เอ๊ะ ศศิกานต์ เล่าชีวิตหลังลาวงการบันเทิง ย้ายตามสามีไปอยู่ต่างประเทศ


ให้คะแนน


แชร์

ข่าวแนะนำ

กี่ปีแล้วที่ไม่ได้อยู่เมืองไทย?
เอ๊ะ ศศิกานต์ : ย้ายไปน่าจะประมาณปี 2014 ประมาณ 7 ปีค่ะ แต่ช่วงแรกที่ไปก็ยังมีทำอะไรบ้างนะคะ ไม่ได้ถึงกับออกจากวงการบันเทิงไปเลย แต่ช่วงที่มีลูกจำได้ว่าช่วงที่ลูกเกิดมาขวบกว่าๆ ก็ยังมีไปเล่นรับเชิญอยู่นิดหน่อย เพราะว่าลูกเกิดเมืองไทย แล้วก็พอเขาเกิดมาได้สักประมาณ 3 เดือนแล้วหลังจากนั้นเราก็พักยาวเลยค่ะ

ที่เราตัดสินใจไปอยู่ต่างประเทศเลยเพราะว่าอะไร?
เอ๊ะ ศศิกานต์ : แต่งงานกับฝรั่งค่ะ (หัวเราะ) แต่งงานกับสามีชาวต่างชาติค่ะ เขาเป็นอเมริกันเลยค่ะ แต่ที่ดูเขาไม่ค่อยอเมริกันเท่าไรเพราะเขามิกซ์ อิตาเลียน ญี่ปุ่น ฮาวาย จีน และเพราะด้วยงานของสามีด้วยค่ะ เพราะเขาทำงานอยู่สหประชาชาติ แล้วที่ได้เจอกับเขาก็เพราะว่าเขามาทำงานที่สหประชาชาติที่เมืองไทยค่ะ พอแต่งงานก็ได้ย้ายกลับไปที่นิวยอร์กด้วยงาน แล้วพอย้ายไปได้สักหนึ่งปีเราก็ท้องมีลูก แล้วก็ไปอยู่ที่นั่นยาวเลย

จริงๆ แล้วใจเอ๊ะมีแพลนวางไว้ไหมที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ?
เอ๊ะ ศศิกานต์ : คือ ช่วงปีแรกเอ๊ะก็ยังบินไปมาอยู่เพราะว่าเรายังมีธุรกิจของเราอยู่ที่นี่เพราะเราก็ยังให้ความสนใจในธุรกิจของเรา แต่พอมีลูกปุ๊บ!! แม่จะอยู่ที่หนึ่ง พ่อจะอยู่ที่หนึ่ง มันก็ไม่ได้ เราเลยตัดสินใจไปอยู่ที่โน่นเลย แล้วเอ๊ะคิดแบบนี้ค่ะ ชีวิตของเราเดินถอยหลังลงไปเรื่อยๆ แต่สำหรับชีวิตของลูกเพิ่งเริ่ม เพราะฉะนั้นเราเลยอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา การตัดสินใจทั้งหมดเลยไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตัวของเอ๊ะเอง เพราะว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับลูกค่ะ

แต่เห็นว่าการกลับมาเมืองไทยครั้งนี้กะเวลาผิดคือยังไง?
เอ๊ะ ศศิกานต์ : คือแบบนี้ค่ะ ขั้นตอนการขอวีซ่าให้ดอมก็มีเรื่องเยอะมาก แล้วก็ก่อนที่จะกลับมาคือเราเห็นเพื่อนๆ ยังลงรูปเที่ยวที่ต่างๆใ นอินสตาแกรม แบบเบ่งบานมากๆ แต่พอเรากลับมาถึงไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ต้องบอกว่ามาตรการเปลี่ยนทุกวัน อย่างเอ๊ะคือฉีดวัคซีนแล้ว 7 วัน แต่ว่าลูกเอ๊ะยังเด็กอยู่ ก็ต้อง 10 วันในการกักตัว แล้วคือด้วยความที่เด็กเขามีพลังเยอะมาก แล้วเขาอยู่แต่ในห้อง ยังดีที่ห้องที่เอ๊ะอยู่คือมีห้องนอน ห้องนั่งเล่น และระเบียงที่เราสามารถออกไปสูดอากาศได้

แต่การทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไปเพื่อลูกเพื่ออนาคตที่ดีของลูก ตอนแรกมองว่าฉันสู้ได้ แต่พอไปจริงๆ เกิดอาการซึมเศร้า เกิดอะไรขึ้น?
เอ๊ะ ศศิกานต์ : คือ การที่เราย้ายไปอยู่ที่ นิวยอร์ก เป็นการย้ายไปอยู่ต่างประเทศแบบจริงๆ จังๆ ของเราครั้งแรก แล้วพอมีลูกก็เป็นลูกคนแรก ไหนจะให้นม ไหนจะนอนไม่พอ ทำความสะอาดบ้านอีก ทำอาหารเอง ซักรีด เราทำเองทั้งหมดเลย ไม่มีพ่อแม่พี่น้องมาอยู่ข้างๆ เราเลย มันยากมากสำหรับเรา ซึ่งมันก็ต้องใช้เวลาค่ะ แต่ยังดีที่คุณแม่ก็ยังมีบินไปมาหาเราบ้าง ใช้ชีวิตอยู่กับเราบ้างที่โน้นช่วงหนึ่ง แต่เราก็ซึมนะคะ อย่างบางทีนั่งๆ อยู่ก็ร้องไห้ก็มีเพราะเราคิดถึงแม่

เอ๊ะเรียกว่าเป็นคุณแม่ที่สุดทุกอย่างโดยเฉพาะในการเลี้ยงลูก ไม่มีโทรทัศน์ ไม่หยิบมือถือให้ลูกดู ตัดโซเชียลทุกอย่างออกไปเลย และจะเล่นมือถือก็ต่อเมื่อลูกหลับแล้วขนาดนั้นเลยเหรอ?
เอ๊ะ ศศิกานต์ : ไม่ถึงขนาดนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ แต่เราทำแบบนั้นจริงๆ (หัวเราะ) จริงๆ เรื่องนี้เริ่มมาจาก ดอม ก่อนเพราะตอนที่อยู่เมืองไทยเขาบอกกับเราว่าเขาไม่อยากได้โทรทัศน์เป็นเซ็นเตอร์ของบ้าน เพราะอย่างกลับเข้ามาในบ้านเขาไม่อยากให้ทุกคนมานั่งดูทีวี

ซึ่งตอนนั้นเราก็เถียงเขานะคะ เพราะว่าเราก็โตมากับทีวี นั่งดูทีวีร่วมกัน แต่พอเราไปต่างประเทศเราถึงได้รู้ว่าอย่างน้อยเลยนะคะ ในสังคมของคนที่เราเจอคือเขาก็อาจจะมีทีวีหรือบางบ้านก็ไม่ได้มีเลยเพราะว่าเขารู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญอะไร เพราะเราต้องการควบคุมสกรีนไทม์ให้น้อยที่สุด เพราะมันมีผลต่อพฤติกรรมของลูกค่อนข้างมาก

แล้วดอมเขาเป็นพวกที่อ่านหนังสือเยอะ เขาก็จะค้นคว้าหาข้อมูลต่างๆ เยอะ ซึ่งการไม่มีทีวีมันก็เป็นผลที่ดีนะคะ เพราะมันทำให้เขาเป็นเด็กที่มีสมาธิดี แต่ถามว่าโรนิน ลูกชาย ไม่เคยเล่นโทรศัพท์เลยเหรอ เคยนะคะ เพราะว่าเวลาที่เราถ่ายรูปกันเขาก็เลื่อนเป็นทำอะไรเป็น ส่วนการ์ตูนเราจะให้เขาดูอาทิตย์ละ 30 นาที

แล้วตอนนี้พอน้องโรนินโตขึ้นแล้ว วิ่งได้เล่นได้ แต่เอ๊ะเหมือนรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองมีลูกสองคน?
เอ๊ะ ศศิกานต์ : ดอมกับลูกตอนนี้เขาเหมือนเป็นเพื่อนกันเลยค่ะ เขาจะไปปั่นจักรยานภูเขาด้วยกัน โรนินคืออึดมากเพราะระยะทางที่ไปคือ 11 ไมล์เลย แต่เราก็ไม่ได้ไปบ่อยนะคะ แต่เพราะว่าเขาเป็นเด็กที่ชอบอยู่นอกบ้านด้วยค่ะ เพราะว่าแบบเข็นรถในบ้าน คือเขาจะร้องไห้ แต่พอเข็นรถพาออกไปนอกบ้านหยุดร้อง

ทั้งเอ๊ะและสามีคือเป็นคนที่ทุ่มเทเวลาให้กับลูกมากๆ ให้ตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อเลี้ยงลูกอย่างเดียว แล้วจริงเหรอที่ 2 ปี ไม่ทำงานเลย ถามตรงๆ รายได้มาจากไหน?

เอ๊ะ ศศิกานต์ : คือ ก่อนหน้าที่เราจะมีลูก เราทั้งคู่ก็ทำงานหนักมากๆ มาก่อน แล้วเราก็ไปลงทุนกับที่ดิน คอนโด กับบ้าน ซึ่งเราก็เก็บค่าเช่าไปเรื่อยๆ ซึ่งถามว่ามันเยอะมากมายเหมือนเมื่อตอนที่เราทำงานในวงการบันเทิงไหมก็ไม่ค่ะ แต่ว่าเราก็ใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง เพราะว่าอยู่ที่โน้นไม่มีใครมาสนใจว่าเราถือกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้าแบบไหน อะไร คนรวย คนจน ใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกัน

คือตอนแรกคุณพ่อคุณแม่เอ๊ะท่านก็ไม่เข้าใจว่าตอนแรกทำงานอยู่ UN ดีๆ ลาออกทำไม เพราะสวัสดีการทุกอย่างคือดีมาก แต่อย่างที่บอกค่ะเพื่อลูกเนอะ เรามองเห็นว่าความสำคัญของเขาคือตั้งแต่ที่เขาเกิดจนถึง 5 ปี ถ้าเราไม่ได้ใกล้เขาแล้วเราสอนเขาดีพอ เราก็ต้องมานั่งแก้ไขเขา ถ้าเขาเป็นวัยรุ่นแล้วเราก็จะมานั่งสอนนั่งบอกว่าทำไมไม่ทำอย่างที่เราบอกเราสอน เราคิดทำไมทำอีกทางอย่างที่เราไม่อยากให้ทำ

เราเลยคิดว่าถ้าเราสอนเราสร้างพื้นฐานของเขาให้มันแน่น ให้มั่นคง ต่อไปมันจะดีกับเขาและเรา ถามว่าทุกวันนี้โรนินเป็นอเมริกันหรือไทย ครึ่งๆ ค่ะ พูดไทยชัดเลยค่ะ แต่เพราะว่าตอนที่อยู่ที่โน้นมีแค่เอ๊ะพูดไทยคนเดียวกับเขาไงคะ แต่พอกลับมาที่นี่คือภาษาไทยเบ่งบานมาก คือสามารถพูดได้เป็นเรื่องเป็นราวเลยค่ะ ส่วนภาษาอังกฤษไม่มีปัญหาอยู่แล้ว

เห็นว่าน้องโรนินมาบอกว่า แม่ๆ โรนินอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์?
เอ๊ะ ศศิกานต์ : มาจากที่จำไม่ค่อยได้แล้วค่ะ แต่เราได้คุยกันว่าคนเราเกิดมาต้องมีต้องเจ็บ ต้องแก่ ต้องตายนะลูก เขาเลยเริ่มคิดกลัวว่าถ้าวันหนึ่งพ่อแม่ต้องจากเขาไป เขาเลยอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ เขาจะสร้างสารเคมีอะไรบางอย่างขึ้นมาเพื่อไม่ให้เราตาย สามารถย้อนกลับไปเป็นเด็กได้ตลอดเวลา เขาคิดแบบนี้ด้วยความที่เขารักพ่อแม่

มีลูกชายน่ารักแบบนี้จะมีน้องให้โรนินไหม?
เอ๊ะ ศศิกานต์ : คือกว่าเราจะได้โรนินมานะคะ เอ๊ะแท้งไปสองครั้ง และทำ IVF 4-5 ครั้งเลยค่ะ คือพยายามมากแล้ว ที่ได้โรนินมาเพราะว่าย้ายไปทำงานที่ฟิจิอยู่เดือนหนึ่งแล้วก็ได้เขามาจากธรรมชาติ เราคิดว่าเขาคงเป็นไข่ฟองสุดท้ายที่เหลืออยู่ เพราะว่าหลังจากนั้นเราก็พยายามทำแล้วก็ไม่ประสบผลสำเร็จ

ได้มาเจอกันวันนี้แล้ว ต้องถามคำถามแทนใจแฟนๆ เลยว่าอยากกลับมาทำงานในวงการบันเทิงไหม?
เอ๊ะ ศศิกานต์ : ก็อยากนะคะ เพราะว่าโควิดเราไม่สามารถออกไปทำงานข้างนอกได้เลย อยู่แต่ในบ้านแล้วมันก็มีความเหงาเกิดขึ้น เราก็มาคิดว่าเราทิ้งอะไรไป ทำไมเราไม่กลับมาทำเพราะมันคือสิ่งที่เราทำได้ดี

ซึ่งงานในวงการอาจจะไม่ได้มีให้เห็น แต่ที่เอ๊ะมีให้เห็นและให้ทานเลยก็คือร้านอาหารเกาหลี TUDARI 19 สาขา ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดเหมือนกัน?
เอ๊ะ ศศิกานต์ : เราเปิดมา 10 ปีแล้ว ต้องบอกว่าปีนี้เป็นปีที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เพราะที่ผ่านมาจะมีทั้งช่วงดีและไม่ดีแต่สำหรับปีนี้คือโหดมากที่สุดแล้วค่ะ ก็สำหรับแฟนๆ ที่ยังคิดถึงกันอยู่ สำหรับงานในวงการถ้าจะเห็นเอ๊ะจริงๆ เอ๊ะคงรอลูกโตกว่านี้ก่อนนะคะ ส่วนใครที่คิดถึงกันก็แวะไปที่ร้านอาหารของเอ๊ะก่อนนะคะ

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2121862
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2121862