ประโยคแรกที่ทำให้ทุกคนอึ้ง เมื่อมินบอกว่า กว่าจะผ่านความรักครั้งนี้ เคยเลิกกันสามพันหน!

“มินเอาเป็นศูนย์กลาง เป็นนักตัดสิน เป็นศาล เราใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลางของครอบครัวเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ หรือพี่เรา เราก็จะเหมือนหัวหน้าแก๊งตลอด เวลาพูดต้องฟังนะ พอวันหนึ่งเราเข้าใจคำว่ารัก คำว่ารักมันคือ การที่เราเข้าอกเข้าใจและเห็นใจกัน มินว่าความรักมันใช้คำว่าถูกผิดไม่ได้ นี่คือเรื่องที่มินเรียนรู้เลยนะคะ

เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเอาคำว่าถูกผิดมาใช้ในความรักอะ มันจะกลายเป็นการตัดสิน เมื่อเรารักใครคนหนึ่ง มันจะกลายเป็นว่ามองไปในมุมที่คนคนนั้นปฏิบัติต่อเราว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น”

ปรับจูนกว่าจะตรงกัน

ปีแรกโปรโมชั่น คำโฆษณาช่วงแรกแห่งรักคงใช้กับคู่ของ “มิน-โอ๊ต” ไม่ได้ เพราะมินเล่าว่า ช่วงแรกเหมือนปีที่ทดสอบความรัก ต้องปรับจูนกันเยอะช่วงแรกที่คุยกันค่อนข้างยากพอสมควร เลิกกันสามพันครั้ง 

“เพราะมินพร้อมที่จะตัดสินเสมอว่าแบบ ไม่ไหวหรอก ไม่ไหวแน่ๆ เหนื่อย ถ้าถอดใจตั้งแต่วันนั้นก็ไม่มีวันนี้ ซึ่งมินมองว่าการที่เราจะมีใครสักคน มันเหมือนวงกลมสองอันที่ตอนแรกมีแค่ตัวเองแต่วันหนึ่งมันจะร่วมกัน มันคือการอินเตอร์เซกกันระหว่างตรงกลางค่ะ มันจะไม่เป็นตัวเราร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันคือความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจกัน เติบโตไปพร้อมๆ กัน

โดยที่ก็มีพื้นที่ให้เขาในจุดที่ไม่ได้อินเตอร์เซก นั่นคือสเปซของเขา และในจุดที่เป็นของเราจุดที่เขาอาจจะไม่ต้องเข้าใจหรอก แต่เขาพร้อมที่จะสนับสนุน นั่นก็คือการอนุญาตให้เราเติบโตในรูปแบบของเรา และให้เกียรติการตัดสินใจของเราค่ะ ณ ปัจจุบันคือดี แต่ก็เป็นเรื่องของอนาคต เราอนุญาตให้อนาคตทำงานด้วยตัวมันเอง”

ผู้หญิงทุกคน

อยากแต่งงาน

หากคำพูดมีสีที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาได้ คำตอบของมินหลังจากนี้คงเห็นเป็นสีชมพูสดใสทีเดียว หลังเราถามคำถามว่า คุณโอ๊ตขอแต่งงานหรือยัง นางเอกสาวยิ้มเขินก่อนตอบด้วยความไวแสง “ยังๆ”

“ในมุมของผู้หญิงก็อยากแต่งงาน แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ค่ะ ยังมองว่าตัวเองไม่พร้อม จริงๆ มินมองว่าอยากดูแลตัวเองได้ เป็นคนที่ดูแลคุณพ่อคุณแม่ได้ สานต่ออะไรที่คุณพ่อคุณแม่ตั้งใจไว้ ไม่ได้เดือดร้อนใคร เขาไม่ต้องมาคอยดูแลเรามากมาย เราดูแลตัวเองได้ แล้วเรามั่นคงกับชีวิตเราค่ะ แล้วเราก็พร้อม

ระยะเวลาไม่มีกำหนดค่ะ มินมองว่าอยู่กับปัจจุบันดีที่สุด เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้หญิงมีความคาดหวังนี่น่ากลัวมากเลยนะ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราตั้งอนาคตไว้ แล้วเราคิดว่ามันจะเป็นแบบนั้น แล้วมันไม่เป็น แล้วมันผิดหวัง นั่นน่ะเรียกว่าความคาดหวัง แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่เราสร้างความคาดหวังขึ้นมา แล้วเสียใจ เรามักจะทำลายคนที่เรารักหลายๆ คน แล้วความสัมพันธ์ที่ดีงามก็จะหายไปค่ะ”

ภาพฝันงานแต่งงาน

มิน พีชญา

“ตอนที่มินไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา ครอบครัวต่างชาติที่มินไปอยู่ด้วย มีงานแต่งงานที่อบอุ่นมาก เห็นเขาเต้นรำกับคุณพ่อก่อนที่จะส่งตัวให้เจ้าบ่าว เราก็เลยรู้สึกว่า งานแต่งงานที่มีแต่คนที่รู้จักเราจริงๆ ตลบอบอวลไปด้วยความรัก ยินดีกับเรา มันดูแฮปปี้มาก (สายตาเปี่ยมสุข)

เราก็เลยกลับมาบอกคุณแม่สมัยเด็กๆ เนี่ยอีกหน่อยนะจะแต่งงานแบบเฉพาะครอบครัว จัดเล็กๆ แบบอบอุ่นริมชายหาดค่ะ สบายๆ ติสต์ๆ หน่อย แม่ตอบว่าอะไรรู้ไหมคะ “ก็ได้ค่ะลูก ถ้าในชีวิตนี้ลูกจะไม่คบค้าสมาคมกับใครอีกแล้ว” (ยิ้ม)

คือด้วยความที่สังคมเราค่ะ คือการให้เกียรติและการบอกกล่าว เฮ้ย เราจะขยับสถานะแล้วนะ ในคู่ค้าธุรกิจเอย ญาติ เพื่อนๆ ที่อยู่ในสังคม คนที่รักเราในแบบลูกหลาน คิดภาพถ้าวันหนึ่งเราไม่บอกเขา เขาคงเสียใจ ก็ทำไม่ได้ค่ะ วันหนึ่งมันคงต้องมีในรูปแบบที่เหมาะสม”

ทำไมไม่มอง

ไฮโซคือของเล่นดาราบ้าง?

ดารากับเสียงวิจารณ์ก็คงเป็นของคู่กัน เมื่อนางเอกวัย 32 ปีคบกับผู้ชายที่พร้อมทั้งรูปและทรัพย์ ก็จะกลายเป็นคำถามลอยๆ เช่นเดียวกับคนมีชื่อเสียงอีกหลายคู่ที่จะเจอ “ดาราเป็นของเล่นไฮโซหรอ?” มินนิ่งก่อนถามกลับยิ้มๆ ว่า 

“ทำไมไม่มองว่าไฮโซเป็นของเล่นดาราบ้างล่ะคะ มันก็เป็นคำที่เขาพูดกัน บางคนก็บอกว่าไฮโซเป็นของเล่นดารา บางคนก็บอกว่าดาราเป็นของเล่นไฮโซค่ะ ก็แล้วแต่มุมมองของคนค่ะ ไม่ได้คิดอะไร เพราะมินมองว่าการที่คนจะเป็นคู่กันเกิดจากความจริงใจและตั้งใจที่จะพัฒนาไปสู่คนรัก คนรักไปสู่คู่รัก คู่แต่งงาน” 

ขอบคุณ “แฟน” ออกสื่อ

เมื่อเราให้โอกาส พีชญา วัฒนามนตรี ได้บอกความในใจอะไรก็ได้ถึงแฟนหนุ่มผ่านรายการของเรา มินเลือกที่จะเริ่มต้นด้วยคำว่า ขอบคุณ

“ขอบคุณสำหรับการให้เกียรติมินอย่างสม่ำเสมอ และการให้กำลังใจ การยืนข้างๆ ในทุกๆ การตัดสินใจของมิน ไม่ว่ามันจะเกิดจากการเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม สิ่งที่มันสัมผัสได้ก็คือการยืนเคียงข้างมินอย่างสม่ำเสมอ ขอบคุณสำหรับการจริงใจครั้งนี้ค่ะ”.

ชมคลิป