ทีน สราวุฒิ ควงภรรยา เปลือยชีวิตรัก 15 ปี ทิ้งลายเสือเป็นแมวน้อย เพราะเมียดุมาก


ให้คะแนน


แชร์

ทีน สราวุฒิ ควงภรรยา น้อง วิฤดา เปลือยชีวิตรัก 15 ปี เลิกเป็นเพลย์บอยเพราะเมียดุ เผยสาเหตุถอดใจเรื่องมีทายาท

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

นักแสดงอารมณ์ดี ทีน สราวุฒิ ที่วันนี้ขอควงศรีภรรยา น้อง วิฤดา มาเปิดเผยเส้นทางความรักที่คบหากันมา 15 ปี บอกเลยว่าเมียคนนี้ดุมาก จนหนุ่มทีนทิ้งลายเสือเป็นแมวน้อย งานนี้หนุ่มทีนยังบอกว่าเคยเป็นเด็กมีปัญหาหนีจากครอบครัวมาเป็นเด็กวัด อีกทั้งคู่นี้บ้างานจนถึงขั้นปิดประตูเรื่องทายาท โดยทั้งคู่มาเปิดใจผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง วัน31 ที่มีพีเค ปิยะวัฒน์ และหนิง ปณิตา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

เริ่มเข้าวงการกี่ปีแล้ว? ทีน : “ปี 2540 เข้ามาเป็นตัวประกอบก่อนโดยการชักนำของคุณอุ๊บ วิริยะ จากนั้นก็เข้ามาแกรมมี่ ได้บรรจุเป็นว่าที่ศิลปิน”

ช่วงก่อนหน้านี้สัก 3 ปี พี่หายหน้าไปจากวงการบันเทิง? ทีน : “เราเริ่มมีการเลือกงานมากขึ้นในเรื่องของการแสดง แต่ถ้าเป็นในเรื่องพิธีกรงานอีเว้นต์ พวกนี้มีปัญหาตรงที่พอเราเริ่มเปิดบริษัททำงานอีเว้นท์ของตัวเอง เหมือนแบบว่าพอเปิดแล้ว ขอไม่จ้างแล้วกัน พอไม่จ้างปุ๊บภาพงานอีเว้นต์ก็เริ่มหายก็ไม่เป็นไร ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เราแฮปปี้กับงานที่ทำอยู่”

โควิดกระทบเยอะไหม? น้อง : “ไม่ได้ทำอะไรมาปีกว่าแล้ว แต่ก็ไม่ได้เอาใครออก จ่ายเงินเต็ม”

อย่างนี้มันจะประคองไปไหวอีกกี่เดือน? ทีน : “เราก็ต้องมีไทม์มิ่งของตัวเอง อาจจะมองไปอีก 2 ปี ถ้าเกิดเหตุการณ์ทุกอย่างไม่ดีขึ้น อาจจะมีการพูดคุยว่าขอลดอะไรลงไปหน่อยได้ไหม แต่ยังไม่ออกนะ ทุกอย่างมันมีสเต็ปของมันเอง”

ตอนนี้ทีมงานมีกี่คนที่ต้องจ่ายเงินเดือน? ทีน : “ทั้งหมด 13 คน ก็เดือนๆ นึงโดนไปหลายบาท”

เมื่อกี้บอกว่าเลือกงานมากขึ้น แต่คนข้างนอกอาจจะบอกว่าคุณเลือกงาน ความรู้สึกมันต่างกันนะกับที่เราบอกว่าเราเลือกงาน? ทีน : “สมัยก่อนผมรับงานหมดทุกงาน จ้างอะไรมา มีเงินคือจบเลย แต่พอหลังๆ ผมแค่รู้สึกว่าผมอยากจะเลือกชิ้นงานที่เรารู้สึกว่าเราทำแล้วเรามีความสุขกับมันที่สุดดีกว่า เพราะฉะนั้นขออนุญาตขอดูบทก่อน ขอดูงานก่อนว่างานเป็นยังไง เห็นแล้วชอบ ชอบแล้วถึงไป”

แต่พอมีการเลือกงานเกิดขึ้น มันต้องตามมาด้วยการเม้าธ์มอยว่าเรื่องมาก เรื่องเยอะ ตรงนี้พี่รับมือกับมันยังไง? ทีน : “ผมมองบวก ผมอยากให้งานของพี่มันออกมาดี บางครั้งเราเห็นบท ดูงานเสร็จแล้ว พี่ตัวนี้มันไม่ใช่ผม พี่ลองไปคุยกับคนๆ นี้ไหม คนนี้มันคือใช่เลย”

คู่นี้คบกันมา 15 ปี น้องเจอกันตอนแรกที่ไหน? น้อง : “ตอนนั้นเราทำงานอยู่ช่องหนึ่ง ตอนนั้นน้องทำงานเป็นโปรดิวเซอร์อยู่ช่องหนึ่ง” ทีน : “เขาจ้างผมเป็นนักแสดงในช่อง”
น้อง : “ประมาณนั้น แต่เราไม่รู้จักเขา เพราะว่าแต่ก่อนอยู่เมืองนอกมา เขาก็มางุ้งงิ้งๆ”

รู้ไหมเขามาจีบเรา? น้อง : “ไม่รู้ ไม่สนใจ”

ทีนตอนนั้นจีบไหม? ทีน : “อย่าใช้คำว่าจีบ เรียกว่าหยอด เพราะตอนนั้นเราก็จีบพนักงานคนหนึ่งที่ตัวเล็กกว่าเขามากๆ”
น้อง : “จีบลูกน้องเรา จีบไปทั่ว”
ทีน : “เป็นผู้ชายเจ้าสำราญที่พยายามจะบริหารเสน่ห์ของตัวเอง”
น้อง : “ตอนนั้นเราก็เฉยๆ ก็เหมือนน้องคนหนึ่ง แล้วเขาชอบมาปรึกษาเรื่องจีบคนนี้ยังไงดีพี่ สมัยก่อน SMS ถามทุกวัน พี่อย่างนี้ดีไหมครับ”

สมัยก่อนทีนเป็นผู้ชายเจ้าสำราญ เป็นเพราะแบบนี้ไหม เราถึงไม่คิดว่าเขาจะมาชอบ หรือเราจะไปชอบเขา? น้อง : “ไม่คิดจะชอบ เพราะว่าเป็นดารา แล้วก็ไม่ชอบคนเด็กกว่า แล้วไม่ชอบคนพูดเยอะ”

หายไป 3-4 ปี ตอนนั้นไปทำอะไร? น้อง : “ก็ไปทำงานที่อื่น ไปอยู่เอเจนซี่ แล้วทีนี้ลูกค้าบอกว่าอยากได้คุณทีน สราวุฒิ เราก็ติดต่อเขาไป”
ทีน : “พอเราจำได้ว่าคนคนนี้ คือคนที่เราเคยโปรยไว้เยอะแยะมากมายเมื่อหลายช่วงปีที่แล้ว ทาเก็จกลับมา ดีใจเลย ก็มีการได้คุยงานกัน แต่พอได้คุยกันไปเรื่อยๆ มันเริ่มรู้สึกแปลกๆ ผมก็คิดว่านี่เราไม่ได้อ่อยเขาอยู่นะ แต่เรารู้สึกเหมือนว่ากำลังโดนดึงเข้าไป เรามีคำถามกับตัวเองว่า นี่เราแค่สำเริงสำราญบริหารเสน่ห์ หรือว่าเรากำลังเริ่มชอบเขาแล้วกันแน่ ซึ่งตอนนั้นเราพูดกันตามตรง ต้องขอโทษหลายๆ คนที่ได้คุยอยู่ตอนนั้น ก็เริ่มรู้สึกอยากจะคุยกับเขา พอวันที่อยากจะพัฒนาความสัมพันธ์ ผมมีโทรศัพท์อยู่ 2 เครื่อง เครื่องนึงคือมีเบอร์ของคนที่ผมอยากคุยด้วยทั้งหมด ผมปาลงคลองแสนแสบเลย หักซิมแล้วดีดลงคลองเลย แล้วจะมีผู้หญิงแค่เบอร์เดียวที่อยู่ในโทรศัพท์คือเขา”

ตอนนั้นทีนเริ่มซีเรียส แล้วคุณน้องทำยังไง? น้อง : “หลังจากที่เขาไปเคลียร์ เขาก็จะพูดเลยว่าชอบนะ เป็นแฟนกันไหม เราก็บอกว่าโอเค”

ตอนแรกบอกว่าเขาไม่ใช่สเป็กเลย ทำไมโอเคง่ายๆ? น้อง : “คือพอกลับมาใหม่ จากงานก็คุยกัน สมมติ 3 ทุ่มถึงตี 5 ทุกวัน ก็คุยแล้วมีความสุข”

พอเริ่มสนิทกับคุณน้องแล้ว เราหยุดความเจ้าสำราญของเราไหม? ทีน : “หยุดเลยครับ”

เพราะอะไร เราถึงเลือกคนนี้คนเดียว? ทีน : “เขาเป็นคนที่เติมเต็ม และปรับเปลี่ยนชีวิตของเรา เติมเต็มในสิ่งที่เราขาด ปรับเปลี่ยนชีวิตคือ เมื่อก่อนเราเป็นคนกระด้างมาก ไม่แคร์ใคร ไม่ค่อยสนใจใครสักเท่าไหร่ แต่เขาพยายามเข้ามาแล้วปรับเปลี่ยนเรา จริงๆ เราไม่ใช่คนเดียวที่ยืนอยู่คนเดียวในสังคมหรือว่าในโลกนี้ มันยังมีคนอีกมากมายที่อยู่รอบตัวเราที่ทั้งเราและเขามีอิทธิพลซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นเราควรที่จะใจเขา ใจเรา รับฟังเขา รับฟังเราด้วย ไม่ใช่ไม่เอา จะเอาอย่างนั้นอย่างนี้ตลอดเวลา มันผิดหมด พอเริ่มมีการปรับเปลี่ยน ชีวิตเราก็เริ่มดีขึ้น”

สมัยก่อนตอนเด็ก ทีนเป็นอีกหนึ่งคนที่ขาดความอบอุ่น? ทีน : “จะเรียกอย่างนั้นก็ได้”
น้อง : “มาก พอรู้จักเขาจะรู้ว่าเขาเป็นคนแข็งมาก แต่ข้างในเขาซอฟมาก อ่อนแอ แต่ข้างนอกเขาพยายามทำให้เห็นว่าฉันเข้มแข็ง แล้วเราได้เริ่มเรียนรู้เขา ก็เลยรู้ว่าเด็กๆ ไม่ได้มีใครดูแลเขาเท่าไหร่ คือคุณพ่อคุณแม่เขาก็ไปฝากไว้กับคุณตาคุณยาย เด็กต่างจังหวัดก็เล่นๆ กันไป เขาก็เลยดูแลตัวเองมาตลอด แล้วพอ ม.ปลาย เขาก็ไปอยู่วัด เพราะว่าเขาไม่อยากเป็นภาระของที่บ้าน”

ทำไมไปอยู่วัด? ทีน : “คือคุณยายท่านก็อยู่บนสวรรค์ แล้วคุณพ่อคุณแม่ไปทำงานที่อื่น ทุกๆ 1 เดือน 2 เดือน 3 เดือน หรือ 4 เดือน ท่านจะกลับมาหาเรา เอาเงินที่ได้มาให้คุณยายเอาไว้เลี้ยงดูลูก พอหลังๆ เหมือนคุณพ่อคุณแม่เริ่มหายไป เราเข้าใจว่าน่าจะเป็นสภาพของเศรษฐกิจ ไม่มีเงินที่จะเอามาเลี้ยงลูกได้ คุณยายก็มีคำพูดอะไรบางอย่างที่มันทำร้ายจิตใจเราว่าไม่ยอมมาดูแลนู่น นั่นนี่ เรารู้สึกว่าเราเป็นตัวปัญหา เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่จะแก้ไขได้คือ เราอย่าอยู่เป็นตัวปัญหา ไม่ใช่ฆ่าตัวตายนะ แต่มีเพื่อนที่เรียนอยู่ ม.4 เขาอยู่วัด ก็ให้เขาไปคุยกับหลวงพ่อว่าสามารถรับเด็กวัดเพิ่มได้ไหม บ้านก็ไม่ต้องเช่า ข้าวก็ไม่ต้องซื้อ พอคุยเสร็จแล้ว หลวงพ่อบอกว่าได้ มาสิ ผมก็ไปคุยกับคุณยาย ขออนุญาตไปอยู่วัดแบบไม่บอกเหตุผลอะไรทั้งสิ้น ยายก็ร้องไห้ เราก็ไม่อยากบอกเหตุผลว่ามันเป็นคำพูดที่แทงใจดำเรา เราก็มาเลย ม.4-ม.6 อยู่วัด พอเข้ามหาวิทยาลัยก็อยู่คนเดียว เอาง่ายๆ ตั้งแต่เด็กจนถึงทุกวันนี้เราก็อยู่คนเดียวมาโดยตลอด”

จนมีพี่น้อง(ภรรยา)มาเติมเต็ม? ทีน : “อันนี้สำคัญมากๆ เขามาเติมเต็ม สมัยก่อนเป็นทั้งพี่สาว ภรรยา เป็นทั้งเพื่อน เป็นทุกอย่างมันครบไปหมด เขาสามารถซัพพอร์ตเราได้ทุกช่วงอารมณ์”

ตอนใช้ชีวิตอยู่วัด มันลำบากไหม? ทีน : “ผมรู้สึกมันสนุกมากกว่า มันเป็นการเปิดโลกของเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยออกจากอกของปู่ย่าตายาย พอออกมาเราเจอเพื่อน เพราะฉะนั้นชีวิตของเรามีแต่เพื่อน เพื่อนคือเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนชีวิตของเราเลย โชคดีมากนะที่ไม่ติดยา ไม่ติดเหล้า ไม่เสียการเรียน โชคดีมาก”

เคยคิดไหมว่าผู้หญิงคนนี้ดีเกินไปสำหรับเรา? ทีน : “เคยคิด ทุกครั้งที่เรารู้ว่าโปรไฟล์เขาเป็นยังไง ผู้หญิงหลายๆ คนที่ผมรู้จัก ผมไม่ได้ศึกษาถึงโปรไฟล์เขาว่าพ่อแม่เป็นใคร ทำอาชีพอะไร พอวันนึง โอ้โห..คุณแม่ก็มาจากตระกูลสูง คุณพ่อก็เป็นอดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลตำรวจ เป็นคุณหมอ เป็นตำรวจยศนายพล ทุกอย่างมันก็คิดว่ามันดูไม่เหมาะ แต่สุดท้ายแล้ว คนที่ตัดสินไม่ใช่เรา แต่เป็นตัวเขาเอง และคุณพ่อคุณแม่เขาว่าเราเหมาะสมกับลูกสาวเขาไหม”

พี่น้องคิดยังไงกับเรื่องที่พี่ทีนคิดว่าตัวเขาเองไม่เหมาะสมกับพี่? น้อง : “วันนั้นเราก็เลยบอกว่า ป่ะ..เข้าบ้าน จะได้รู้ว่าแฮปปี้ไหม ถ้าไม่แฮปปี้ไปไหนก็ไป นี่เป็นคนตรง ถ้าแฮปปี้ก็ต่อ พอเข้าไปปุ๊บ แม่กับพ่อก็โอเคเลย”
ทีน : “สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้จากบ้านนี้เลย จากคุณแม่คุณพ่อ จากพี่ชาย ว่าที่พี่สะใภ้ จากหมา จากพี่เลี้ยงทุกคน พื้นที่ในบ้านนี้ประมาณ 200 ตารางวา มีแต่ความรักทุกพื้นที่ เต็มไปหมดมันดีมากเลยเราก็เลยอยากพัฒนาความสัมพันธ์ ไม่ใช่แค่แฟนธรรมดาแล้ว เราอยากจะเป็นคู่ชีวิต”

ตัดสินใจนานไหมหลังจากที่เดทกันว่าจะแต่งงาน? น้อง : “ไม่นาน”
ทีน : “เราคุยกัน 9 เดือนเองนะ แล้วผมโทรศัพท์ไปขอเลยว่าที่รัก แต่งงานกันไหม”

ตอนนี้คุณไม่อยากมีลูก แต่สมัยก่อนตอนที่คบกันใหม่ๆ อยากมี? ทีน : “ผมอยากมีลูกสาว ผมพยายามต่อสู้ อดทนในการสร้างทายาท 3 ปีแรก แล้วมันก็ไม่มา”

พี่ทีนอยากมี แต่พี่น้องไม่อยากมี? น้อง : “ไม่อยากมี เป็นคนติดแม่มาก แล้วมีความรู้สึกว่าเราอยากเป็นลูกตลอดเวลา เราไม่มีความรู้สึกว่าเราอยากเป็นแม่คน ทุกวันนี้ยังเป็นลูกแหง่ตลอดเวลา เราเลยไม่อยากมี แต่ถ้าเขาอยากมีก็ได้ แต่ไม่มีเอง”

พี่ได้ไปหาหมอไหม? ทีน : “เคย หมอบอกจะทำอย่างนี้ไหมละ ซึ่งผมเป็นคนที่ต่อต้านเรื่องของการทำอะไรที่ไม่เป็นธรรมชาติ ผมมีความรู้สึกทางธรรมที่ว่า ถ้าเขาพร้อม เขามาเอง อย่าไปบังคับ อย่าไปบีบให้เขาออกมา แบบนี้ก็เลยจบไป พอไม่มีคือไม่มีเลย จบ”

ณ ตอนนี้ตัดใจได้แล้วว่าไม่มีลูก? ทีน : “ครับผม”

แบบนี้วางแผนอนาคตไว้ยังไง? ทีน : “ทำงานเก็บเงินเยอะๆ แล้วใช้เงินกับความสุขของตัวเองได้เต็มที่”

แล้วถ้าสมมติวันนึงใครสักคนต้องไป แล้วสมบัติไปไหน? น้อง : “บริจาคหมดเลย”

วันนี้อยากจะบอกอะไรกับคุณน้อง? ทีน : “ผมใช้ชีวิตจนมาถึงทุกวันนี้ได้ โดยเป็นวิถีของคนปกติที่ดีที่สุดเนี่ยเพราะเขาคนเดียวเลย ถ้าไม่มีคุณน้อง ไม่มีภรรยาสุดที่รักคนนี้ ไม่รู้ว่าชีวิตตัวเอง ณ ปัจจุบันมันจะต้องไปทางซ้ายทางขวา หรือว่าจะไปตกหลุม หรือว่าจะไปตกท่อตายอยู่ตรงไหน ขอบคุณมากที่เดินเคียงข้างกันมา”
น้อง : “คือจริงๆ จะบอกว่าภูมิใจเขามาก เขาเป็นคนที่ปรับเปลี่ยนตัวเองตลอดเวลา แล้วเขาไม่เคยปิดกั้นสิ่งที่เราพูดเลย เขาเป็นคนที่จิตใจดีมากที่สุดในโลก คนนี้ยิ่งกว่ารัก”

คลิปสัมภาษณ์ ทีน สราวุฒิ-ภรรยา

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6485633
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6485633