลย มันคือความคิดที่เราคิดไปเองทั้งนั้น”

จนตอนนี้ พลอย คือสะใภ้คนโปรด เพราะคุณพ่อคุณเคนรักพลอยมาก คุยกับลูกสะใภ้มากกว่าลูกตัวเองแล้วทุกวันนี้? พลอย ชิดจันทร์ : “ใช่ค่ะ ทุกวันนี้เป็นแบบนั้นเลยค่ะ”

นี่อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายๆ คนที่มีปัญหาในความรัก พ่อแม่เขาไม่ชอบเรา หรือพ่อแม่เราไม่ชอบเขา ที่สำคัญสุดคือ คนสองคนจริงๆ? พลอย ชิดจันทร์ : “เขาคงเห็นความพยายามของเรา สุดท้ายเขาก็ยอมรับ เขาอยู่ไหนเราก็อยู่นั่น เป็นการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ของพลอยเลยในตอนนั้น ซึ่งพี่เคนก็พูดกับพลอย ประโยคหนึ่ง You Jump I Jump ด้วยกันนะ”

แล้วแฮชแท็กอาชีพ พลอยชิดจันทร์ มายังไง? พลอย ชิดจันทร์ : “คงเป็นเพราะเขาเห็นว่าเราดูชีวิตดีดูสบายอะไรอย่างนี้ด้วยมั้งคะ แล้วอาจจะมีการให้ของขวัญกันอะไรอย่างนี้ในช่วงระยะเวลาตรงนั้น ช่วงตรุษจีน สามีก็ให้อังเป่าเป็นทองสี่แท่ง เพราะว่ามีลูก 4 คน เป็นทอง 4 กิโล สี่กิโลก็ประมาณ 6-7 ล้านบาทค่ะ สิ่งที่เราให้สามีคือเขาก็เล็งๆ รถรุ่นหนึ่งไว้ เราก็เซอร์ไพรส์โดยการที่เราไปซื้อตัดหน้าให้เขาก่อน ซึ่งเป็นรถ Bentley มันก็ไม่ใช่เรื่องของมูลค่าด้วยค่ะ เพราะนานๆ เราถึงจะให้กันที เพราะเราก็บอกเขาว่าอันนี้รวมหมดแล้วนะทุกเทศกาล แต่ก็ผ่อนนะไม่ใช่ซื้อเลย”

แต่เขาก็ให้คนรอบตัวเขาด้วยอันนี้เป็นสิ่งน่ารักนะ คือการให้โบนัสลูกน้อง? พลอย ชิดจันทร์ : “ใช่ค่ะ อันนี้เป็นสัญญาให้กันไว้ คือพี่ๆ ทีมนี้เริ่มก่อตั้งกับเราค่ะ เราก็สัญญากันว่าถ้าอยู่กันคบ 10 ปี เราจะมีแจกโบนัสนะ เหมือนเราเก็บเงินให้ เป็นโบนัส คนละ 500,000 บาท ซึ่งตอนนี้ที่เราทำอยู่คือ มีส่งออกลำไยอบแห้ง ผลไม้สด คือสามีเองเขาก็ทำตรงนี้มาตั้งแต่แรกแล้วเราก็มาช่วยเขาทำมีขนส่งด้วย ล่าสุดกำลังจะเปิดคาเฟ่ค่ะ”

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6388619
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6388619