แดนนี่ สรพล จากเด็กเสิร์ฟโต๊ะจีนค่าแรง 500 สู่การเป็นนักแสดงช่อง 3


ให้คะแนน


แชร์

ดีใจมากๆ ที่โอกาสและจังหวะมาตรงกับเราพอดี ก็ดีใจมากๆ และแอบรู้สึกที่ตัวเองพูดภาษาอีสานออกไป เลยทำให้ตัวเองได้มาเล่นละครเรื่องนี้ ถ้าวันที่ไปแคสต์ละครครั้งนั้นคีปลุคก็คงไม่ได้เล่นละครเรื่องนี้ครับ (หัวเราะ)”

จากนั้น แดนนี่ ได้เล่าว่า จริงๆ แล้ว เขานั้นไม่ใช่คนอีสานแต่อย่างใด แต่ที่สามารถพูดภาษาอีสานได้ขนาดนี้เพราะอยู่กับพี่ๆ ที่เป็นคนอีสานจนซึมซับภาษาและวัฒนธรรมของคนอีสานมานั่นเอง 

“ต้องบอกว่าผมไม่ใช่คนอีสานแต่พูดภาษาอีสานได้เพราะอยู่กับพวกพี่ๆ เขาเป็นคนอีสานก็เลยซึมซับมา อยู่ด้วยกันมา 4-5 ปี ซึมซับมาทั้งวัฒนธรรมอีสาน การพูด อาหารการกิน ก็จำๆ มาแล้วเอามาพูด แต่ถ้าคนที่เป็นคนอีสานจริงๆ จะรู้ว่าสำเนียงผมบางทีก็ยังแปร่งๆ อยู่บ้าง 

จริงๆ ผมเป็นคนกรุงเทพฯ ครับ เป็นลูกครึ่งไทย-สวิส เกิดที่ไทย ไม่ได้โตที่ต่างประเทศ พอแม่เห็นว่าพูดภาษาอีสานได้ขนาดนี้ ก็มีตกใจอยู่เหมือนกัน (ยิ้ม) 

ถึงผมจะเป็นลูกครึ่งฝรั่งแต่รู้สึกดีที่ผมพูดภาษาอีสานได้ ภูมิใจกับตัวเองนะ เพราะพูดภาษาอีสานได้เลยทำให้ผมเอาไปใช้ในละครเรื่องนี้ด้วยครับ ดีใจมากๆ ที่พูดได้ (ยิ้ม)”

ก่อนจะมาเป็นที่รู้จักของแฟนๆ เมื่อปี 2560 แดนนี่ สรพล ได้มีโอกาสประกวด 2 เวที และได้รางวัลทั้ง 2 เวที นั่นคือจุดเริ่มต้นของการได้เข้ามาทำงานในวงการบันเทิง 

และในปี 2561 ก็มีโอกาสได้เล่นละครเรื่องแรกกับทางช่อง 3 คือ วัยแสบสาแหรกขาด และปี 2562 ได้มีโอกาสเล่นเรื่องวาสนารัก และได้เล่นละครกับช่อง 3 ต่อมาเรื่อยๆ 

แม้จะได้เล่นละครมาบ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แดนนี่ กลับไม่รู้สึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเองแต่อย่างใด 

“ผมไม่รู้สึกน้อยใจเลยครับ เพราะผมชอบในการแสดง และไม่ได้คาดหวังว่าเล่นทุกเรื่องแล้วจะต้องมีชื่อเสียง เป็นที่รู้จัก แต่ได้มีโอกาสไปเล่นละครสักเรื่องหนึ่งผมก็ดีใจและรู้สึกดีแล้วที่ได้ทำงานที่เราชอบและรัก 

ไม่ได้รู้สึกน้อยใจว่าเล่นละครไปก็ไม่มีชื่อเสียง แต่ผมกลับมองว่าการที่มีโอกาสได้ไปเล่นละคร ก็ได้บทเรียนกับตัวเองที่ได้เห็นข้อผิดพลาดต่างๆ ที่ยังทำไม่ดีพอ 

ผมก็พยายามหาข้อผิดพลาดของตัวเองจากทุกๆ เรื่องที่ผ่านมาว่าจะต้องปรับตรงไหน แก้ไขตรงไหนเพื่อให้เรื่องต่อๆ ไปมันดีขึ้นไปอีกครับ ผมมองอย่างนั้นมากกว่า ไม่ได้รู้สึกท้อหรือหมดหวังที่เล่นละครแล้วไม่มีคนรู้จักเลย ไม่ได้คิดแบบนั้นเลยครับ”

เมื่อเราถามแดนนี่ว่า มนต์รักหนองผักกะแยง กับบทครูริช คือผลงานที่สร้างชื่อให้กับแดนนี่เลยใช่มั้ย งานนี้แดนนี่ยิ้มและตอบเราแบบถ่อมตนว่า 

“ในฐานะที่ผมเป็นนักแสดงใหม่ ในตอนนั้นผมแค่อยากทำผลงานออกมาให้เต็มที่และดีที่สุด ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องมีชื่อเสียงและโด่งดัง แค่รู้สึกอยากทำมันออกมาให้ดี คาดหวังแค่ว่าคนน่าจะชอบ แต่พองานออกมาก็เป็นที่พูดถึง หลายๆ คนชื่นชอบและสนใจ ก็ดีใจมากที่มีคนชอบในผลงานและตัวละครของเรา

ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สร้างชื่อเสียงให้ผมในระดับหนึ่งเลย แต่ผมไม่ได้โด่งดังขนาดนั้นครับ (ยิ้ม) แต่คนที่ดูละครเรื่องนี้ก็จะรู้จักและจำผมได้ ผมดีใจมากครับ แต่ก็ไม่ได้ทะนงตัวว่าเราดังมากนะ ก็ยังเป็นนักแสดงคนนึงอยู่ครับ”

จากนั้น แดนนี่ สรพล เล่าให้เราฟังต่อว่า วงการบันเทิงให้อะไรกับแดนนี่หลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนจากการทำงาน ที่มันไม่ได้ง่าย แต่พอรักและชอบมัน ก็เลยทำให้ไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเอง เพราะละครแต่ละเรื่องจะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ซึ่งตรงนั้นก็จะเอามาปรับปรุงและพัฒนาตัวเอง

ส่วนเรื่องของผลตอบแทนที่ได้มา การทำงานมันหนักเหมือนกัน หลายๆ คนอาจจะมองว่าการมาเล่นละครได้เงินง่าย แต่การได้ค่าตอบแทนที่สูงมันก็ต้องแลกมาจากการทำงานที่หนักพอสมควร ต้องอดหลับอดนอน มันให้บทเรียนหลายๆ อย่าง

และเพราะไม่ได้มีความคาดหวังว่าเข้าวงการมาแล้วจะต้องมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ขอค่อยๆ พัฒนาตัวเองไป มีงานให้ทำเรื่อยๆ จึงทำให้แดนนี่ไม่กดดันและรู้สึกท้อกับการทำงานในวงการบันเทิง ซึ่งแดนนี่เล่าให้เราฟังว่า

“ผมค่อยๆ ไป ค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ ดีกว่า ไม่ได้สิ้นหวังกับการทำงานของตัวเอง ค่อยๆ เติบโตไปดีกว่า เมื่อไม่ได้คาดหวังและตั้งเป้าหมายว่าจะต้องดัง เลยไม่ได้รู้สึกเสียใจเวลาที่ไม่มีคนรู้จัก แต่ได้ทำงานในสิ่งที่เรารักและมีคนชื่นชอบก็ดีใจและแฮปปี้มากแล้ว 

ต่อให้ใครมองว่าผมเป็นนักแสดงไม่ดัง ผมก็เฉยๆ ไม่ได้สนใจ ใส่ใจ เพราะถ้าเก็บเอามาคิดมันก็จะเป็นความขุ่นมัวในใจเรา ก็ไม่ได้มีผลดีต่อเรา เขาจะพูดก็เป็นเรื่องของเขา 

ที่ผมไม่ท้อต้องบอกว่า ผมนั้นก็เติบโตมาแบบบ้านๆ เติบโตมาแบบที่จะต้องสู้ไปด้วยกันกับชีวิตของตัวเอง พอได้มีโอกาสมาทำงานในวงการบันเทิง มันเหมือนทำให้ผมมีกำลังใจให้กับตัวเองอยู่เรื่อยๆ ไม่ได้รู้สึกสิ้นหวัง ท้อแท้ ผมอยากจะบอกกับทุกคนที่กำลังจะเริ่มต้นทำงานในวงการบันเทิง 

ควรจะให้กำลังใจตัวเองอยู่เสมอ และพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ ขาดตรงไหน ผิดพลาดตรงไหน ก็เอามาปรับจนตัวเราได้เป็นสินค้าที่สมบูรณ์แบบเพื่อให้คนดึงเราไปทำงานด้วยครับ (ยิ้ม) 

ผมมองว่าระหว่างทางที่เห็นข้อผิดพลาด อย่าเพิ่งไปท้อว่ายังไม่มีโอกาสดีๆ เข้ามาเลย เราแค่ต้องเตรียมตัวให้พร้อม ถ้าโอกาสมันมาถึง เราก็จะคว้ามันเอาไว้ได้แน่นอน”

จากนั้น แดนนี่ สรพล ก็ได้เล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองให้ฟังว่า กว่าจะได้มาทำงานในวงการบันเทิงนั้น เขาต้องทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟ ซึ่งได้ค่าแรงวันละ 500 บาทเท่านั้น ซึ่งแดนนี่เล่าว่า 

“ก่อนจะเข้าวงการ ชีวิตผมต้องสู้มาไม่น้อยเหมือนกันครับ ผมโตมากับครอบครัวที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบมาก ไม่ได้ร่ำรวยทางด้านเงินทอง และผมไม่ได้เติบโตมาพร้อมกับครอบครัวของผมเอง 

เพราะพ่อแม่ผมแยกทางกันตั้งแต่เด็ก และแม่เอามาฝากจ้างให้คนอื่นเลี้ยง ผมเติบโตมากับครอบครัวนี้และได้รับความอบอุ่นจากครอบครัวนี้เป็นอย่างดีเลย ถึงแม้เราจะไม่ได้อิ่มหนำสำราญ แต่ไม่ได้รู้สึกว่าขาดอะไร 

ระหว่างทางในการเติบโตมาผมก็ทำงานมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานเสิร์ฟโต๊ะจีน พนักงานเซเว่น และพนักงานเสิร์ฟอาหารในโรงแรม ก็ทำงานมาเรื่อยๆ 

มีตอนที่ทำพนักงานโต๊ะจีน ผมเคยมีความคิดว่าอยากจะเป็นกุ๊กเพราะได้เงินดี ผมก็ทำงานมาเรื่อยๆ ตอนทำพนักงานโต๊ะจีน ต้องแบกโต๊ะแบกเก้าอี้ ทำงานตั้งแต่ตี 4 เลิกตี 1 ตี 2 ได้วันละ 500 บาท 

ผมเข้าใจความรู้สึกของเด็กเสิร์ฟเลยว่าเขาต้องทำงานกันหนักมาก แต่ในตอนนั้นแค่ได้มีงานทำผมก็ดีใจแล้ว ได้เงินตั้ง 500 บาท ที่หาเงินให้ครอบครัวได้ 

พอได้โอกาสมาทำงานในวงการตอนนั้นมันใหม่มาก ผมได้เริ่มพัฒนามาเรื่อยๆ เพราะผ่านอะไรมาเยอะ เลยทำให้ผมมีภูมิคุ้มกันในด้านของความอดทนค่อนข้างมาก

เพราะถ้าเทียบกับงานที่เคยทำ มันหนักกว่ามากเมื่อมาเทียบกับงานในวงการบันเทิง เลยทำให้เราอดทนและทำมาได้เรื่อยๆ เพื่อหาค่าเทอมส่งตัวเองเรียน ส่งให้ครอบครัว แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว ไม่ได้คิดอะไรมากเลยแต่ถ้าวันหนึ่งจะมีชื่อเสียงเงินทองมันคือผลพลอยได้ เป็นกำไรชีวิตของเราเอง”

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2108797
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2108797