เอ๊ะ ศศิกานต์ เปิดใจ หลังทิ้งวงการปักหลักต่างแดนเพื่อลูก ห่างบ้านเกือบซึมเศร้า


ให้คะแนน


แชร์

เปิดชีวิตอดีตนางเอก เอ๊ะ ศศิกานต์ หลังทิ้งวงการบันเทิงไป 7 ปี เพื่ออนาคตลูก ปักหลักอยู่กับสามีที่ต่างประเทศ รับห่างบ้านจนเกือบซึมเศร้า

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

ถึงจะห่างหายจากหน้าจอไปนานเพื่อทำหน้าคุณแม่ลูกหนึ่งอยู่ต่างแดน แต่อดีตนางเอกสาว เอ๊ะ ศศิกานต์ เมื่อได้มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 ก็ยังสวยปิ๊ง พร้อมกับยิ้มอย่างดีใจในการที่ได้หวนคืนหน้าจออีกครั้งในรอบเกือบ 2 ปีที่หายไป ยอมรับว่าคิดถึงทั้งงาน แฟน ๆ และครอบครัวที่ต้องห่างไกล เผยการรับหน้าที่เป็นคุณแม่ที่ห่างไกลบ้านเคยมีการซึมเศร้า เข้ามาเหมือนกัน ส่วนจะกลับมารับงานในวงการบันเทิงหรือไม่นั้น ตอนนี้กลับมาแน่แต่ไม่ใช่ตอนนี้

กี่ปีแล้วที่ไม่ได้อยู่เมืองไทย? “ย้ายไปน่าจะประมาณปี 2014 ประมาณ 7 ปีค่ะ แต่ช่วงแรกที่ไปก็ยังมีทำอะไรบ้างนะคะ ไม่ได้ถึงกับออกจากวงการบันเทิงไปเลย แต่ช่วงที่มีลูกจำได้ว่าช่วงที่ลูกเกิดได้ประมาณเดือนกว่า ๆ ก็ยังมีไปเล่นรับเชิญอยู่นิดหน่อยเพราะว่าลูกเกิดเมืองไทย พอเขาเกิดมาได้สักประมาณ 3 เดือนแล้วหลังจากนั้นเราก็พักยาวเลยค่ะ”

ที่ตัดสินใจไปอยู่ต่างประเทศเลยเพราะว่าอะไร? “แต่งงานกับฝรั่งค่ะ (หัวเราะ) แต่งงานกับสามีชาวต่างชาติค่ะ เขาเป็นอเมริกันเลยแต่ที่ดูเขาไม่ค่อยอเมริกันเท่าไหร่เพราะเขามิกซ์ อิตาเลียน ญี่ปุ่น ฮาวาย จีน และเพราะด้วยงานของสามีด้วยค่ะ เพราะเขาทำงานอยู่สหประชาชาติ แล้วที่ได้เจอกับเขาก็เพราะว่าเขามาทำงานที่สหประชาชาติที่เมืองไทยค่ะ พอแต่งงานก็ได้ย้ายกลับไปที่นิวยอร์กด้วยงานแล้วพอย้ายไปได้สักหนึ่งปีเราก็ท้องมีลูกแล้วก็ไปอยู่ที่นั่นยาวเลย”

จริง ๆ แล้วใจเอ๊ะมีแพลนวางไว้ไหมที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ? “ช่วงปีแรกเอ๊ะก็ยังบินไปมาอยู่เพราะว่าเรายังมีธุรกิจของเราอยู่ที่นี่ เพราะเราก็ยังให้ความสนใจในธุรกิจของเรา แต่พอมีลูกปุ๊บ แม่จะอยู่ที่หนึ่ง พ่อจะอยู่ที่หนึ่งมันก็ไม่ได้เราเลยตัดสินใจไปอยู่ที่โน้นเลย แล้วเอ๊ะคิดแบบนี้ค่ะ ชีวิตของเราเดินถอยหลังลงไปเรื่อย ๆ แต่สำหรับชีวิตของลูกเพิ่งเริ่มเพราะฉะนั้นเราเลยอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา การตัดสินใจทั้งหมดเลยไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตัวของเอ๊ะเองเพราะว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับลูกค่ะ”

แต่เห็นว่าการกลับมาเมืองไทยครั้งนี้กะเวลาผิดคือยังไง? “ขั้นตอนการขอวีซ่าให้ดอมก็มีเรื่องเยอะมาก แล้วเราก่อนที่จะกลับมาคือเห็นเพื่อน ๆ ยังลงรูปเที่ยวที่ต่าง ๆ ในอินสตราแกรมแบบเบ่งบานมาก ๆ แต่พอเรากลับมาถึงไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ต้องบอกว่ามาตรการเปลี่ยนทุกวันอย่าง เอ๊ะฉีดวัคซีนแล้ว 7 วัน แต่ว่าลูกเอ๊ะยังเด็กอยู่ก็ต้อง 10 วันในการกักตัว แล้วด้วยความที่เด็กเขามีพลังเยอะมากแล้วเขาอยู่แต่ในห้อง ยังดีที่ห้องที่เอ๊ะอยู่คือมีห้องนอน ห้องนั่งเล่น และระเบียงที่เราสามารถออกไปสูดอากาศได้”

แต่การทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไปเพื่ออนาคตที่ดีของลูก ตอนแรกมองว่าฉันสู้ได้ แต่พอไปจริง ๆ เกิดอาการซึมเศร้า เกิดอะไรขึ้น? “การที่เราย้ายไปอยู่ที่นิวยอร์ก เป็นการย้ายไปอยู่ต่างประเทศแบบจริง ๆ จัง ๆ ของเราครั้งแรก แล้วพอมีลูกก็เป็นลูกคนแรก ไหนจะให้นม ไหนจะนอนไม่พอ ทำความสะอาดบ้านอีก ทำอาหารเอง ซักรีด เราทำเองทั้งหมดเลยไม่มีพ่อแม่พี่น้องมาอยู่ข้าง ๆ เราเลย มันยากมากสำหรับเราซึ่งมันก็ต้องใช้เวลาค่ะ แต่ยังดีที่คุณแม่ก็ยังมีบินไปมาหาเราบ้างใช้ชีวิตอยู่กับเราบ้างที่โน้นช่วงหนึ่ง แต่เราก็ซึมนะคะ อย่างบางทีนั่ง ๆ อยู่ก็ร้องไห้ก็มีเพราะเราคิดถึงแม่”

เรียกว่าเป็นคุณแม่ที่สุดทุกอย่างโดยเฉพาะในการเลี้ยงลูก ไม่มีโทรทัศน์ ไม่หยิบมือถือให้ลูกดู ตัดโซเชี่ยลทุกอย่างออกไปเลย จะเล่นมือถือก็ต่อเมื่อลูกหลับแล้วขนาดนั้นเลยเหรอ? “ไม่ถึงขนาดนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ แต่เราทำแบบนั้นจริง ๆ (หัวเราะ) จริง ๆ เรื่องนี้เริ่มมาจากดอมก่อนเพราะตอนที่อยู่เมืองไทยเขาบอกกับเราว่าเขาไม่อยากได้โทรทัศน์เป็นเซ็นเตอร์ของบ้าน เพราะอย่างกลับเข้ามาในบ้านเขาไม่อยากให้ทุกคนมานั่งดูทีวี ซึ่งตอนนั้นเราก็เถียงเขานะคะ เพราะว่าเราก็โตมากับทีวีนั่งดูทีวีร่วมกัน แต่พอเราไปต่างประเทศเราถึงได้รู้ว่าอย่างน้อยเลยในสังคมของคนที่เราเจอคือเขาก็อาจจะมีทีวีหรือบางบ้านก็ไม่ได้มีเลย เพราะเขารู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญอะไร เพราะเราต้องการควบคุมสกรีนไทม์ให้น้อยที่สุด เพราะมันมีผลต่อพฤติกรรมของลูกค่อนข้างมาก แล้วดอมเขาเป็นพวกที่อ่านหนังสือเยอะ เขาก็จะค้นคว้าหาข้อมูลต่าง ๆ เยอะ ซึ่งการไม่มีทีวีมันก็เป็นผลที่ดีนะคะ เพราะมันทำให้เขาเป็นเด็กที่มีสมาธิดี แต่ถามว่าโรนินลูกชายไม่เคยเล่นโทรศัพท์เลยเหรอ เคยนะคะ เพราะว่าเวลาที่เราถ่ายรูปกันเขาก็เลื่อนเป็นทำอะไรเป็น ส่วนการ์ตูนเราจะให้เขาดูอาทิตย์ละ 30 นาที”

ตอนนี้พอน้องโรนินโตขึ้นแล้ว วิ่งได้เล่นได้ แต่เอ๊ะเหมือนกับรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองมีลูกสองคน? “ดอมกับลูกตอนนี้เขาเหมือนเป็นเพื่อนกันเลยค่ะ เขาจะไปปั่นจักรยานภูเขาด้วยกัน โรนินอึดมากเพราะระยะทางที่ไปคือ 11 ไมล์เลย แต่เราก็ไม่ได้ไปบ่อยนะคะ แต่เพราะว่าเขาเป็นเด็กที่ชอบอยู่นอกบ้านด้วยค่ะ เพราะว่าเข็ดอยู่ในบ้านเขาจะร้องไห้ แต่พอพาออกไปนอกบ้านหยุดร้อง”

ทั้งเอ๊ะและสามีเป็นคนที่ทุ่มเทเวลาให้กับลูกมาก ตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อเลี้ยงลูกอย่างเดียว แล้วจริงเหรอที่ 2 ปี ไม่ทำงานเลย ถามตรง ๆ รายได้มาจากไหน? “ก่อนหน้าที่เราจะมีลูกเราทั้งคู่ก็ทำงานหนักมาก ๆ มาก่อน เราก็ไปลงทุนกับที่ดิน คอนโด กับบ้าน ซึ่งเราก็เก็บค่าเช่าไปเรื่อย ๆ ซึ่งถามว่ามันเยอะมากมายเมื่อตอนที่เราทำงานในวงการบันเทิงไหม ก็ไม่ค่ะ แต่ว่าเราก็ใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่งเพราะว่าอยู่ที่โน้นไม่มีใครมาสนใจว่าเราถือกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้าแบบไหนอะไร คนรวย คนจน ใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกัน ตอนแรกคุณพ่อคุณแม่เอ๊ะท่านก็ไม่เข้าใจว่าตอนแรกทำงานอยู่ UN ดี ๆ ลาออกทำไม เพราะสวัสดิการทุกอย่างดีมาก แต่อย่างที่บอกค่ะเพื่อลูกเนอะ เรามองเห็นว่าความสำคัญของเขาตั้งแต่ที่เขาเกิดจนถึง 5 ปี ถ้าเราไม่ได้ใกล้ชิดเขาแล้วเราสอนเขาดีพอเราก็ต้องมานั่งแก้ไขเขา ถ้าเขาเป็นวัยรุ่นแล้วเราก็จะมานั่งสอนนั่งบอกว่าทำไมไม่ทำอย่างที่เราบอกเราสอนเราคิดทำไมทำอีกทางอย่างที่เราไม่อยากให้ทำ เราเลยคิดว่าถ้าเราสอนเราสร้างพื้นฐานของเขาให้มันแน่น ให้มั่นคง ต่อไปมันจะดีกับเขาและเรา ถามว่าทุกวันนี้โรนินเป็นอเมริกันหรือไทย ครึ่ง ๆ ค่ะ พูดไทยชัดเลยค่ะ แต่ตอนที่อยู่ที่โน้นมีแค่เอ๊ะพูดไทยคนเดียวกับเขาไงคะ แต่พอกลับมาที่นี่คือภาษาไทยเบ่งบานมาก สามารถพูดได้เป็นเรื่องเป็นราวเลยค่ะ ส่วนภาษาอังกฤษไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

เห็นว่าน้องโรนิน บอกแม่ว่าอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์? “มาจากที่จำไม่ค่อยได้แล้วค่ะ แต่เราได้คุยกันว่าคนเราเกิดมาต้องมีต้องเจ็บ ต้องแก่ ต้องตายนะลูก เขาเลยเริ่มคิดกลัวว่าถ้าวันหนึ่งพ่อแม่ต้องจากเขาไป เขาเลยอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์เขาจะสร้างสารเคมีอะไรบางอย่างขึ้นมาเพื่อไม่ให้เราตายสามารถย้อนกลับไปเป็นเด็กได้ตลอดเวลา เขาคิดแบบนี้ด้วยความที่เขารักพ่อแม่”

มีลูกชายน่ารักแบบนี้จะมีน้องให้โรนินไหม? “กว่าเราจะได้โรนินมานะคะ เอ๊ะแท้งไปสองครั้ง และทำ IVF 4-5 ครั้งเลยค่ะ คือพยายามมาก แล้วที่ได้โรนินมาเพราะว่าย้ายไปทำงานที่ฟิจิอยู่เดือนหนึ่งแล้วก็ได้เขามาจากธรรมชาติ เราคิดว่าเขาคงเป็นไข่ฟองสุดท้ายที่เหลืออยู่เพราะว่าหลังจากนั้นเราก็พยายามทำแล้วก็ไม่ประสบผลสำเร็จ”

ได้มาเจอกันวันนี้แล้ว ต้องถามคำถามแทนใจแฟน ๆ เลยว่าอยากกลับมาทำงานในวงการบันเทิงไหม? “ก็อยากนะคะ เพราะว่าโควิดเราไม่สามารถออกไปทำงานข้างนอกไม่ได้เลยอยู่แต่ในบ้านแล้วมันก็มีความเหงาเกิดขึ้นเราก็มาคิดว่าเราทิ้งอะไรไป งานเราทำไมเราไม่กลับมาทำเพราะมันคือสิ่งที่เราทำได้ดี”

ซึ่งงานในวงการอาจจะไม่ได้มีให้เห็น แต่ที่เอ๊ะมีให้เห็นและให้ทานเลยก็คือ ร้านอาหารเกาหลี TUDARI 19 สาขา ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดเหมือนกัน? “เราเปิดมา 10 ปีแล้วต้องบอกว่าปีนี้เป็นปีที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เพราะที่ผ่านมาจะมีทั้งช่วงดีและไม่ดีแต่สำหรับปีนี้คือโหดมากที่สุดแล้วค่ะ ก็สำหรับแฟน ๆ ที่ยังคิดถึงกันอยู่ หรือสำหรับงานในวงการถ้าจะเห็นเอ๊ะ จริง ๆ เอ๊ะ คงรอลูกโตกว่านี้ก่อนนะคะ ส่วนใครที่คิดถึงกันก็แวะไปที่ร้านอาหารของเอ๊ะก่อนนะคะ”

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6467207
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6467207