ฟลุค จิระ วอนผู้รับผิดชอบชัดเจนในคำสั่ง ลั่นหมดความเชื่อถือแล้ว


ให้คะแนน


แชร์

ฟลุค จิระ วอนผู้รับผิดชอบ ชัดเจนในคำสั่ง อย่ากลับไปกลับมา สงสารพนักงานผิดหวังอดทำงาน ลั่นหมดความเชื่อถือแล้ว

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

หลังจากที่ดาราหนุ่ม ฟลุค จิระ ด่านบวรเกียรติ และ แอปเปิ้ล สีสะเหงียน ภรรยา ต้องดีใจเก้อ หลังจากเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดคลินิกเสริมความงาม CENTRAL CLINIC เพื่อให้บริการกับลูกค้าในวันที่ 1 มิ.ย. แต่ต้องมาเจอประกาศใหม่ให้สั่งปิดต่อยาวๆ ไปอีก 14 วัน ทำให้ทั้งคู่ออกมาโพสต์ขอโทษลูกค้าและความรู้สึกที่เสียไป ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด ฟลุค จิระ ได้เปิดใจกับทาง “ข่าวสดบันเทิงออนไลน์” ถึงเรื่องที่คลินิกต้องปิดต่อไปอีก 14 วัน ว่า “เฮ้อ…ใช่มั้ย คิดว่าใช่มั้ย ตอนนี้ความมั่นใจของเราหรือว่าความน่าเชื่อถือของสิ่งที่เราได้ยินมามันเชื่อถือไม่ได้แล้ว เดี๋ยวก็เปิดเดี๋ยวก็ปิด เดี๋ยวบอกปิดก็บอกว่าปิดเดี๋ยวนี้เลย พอบอกจะเปิดเราก็เตรียมตัวเสร็จปุ๊บมาบอกว่าปิดอีกแล้ว พอเป็นแบบนี้มันทำให้สิ่งที่เราคาดหวังหรือที่เราแพลนตั้งใจไว้มันไม่เกิดขึ้นเลย”

“ยิ่งทำให้ความเสียหายมันมากขึ้นอีก จากที่มันเสียหายอยู่แล้วแทนที่จะเพียงพอแค่นี้ หรือว่ามีการตั้งเป้าให้ชัดเจนเช่นว่าบอกเลย 3 เดือนปิด ผมจะได้ให้พนักงานปรับไปทำอย่างอื่น แต่ทีนี้พอเราแพลนแล้วว่าเดี๋ยววันนี้เราจะเปิด สิ่งที่เราต้องทำก็คือสต๊อกสินค้า แจ้งลูกค้า ลงบุ๊กนัด สุดท้ายกลายเป็นไม่ได้เปิด สิ่งที่เราเตรียมไว้ก็เสียเปล่า ทำได้อย่างเดียวคือขอโทษลูกค้าและขอโทษพนักงาน

“เคสล่าสุดมันไม่ใช่เรื่องว่าไม่ได้เปิดแล้วผมไม่แฮปปี้ แต่เป็นเรื่องเดี๋ยวบอกปิดเดี๋ยวบอกเปิด มันเป็นเรื่องของความรู้สึกที่ทำให้เรามีความหวังแล้วเราผิดหวัง ซึ่งมันก็สืบเนื่องไปว่าความน่าเชื่อถือมันไม่มีอีกแล้ว พูดมากี่ครั้งก็ไม่เคยตรงกับที่พูด”

ตอนช่วงเช้าที่ทราบว่าจะได้เปิดคลินิก เบิกบานหัวใจเบิกบานขนาดไหน? “แว้บแรกคือไม่เชื่อข่าวว่าจะได้เปิดเหรอ คนติดเชื้อวันนี้ตั้งหลายพันคน ผมก็ไปสืบต่อ ไม่ได้ใจร้อนว่าได้เปิดแล้วจะดำเนินการทำอะไรเลย น้องๆ ก็ส่งข้อความมาบอก ผมก็ถามเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องที่เรารู้จัก ทุกคนบอกว่าประกาศแบบนั้นก็คงเปิด เพื่อนที่ทำคลินิกด้วยกันผมก็ถามว่าสรุปเปิดมั้ย ทุกคนเปิดหมด แถมคลินิกอื่นโพสต์แล้วด้วยว่าเปิด”

“ผมรอบคอบขนาดนี้ว่าเปิดได้จริงๆ หรือเปล่า จนสุดท้ายมั่นใจว่าได้เปิดผมก็เลยช้าไม่ได้รีบให้กราฟิกทำแอดมาเพิ่มเติมและเริ่มประโคมรีบโพสต์บอกลูกค้า ผลลัพธ์ก็คือหลังจากโพสต์ไม่ถึงชั่วโมงบุ๊กนัดเต็มทุกช่วงเวลาทุกวันทุกห้อง ลูกค้ามีความอยากมาอยู่แล้ว ผมเชื่อว่าถ้าได้เปิดเราต้องมีรายได้เข้ามา ผมก็มีความหวังและพนักงานก็เบิกบานมาก”

“พอเบิกบานจากความที่ลูกค้าจองคิวเข้ามา เราคุยเล่นในกรุ๊ปสนุกสนานมาก จะทาลิปสีอะไรกันมา จะแต่งตัวยังไง นัดกันแต่งดีมั้ย ไม่ใส่ยูนิฟอร์ม แต่ใส่กันสบายๆ เพราะว่าน่าจะต้องรับลูกค้าเยอะ รู้ว่าเหนื่อยกันแน่แต่ทุกคนก็อยากทำ ยาเอาไปส่งที่สาขาเพราะเดี๋ยวเปิดแล้วไม่มียาขาย”

“เนื่องจากเราปิดคลินิกระบบบุ๊กนัดอยู่ในคอมพิวเตอร์ที่คลินิก ฉะนั้นพอจะลงบุ๊กนัดครั้งนี้ก็ต้องใช้วิธีเขียนเอา โดยการเอากระดาษเอ4 ตีตารางทำบุ๊กนัดเหมือนในคอมฯ ทุกคนตื่นเต้นและตั้งใจกันมากที่จะได้ทำงานหลังจากหยุดมาเป็นเดือนแล้ว”

“แต่ความหวังตรงนี้มันหายไปตอน 3 ทุ่มแล้วเพิ่งมาบอกว่ายังเปิดไม่ได้ ชะลอออกไปก่อน ผมงงว่าเกิดอะไรขึ้น หน้าที่ของเราคือไม่รู้จะปลอบใจพนักงานยังไงในเมื่อตัวเราเองยังเซ็งเลย ผมว่ามันไม่น่าพลาดในเรื่องแบบนี้ มันทำให้ความน่าเชื่อถือไม่มีเลยจริงๆ”

หลายคอมเมนต์บอกว่าเล่นขายของกันอยู่หรือเปล่า ไม่นึกถึงใจผู้ประกอบการเลย? “ผมไม่อยากโทษใครมาก ไม่อยากต้องตำหนิการทำงานของใคร แต่ผมจะพูดในมุมมองที่เราโดนกระทำที่เรารู้สึก บางทีการสั่งการคำสองคำมันอาจจะไม่ได้กระทบกับตัวคนที่สั่งการ แต่ว่าคนที่ต้องทำตามคำสั่งเขาเสียหายเยอะ เขามีความจำเป็นหลายๆ อย่างที่เป็นผลกระทบที่มันเสียหายเป็นตัวเงิน ไม่ได้เสียหายเรื่องความรู้สึกอย่างเดียว”

“อย่างตอนที่หยุดไปเป็นเดือนพนักงานบางคนไม่รู้ว่าจะอยู่จ่ายค่าห้องที่กรุงเทพฯ ทำไม เลยกลับต่างจังหวัด แต่พอรู้ว่าต้องทำงานก็เดินทางกลับมากรุงเทพฯ สุดท้ายพอถึง 3 ทุ่มบอกว่าไม่เปิด แล้วจะยังไงในเมื่อเขานอนอยู่ที่ห้องเพื่อรอทำงานในวันรุ่งขึ้นแล้ว เขาคงผิดหวังมาก ผลกระทบและความรู้สึกแบบนี้คนที่เกี่ยวข้องต้องเห็นใจมากกว่านี้ ไม่ใช่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเพราะยิ่งทำให้เรื่องมันยิ่งแย่ลงจากที่มันแย่อยู่แล้ว”

“ขนาดผมที่คิดว่าตัวเองยังโชคดีที่พอมีช่องทาง ผมยังเหนื่อยยังแทบไม่ไหวเลย พนักงานเราจะไหวได้ยังไง ผมก็เลยเห็นความสำคัญของพนักงานมาก ที่ผ่านมาผมช่วยเหลือหลายๆ ด้านเพื่อให้เขาอยู่ได้และยังคงสภาพเป็นพนักงานกับเรา ล่าสุดผมออกเงินกู้ให้เขา ผ่านมาหลายเดือนเขาไม่มีเงิน แต่ยังมีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเช่นค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ บัตรเครดิต แล้วมันก็จ่อก้นพวกเขาทุกคน”

“รู้ว่าเครียดขนาดไหนเลยให้พนักงานผ่อนยาวๆ เป็นปีไม่คิดดอกเบี้ย กู้เราไปเพื่อให้เขาไปเอาตัวรอดในช่วงนี้ก่อน แต่ไม่ใช่ว่าเขามีหนี้บัตรเครดิต 50,000 แล้วมากู้จากเรา เราไม่ได้เป็นคนไปปิดบัตรให้เขา แต่เรามองว่าอะไรที่มีความจำเป็นก็จะอนุมัติเป็นเคสไป ผมเรียกชื่อโครงการนี้ว่า “กู้สู้โควิด” ส่วนกล่องกำลังใจส่งไปสองรอบแล้ว กำลังจะส่งรอบที่3

อยากฝากอะไรไปถึงคนที่มีอำนาจหน้าที่ตรงนี้บ้าง? “ผมเคยฝากรอบที่แล้วไปว่าการที่เขาช่วยเหลือแบบลดค่าใช้จ่าย เช่นจ่ายประกันสังคมน้อยลง จ่ายอะไรน้อยลงแต่ก็ต้องเก็บอยู่ดี อยากให้เปลี่ยนเป็นการให้เราได้บ้างมั้ย แต่รอบนี้มันเป็นอีกแบบหนึ่งประเด็นคือเรื่องความชัดเจน เพื่อให้คนเชื่อถือก่อน ไม่ใช่ว่าทำอะไรกลับไปกลับมาเพราะมันหมดความน่าเชื่อถือ

“คำพูดที่พูดมาไม่มีประโยชน์ พูดมาแล้วไม่ใช่คำมั่นสัญญา ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ไม่ใช่ว่าเขาโกหกแต่มันฟังแล้วมันเชื่อถือไม่ได้ ผมเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่กำลังรู้สึกแบบนั้น แล้วยิ่งเหตุการณ์นี้ยิ่งทำให้ผมรู้สึกหมดเลย มันเล่นกับความรู้สึกของคนทั้งที่เขาไม่ได้ตั้งใจจะเล่นหรอก”

“แต่การกระทำแบบนั้นมันทำให้คนเรารู้สึกแย่โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มันหนักหนาและต้องการกำลังใจ แทนที่จะมีความรู้สึกทางบวกขึ้นเรื่อยๆ มีความหวัง ออกมาพูดออกมาประกาศอะไรแต่ละที ควรจะให้ความหวังคน ไม่ใช่พูดแล้วก็ยิ่งทำให้คนเบื่อหน่าย

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6431676
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6431676