บวกกับอุปนิสัยของผู้ชายคนนี้มองโลกตามวิสัยนักธุรกิจ พลิกการเกษตรแนวเก่า เดินตามเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามแนวพระราชดำริของร.9 เกี่ยวกับการจัดพื้นที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยและมีชีวิตอย่างยั่งยืน 

“สำหรับใครที่เป็นชาวไร่ ชาวนา จะรู้ว่าปลูกข้าวเนี่ย คุณจะได้ไร่ละประมาณ 3,000 บาท ส่วนใหญ่แล้วคือขาดทุน แต่คำนวณไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าการทำบัญชีคืออะไร เขาไม่รู้ด้วยว่า เขาทำแล้วขาดทุนอยู่

แต่พอผมไปชี้ถามเกษตรกรไปว่า แค่ค่าปุ๋ยไร่ละพันบาท ค่าเช่ารถไถไร่ละ 500 บาท ถ้าเกิดว่าข้าวขึ้นจ้างคนมาเกี่ยวไร่ละ 800-1,200 บาท ทุน 3,000 บาทต่อไร่ แล้วตันหนึ่งคุณได้ 8,000 บาท แสดงว่าคุณขาดทุนนะครับ แล้วเขาตอบผมว่าไรรู้ไหม ถึงขาดทุนก็ต้องทำ เหมือนกับว่าชะลอวันที่ไม่เหลืออะไรจริงๆ”

ภูมิเล่าว่า เราต้องเข้าใจวิถีชาวบ้าน บางหมู่บ้านน้ำประปายังเข้าไม่ถึงเลย เวลาไปซื้อของจะใช้การเซ็นชื่อไว้ก่อน ไม่ว่าจะซื้ออาหารหรือข้างของเครื่องใช้ พอวันที่เกษตรกรเหล่านี้มีข้าวขาย จะได้เอาเงินไปคืนเขาตามที่เซ็นชื่อเอาไว้ ดังนั้นดีเจภูมิจึงอยากจะลองแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยแนวคิดเกษตรทฤษฎีของพ่อหลวง ร.9 

“เอาความอุดมสมบูรณ์กลับเข้าไปอยู่ในไร่ ง่ายมาก สมมติคุณมีไร่อยู่ 100% แปลงหนึ่ง คุณขุดแหล่งน้ำ 30% แล้วต้องมีคลองไส้ไก่ด้วย คลองไส้ไก่เนี่ย มันให้ความชุ่มชื้นดินตลอด พอไปใส่แหล่งน้ำ ข้าวจะปลูกปีหนึ่ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง

เราปลูกแปลงต้นไม้มรดก เช่น พะยูง ไม้แดง ไม้สัก ซึ่งเป็นพันธุ์ไม้ที่กรมป่าไม้แจกฟรีให้กับชาวบ้าน พออีก 20 ปี ตัด มูลค่าเพิ่มขึ้นเนี่ย ต้นละ 1,000 บาทต่อปี ต่อต้น ถ้าใส่เข้าไปเนี่ย 250 ต้น ฟรีหมดเลยนะครับ ภายใน 10 ปี เด็กๆ ที่ไร่เนี่ยจะเป็นเศรษฐี หลักล้านแล้วนะครับ เพราะฉะนั้นผ่านมาประมาณ 7 เดือน ตอนนี้ไร่จากเกษตรพอเพียง เราเลี้ยงปลา เลี้ยงวัว เลี้ยงไก่ แล้วขายโดยตัดพ่อค้าคนกลาง เราขายของดีในราคาตลาดโดยใช้การตลาดออนไลน์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด”