จากตลกสู่พ่อค้า สุเทพ สีใส เจอพิษโควิดไร้งานครึ่งปี ขายกะปิโหว่ เลี้ยงครอบครัว


ให้คะแนน


แชร์

ตลกมากความสามารถ สุเทพ สีใส โดนพิษโควิด ไร้งานกว่าครึ่งปี ทำธุรกิจกะปิโหว่สูตรโบราณ เป็นรายได้หลักเลี้ยงของครอบครัว

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

ได้รับแรงกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เต็มๆ สำหรับนักแสดงตลก สุเทพ สีใส ที่ไม่มีงานเข้ามา รายได้ที่หาไปจากในวงการบันเทิงเกือบครึ่งปีแล้ว แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยท้อขอสู้ทุกทาง เมื่อได้มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 พร้อมกับภรรยาคนสวย คุณป๊อบ ก็ได้นำกะปิโหว่สูตรโบราณ ที่เมื่อก่อนเป็นรายได้เสริมของครอบครัว แต่ปัจจุบัน ณ ตอนนี้สลับสับเปลี่ยนเป็นรายได้หลักไปเป็นที่เรียบร้อย พร้อมยังเปิดใจครั้งแรกกับความรักที่ไม่ได้เกิดจากความหวาน แต่ที่อยู่ด้วยกันมาเพราะความผูกพัน

สุเทพ : “จากเดิมเป็นอาชีพเสริมเมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อน ตอนนี้เข้าปีที่ 4 แล้วครับ พอเราออกมาแล้วมันขายดีมากๆ จนกลายเป็นรายได้หลักของบ้านเราเลย เกินคาดที่เราตั้งเป้าไว้ เป็นรสชาติชีวิตอีกแบบหนึ่งจากที่เราเคยเป็นลูกค้า แต่พอมาเป็นพ่อค้าแม่ค้าคืออีกแบบหนึ่งเลย เพราะเราต้องไปสัมผัสกับลูกค้าสารพัดรูปแบบมาก แต่เราก็ทำใจเพราะเราเป็นคนที่ขายของใหม่ๆ ก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แต่พอนานไปๆ ทำให้รู้ว่าเป็นธรรมชาติเป็นปกติของการค้าขาย”

ป๊อบ : “ด้วยความคาดหวังของเราตอนแรกด้วยค่ะ เราคาดหวังว่าเขาชิมแล้วต้องซื้อ เราเลยต้องเรียนรู้ไปกับการค้าขาย เพราะบางครั้งที่เขาชิมไม่ใช่เขาไม่กลับมาซื้อนะคะ เพราะว่าบางคนเขาก็กลับมาซื้อทีหลัง”

ณ ตอนนี้พูดได้เต็มปากเลยว่า นี่คือรายได้หลักของครอบครัว เพราะไม่มีรายได้จากงานในวงการบันเทิงมานานแค่ไหน? สุเทพ : “ประมาณตั้งแต่มกราคมมาแล้วครับ หนังที่จะปิดกล้องก็เลื่อน แล้วอีกเรื่องกำลังจะเปิดกล้องก็เลื่อนอีกจนพับโปรเจ็กต์ไป ส่วนงานต่างๆ ที่ว่าจะมีก็เลื่อนเหมือนกันจนพับโปรเจ็กต์ไปเรียบร้อยอันนี้คือรอบสองนะครับ แต่รอบสามนี้คือหนักเลย อย่างหนังคุณหม่ำที่กำลังถ่ายทำอยู่ก็ยังไม่ได้ถ่ายต่อเลย ต้องบอกว่าเรายังโชคดีที่เรายังมีอีกอาชีพที่สามารถเลี้ยงครอบครัวจนกลายเป็นรายได้หลักของเรา”

เห็นว่าทั้งคู่เคยคิดที่จะขยายกิจการด้วยใช่ไหม? ป๊อบ : “ใช่ค่ะ ป๊อบคิดเอง พอเราเห็นว่ามันไปได้เราก็เลยคิดที่จะขยาย เราคิดจะเริ่มขอ อย. แล้วก็อยากทำเป็นโรงงานผลิตเลย ที่เราทำอยู่ตอนนี้เป็นโฮมเมด แต่พอออเดอร์เยอะแรงของเราไม่พอแล้ว ถ้าเราทำไม่ทันเราก็จะเสียเครดิต แต่โชคดีมากพี่เทพบอกว่าค่อยๆ โต เพราะทำโรงงานเราต้องลงทุนมาก โชคดีที่ตัดสินใจยังไม่เปิดโรงงาน แต่ในอนาคตถ้าสถานการณ์กลับมาปกติ เราก็คิดว่าอาจจะเปิดค่ะ”

กะปิโหว่สูตรโบราณ แล้วยิ่งบอกว่าเป็นโฮมเมด สูตรนี้นำมาจากไหน? ป๊อบ : “จากคุณแม่ของป๊อบเองค่ะ สูตรนี้ไม่จำเป็นต้องทานกับมะม่วงเท่านั้นนะคะ สามารถทานได้กับผลไม้ทุกชนิดเลยค่ะ เพียงแต่ว่าที่เราเอาเป็นมะม่วงเบาเพราะคนกรุงเทพฯ ไม่ค่อยได้ทาน เป็นมะม่วงของทางภาคใต้ เราก็เลยเอาตัวมะม่วงมาช่วยเป็นการตลาดเสริมเพิ่มเติมกะปิของเราไปอีกทางหนึ่งด้วย”

สุเทพ : “ซึ่งกะปิของเราสูตรโบราณแท้ เพราะไม่เค็ม ไม่คาว ไม่เผ็ด เป็นกะปิโหว่จากคลองโคน ที่ใช้เวลาหมักหนึ่งปีครึ่งเอามาผสมผสานกับน้ำตาลมะพร้าวแท้ และเราจะไม่ใส่น้ำตาลทรายเลย ไม่ใส่สารกันบูด ไม่ใส่ผงชูรส สามารถเก็บแบบไม่ใส่ตู้เย็นก็ได้หรือใส่ตู้เย็นก็ได้ สามารถเก็บได้ถึง 5-6 เดือนราคาที่สั่งจะอยู่ในไลน์นะครับ @POPVERS49 แต่เรายังมีอีกตัวนะครับ มะม่วงเบาแท้แช่อิ่มของเราจะไม่ใส่สารกรอบเลยจะเป็นแบบธรรมชาติเลย”

ป๊อบ : “ซึ่งมีลูกค้าของเราที่ติดใจแล้วเขาอยู่ที่ออสเตรเลีย เขาก็รับกะปิของเราไปขายที่โน้นกึ่งๆ เป็นตัวแทนนำไปขาย แล้วมีคนที่สั่งกับเขาก็ไลน์กลับมาสั่งที่เรา”

สุเทพ : “ซึ่งในช่วงโควิดนี้เราก็ยังเอากะปิของเราไปเป็นกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ 14 โรงพยาบาล ปลอกมะม่วงแล้วเราก็แพ็กกันสองคนเพื่อนำไปให้โรงพยาบาลละ 100 ชุด เพราะว่าเราไม่มีสิ่งไหนที่ช่วยได้ แต่เราพอทำสิ่งนี้ที่ช่วยได้เพื่อเป็นกำลังใจ เราก็ทำเต็มที่”

เราเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดเช่นกัน ไม่มีงานเลยเหมือนกัน แต่ก็ยังมีน้ำใจให้กับสังคม? สุเทพ : “จากวันนั้นถึงวันนี้รายการ ต้มยำอมรินทร์ คืองานแรกเลยครับ ทุกวันนี้ก็เอาเงินเก็บที่ได้นำมาใช้แล้วครับ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ คือเงินเก่าที่เราเคยเก็บมาเมื่อก่อน เพราะว่ารายได้ไม่มีทางไหนเข้ามาเลย แต่ก็จะมีตรงนี้ที่ขายของได้เข้ามาช่วยได้บ้าง แต่ถ้าถามว่าเป็นหมื่นเป็นแสนขนาดนั้นไหม ก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้น แต่ก็ยังคือรายได้บ้าง”

เห็นว่าในช่วงแบบนี้มีโปรโมชั่นลดค่าตัวด้วยเหรอ? สุเทพ : “อย่างมีรายการต่างๆ ที่เสนอมา แล้วเขาก็คุยกับเราว่าขนาดนี้ได้ไหมเท่านี้ได้หรือเปล่า เราก็ได้เพราะว่ามันจำเป็นต้องเอา เพราะถ้าเราไม่เอางานไว้เขาก็จะไปเลือกคนอื่นเดี๋ยวนี้มีนักแสดงใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมาให้เขาเลือกมากมายด้วย”

ในเรื่องร้ายๆ ที่มาจากโควิด ก็ยังมีเรื่องดีๆ อยู่ข้อหนึ่ง เพิ่งจะมีเวลาอยู่กับครอบครัว อยู่กับลูกได้เต็มๆ เวลาก็ช่วงนี้ เพราะ 20 ปีที่ผ่านมาทำงานเยอะมากจนไม่มีเวลา? สุเทพ : “ใช่ครับ แต่ก็จะอยู่กับลูกได้เต็มๆ เวลาก็ได้ประมาณหนึ่ง แต่เราก็ขอให้โควิดมันไปเร็วๆ เถอะ เราต้องช่วยกันการ์ดอย่าตกเท่านั้นเองครับ”

กี่ปีแล้วที่แต่งงานกันมา? สุเทพ : “เข้าปีที่ 23 แล้วครับ” ป๊อบ : “ถ้าถามว่าย้อนกลับไปวันที่พี่เทพเข้ามาจีบ เราไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเลยค่ะ ไม่ได้คิดที่จะเอามาเป็นแฟน”

สุเทพ : “ตอนนั้นที่เราจีบเขาตามตื๊อนานมาก การที่จะชวนเขาออกมาทานข้าว เราใช้เวลาเป็นปีเป็นเดือนเลยกว่าจะออกมาได้ กว่าเขาจะหลงคารมเรา สำหรับเขาคือคนพิเศษของเราจริงๆ เราขยันโทรศัพท์หาเขามากๆ แต่อย่างผู้หญิงคนอื่นเราก็เจอเขาแค่ตามคาเฟ่ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษเพราะแค่เราเจอๆ คุยๆ แล้วก็หายไป แต่สำหรับป๊อบ ผมโทรศัพท์หาเขาทุกวันฮาโลสบายดีไหม ทานข้าวหรือยัง เขาไปทำงานก่อนนะ”

ป๊อบ : “เราก็รับสายเขาทุกวันค่ะ เพราะว่าเป็นโทรศัพท์ที่ห้องไงมันไม่รู้ เขาก็จะโทรมาทุกวันแต่คุยแบบสั้นๆ ไม่ได้ยาวมากเหมือนแค่รายงานเราว่าเขาทำอะไรยังไง ถามเราว่าเราเป็นยังไงสบายดีไหมสั้นๆ ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าทำไมต้องโทรมาบอกเราไม่ได้คุยอะไรยาวมากไม่ได้จีบเรา ถามว่ามีรำคาญไหม แรกๆ มีบ้างค่ะ แต่เพราะว่าเขาคุยไม่นานไงคะ ถ้าลองเขามาจีบแล้วคุยนานๆ บอกตรงเราคงไม่คุยด้วย”

สุเทพ : “เราคุยวันละนิดวันละหน่อย ที่ผมไม่คุยยาวเพราะอะไรรู้ไหมเปลืองค่าโทรศัพท์ (หัวเราะ) ป๊อบ : “ที่เราไม่ได้คิดอะไรตั้งแต่แรก เพราะว่าตลกเมื่อก่อนขึ้นชื่อมากเรื่องความเจ้าชู้ และเขาค่อนข้างจะงานเยอะ”

ความรู้สึกเปลี่ยนไปตอนไหน ทั้งที่ไม่เคยสนใจในตัวของเขาเลย? สุเทพ : “เมื่อก่อนนี้เราก็จะมีไปถ่ายรายการตามสตูดิโอต่างๆ เราก็อยากให้เขาได้เห็นว่าเราทำอะไรบ้าง วันๆ เราก็เลยชวนเขาออกมาก่อน เพราะถ้าออกมาตอนแรกครั้งแรกได้แล้วก็ต้องมีสองสามสี่ตามมาแน่นอน ครั้งแรกคือครั้งที่สำคัญที่สุด ตอนนั้นผมขับรถที่เปิดประทุน เป็นตลกที่ขับรถราคาล้านสอง แต่สิ่งสำคัญที่เราอยากให้เขารู้ที่สุด คือเราไม่ได้มีใครนะ แล้ววันนั้นฝนตกแล้วออกมาทานข้าวด้วยกัน วันนั้นฝนตกหนักมากเลย แล้วพอเราไปส่งเขาน้ำท่วมในซอย ถ้าเป็นคนอื่นเราคงถอยรถกลับไปแล้วแต่เพราะว่าเป็นเขาคนที่เราชอบมาก เราก็ขับรถที่เรารักมากลุยน้ำไปส่งเขา นั่นคือครั้งแรกที่เขายอมออกมา แล้วพอมีครั้งแรกเราก็ชวนเขาไปดูเราถ่ายงาน ซึ่งพวกช่างแต่งหน้าหรือทีมงานเขาก็ไม่รู้นะครับ ว่าเขามานั่งรอผมนึกว่ามารอพระเอกคนไหน”

ป๊อบ : “ตอนนั้นเราก็เริ่มใจอ่อนแล้ว เพราะว่าเราคุยกับเขา เขาบอกเราทุกอย่างทุกที่ที่เขาไป พอเขาชวนเราไปดูเขาทำงาน เราก็ไปเพราะว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่รองาน ถามว่ามันก็ยังไม่ได้รู้สึกว่ารักนะคะ แต่รู้สึกแค่เป็นเพื่อนคนหนึ่งที่ต่างอาชีพ เราก็ได้ไปเห็นการทำงานของเขาว่าทำยังไงกองเขาเป็นยังไง”

สุเทพ : “มันเป็นการจุดประกายนะครับ ที่เขาไปเห็นเราทำงานเพราะเขาเริ่มเห็นใจ เริ่มสงสารผม เพราะความสงสารมันค่อยๆ กลับกลายมาเป็นความรัก”

แล้วพี่สุเทพรักถูกใจในตัวของผู้หญิงคนนี้เพราะอะไร นี่คือคำถามที่ตลอดชีวิตยังไม่เคยบอก ไม่เคยพูดเลย? สุเทพ : “ที่รักผู้หญิงคนนี้เพราะรักป๊อบ ทั้ง 23 ปีที่อยู่ด้วยกันมา เรามั่นใจแล้วว่าผู้หญิงคนนี้รักเราจริงๆ สงสารเราจริง ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้เราจริงทั้งชีวิตของเขา เขาจากพ่อแม่ของเขาที่ส่งเขาเรียนเลี้ยงดูเขามาจากพ่อแม่มาอยู่กับเราทั้งชีวิต เราก็ตั้งใจแล้วที่จะดูแลเขาให้ดีที่สุด และเราก็ชอบนิสัยของเขาก็คิดว่าอันนี้แหละเป็นความรักและความเข้าใจที่มอบให้ผู้หญิงคนนี้”

แต่ทั้งคู่ที่รักกันแบบนี้ อยู่ด้วยกัน เจอกันที่ผ่านมา ไม่เคยมีโมเมนต์ที่ขอกันเป็นแฟนเลย? สุเทพ : “ไม่มีเลยครับ ไม่เคยขอเป็นแฟนเพราะเรามีความรู้สึกที่ดีที่เราเข้าใจกัน มันก็เลยไม่ได้มีวันครบรอบอะไร แต่เราก็อยู่ด้วยกันมาตลอดระยะเวลา 23 ปี เราอยู่ด้วยความเข้าใจกัน ซึ่งความเข้าใจที่เราอยู่ด้วยกันมา มันข้ามคำว่าเป็นแฟนกันไหม แต่งงานกันนะมาแล้วครับ”

ป๊อบ : “แล้วมาถามว่ารักตอนไหน บอกไม่ได้เลยนะคะ มันเหมือนที่เราอยู่ด้วยกันมามันกลืนทุกอย่างไปหมดเลย มันกลายเป็นความผูกพันกันมากกว่า อย่างในบางเรื่องบางครั้งอายุเขาห่างจากเราเยอะมาก 15 ปีเลย บางครั้งเขาสอนเราโดยที่เขาไม่ได้พูด”

เทียบกันแล้วใครที่หวานแล้วก็สวีตมากกว่ากัน? ป๊อบ : “ไม่มีเลยค่ะ เมื่อก่อนจะเป็นพี่เทพ แต่หลังๆ คือไม่มีแล้ว” สุเทพ : “พอหลังๆ ตั้งแต่มีลูก เขาก็ทำหน้าที่ดูลูก ผมก็ทำหน้าที่ทำงาน เพราะว่าความหวานที่เรามีให้กันมา 23 ปี ที่เราเติมให้กันมา เราก็คิดว่ามันเยอะมากพอแล้ว แต่ว่าก่อนไปทำงานทุกวันเราก็จะหอมเขาแบบครบเซ็ตเลย แล้วก็ทำแบบนี้กับลูกด้วย”

ป๊อบ : “ซึ่งตัวของลูกสาวก็เป็นแบบเขาเหมือนกัน ถ้าจะออกไปเรียน ถ้าพ่อยังนอนอยู่เขาก็ต้องไปปลุกแล้วก็ไปหอมพ่อของเขาแบบนี้ตลอดทุกครั้ง”

และอีกหนึ่งกฎเหล็กทุกสองทุ่มคือต้องโทรหา? ป๊อบ : “23 ปีแล้วที่ต้องทำแบบนี้เพราะอย่างน้อยเราจะได้รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนเพราะตารางงานของพี่เทพ ป๊อบรู้อยู่แล้วว่าไปไหนที่ไหนยังไง แต่ยังไงคุณต้องโทรและยิ่งมีลูกแล้วด้วยยิ่งต้องโทรไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากจะเป็นช่วงที่เขาถ่ายงานเขาก็จะไลน์มาบอกว่าออกมาโทรไม่ได้นะ ต้องให้ถ่ายให้ครบก่อนนะ เราก็ถึงจะสบายใจ”

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้ ห่วงหล่อมาก ตั้งแต่หน้าผม และการแต่งตัว? สุเทพ : “ครั้งแรกที่ป๊อบไปเห็นเขายังงงเลยนะว่าห้องผมตอนนั้นยังอยู่อพาร์ตเมนต์ ทุกอย่างเนี้ยบมาก ผมจะวางทุกอย่างไว้เป๊ะมากเป็นระเบียบร้อยเรียบร้อยมากจนถึงทุกวันนี้ นิสัยผมไม่ว่าจะหยิบอะไรมาใช้ผมจะวางไว้ที่เก่าหมดเลย”

ป๊อบ : “แล้วเขาตอนที่ยังไม่โควิด ต้องไปทำหน้า นวดหน้า ทำเล็บทุกอาทิตย์ (หัวเราะ)”

สุเทพ : “ถึงเราจะหน้าตาแบบนี้ เราก็ต้องยิ่งดูแลตัวเราเองให้ดี เพราะสภาพหน้าเราแย่อยู่แล้วถ้าไม่ได้ไปทำอะไรเลยเดี๋ยวมันจะแย่ไปกันใหญ่”

ป๊อบ : “ส่วนในเรื่องของการแต่งตัว ป๊อบเคยซื้อให้เขาตอนวันเกิดซึ่งนั่นก็เป็นครั้งเดียว พอเขาเปิดกล่องมาเขาบอกเราว่า ป๊อบต่อจากนี้ไปไม่ต้องซื้อแล้วนะ เขาบอกเขาไม่เอา”

สุเทพ : “ที่เราไม่ให้เขาซื้อเพราะเราคิดว่าซื้อมาเราก็ไม่ได้ใช้ เพราะว่าเราจะชอบในแบบสไตล์ของเราที่เราซื้อเอง”

ป๊อบ : “แต่ต้องบอกก่อนนะคะ เขาไม่ได้ดูแลแค่ตัวเองนะคะ แต่เขายังดูแลเราด้วย พอเขาเห็นอะไรที่เหมาะกับเราเขาก็จะซื้อมาให้เราเลย แล้วเขาก็จะบอกเราว่าอันนี้ใส่แล้วโอเค อันไหนใส่แล้วดูแก่ แต่ตั้งแต่มีลูก เขาปรับวิธีการใช้ชีวิตหมดเลย ไม่เคยซื้อของอะไรที่เป็นแบรนด์เนมเลย ลดลงไปเลย”

สุเทพ : “ที่เราหยุดใช้เพราะว่าเราเป็นเสาหลักของครอบครัว เราคิดว่าอย่างน้อยที่เราจะเอาเงินไปใช้ตรงนั้นเราเก็บเอาไว้เพื่อครอบครัวดีกว่า”

ป๊อบ : “และอีกสิ่งหนึ่งที่เขาเปลี่ยนไปคือ เป็นคนที่ขี้น้อยใจเรียกร้องความสนใจจากลูก เรียกว่าเข้าสู่วัยชราเลยก็ว่าได้ค่ะ (หัวเราะ) อันนี้ที่เขาเริ่มเป็นคือช่วงที่ลูกเริ่มเข้าวัยรุ่นจนเขาน้อยใจที่เขาพูดมาเลยว่า ลูกแม่สิ อะไรก็แม่ๆ เราเข้าใจแหละเพราะว่าเขาไม่ได้เข้าใกล้ลูกเลย เพราะว่ามีช่วงที่เขาทำงานหนักมาก เขาเลยไม่ได้มีเวลาที่จะดูแลเลี้ยงดูลูก เราก็ทำทุกอย่างเพื่อประคองให้ลูกไม่ได้รู้สึกขาดความอบอุ่น เพราะว่าเขาไม่ได้เจอหน้าพ่อเขาเลย เราเลยต้องมีวิธีคุยกับลูกตลอด ถามว่าหนักไหมก็หนักนะคะที่จะทำให้ลูกเข้าใจ ซึ่งลูกก็จะมีวิธีการปฏิเสธในรูปแบบของเขา เมื่อทางโรงเรียนถามว่า น้องฟลุ๊ค งานนี้คุณพ่อสามารถมางานที่โรงเรียนได้ไหม เพราะว่าน้องฟลุ๊คเขาก็จะรู้ตารางคุณพ่อทั้งหมดเลย”

สุเทพ : “ติดลูกมากครับ แต่ตอนนี้เขาเรียนจบแล้ว แล้วเขาก็ได้รับเข้าทำงานเลย”

ป๊อบ : “เป็นศูนย์วิจัยโรคอุบัติใหม่ของสภากาชาดไทย แล้วเราก็เพิ่งรู้ตอนที่ลูกสาวมาบอกว่าเขาได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งของคณะวิทยาศาสตร์ แต่พ่อเขาอยากให้เรียนต่อ ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าไม่ติดโควิดเขาได้ทุนปริญญาโทที่เกาหลี แล้วซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เลย แต่พอติดโควิดก็พลิกทุกอย่างเลย เราก็บอกลูกว่า ฟลุ๊คก็เปลี่ยนวิธีการคิดอย่าไปเสียดายเริ่มใหม่ เขาก็เลยตัดสินใจทำงานไปก่อน”

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6486322
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6486322