หัวใจที่อ้างว้างของ จอห์น เมเยอร์ มือกีตาร์เสือผู้หญิง นิสัยดิบเถื่อน


ให้คะแนน


แชร์

ด้วยวัยเพียง 13 ปี จอห์น เมเยอร์ ไม่ได้ขอพ่อเรียนดนตรี แต่เขาขอให้ อัล เฟอร์เรนเต เจ้าของร้านขายกีตาร์ในเมืองแฟร์ฟิลด์ รัฐคอนเนกติกัต สอนกีตาร์ให้เพื่อตัวเองจะได้หลีกลี้จากโลกแห่งความจริง ก่อนที่เขาจะก้าวเข้าสู่โลกแห่งเส้นลวด 6 สายแบบถอนตัวไม่ขึ้น …จนพ่อแม่ตัดสินใจพาไปพบจิตแพทย์

นี่คือบาดแผลแรกที่ซ่อนตัวอยู่ภายในจิตใต้สำนึกของเขา ด้วยคำถามที่ว่า “การหมกมุ่นในการเล่นกีตาร์เป็นเรื่องผิดอะไร?” และเขาเองก็รับมือกับการเห็นภาพที่พ่อแม่ทะเลาะกันอย่างรุนแรงต่อหน้าหลายครั้งหลายคราไม่ได้ เด็กชายเมเยอร์จึงเร้นตัวอยู่ที่มุมเล็กๆ ภายในห้องส่วนตัวเพื่อเล่นกีตาร์อย่างมุ่งมั่นเป็นเวลา 2 ปี ก่อนที่จะมีฝีมือมากพอจะหาเงินจากการเล่นกีตาร์ที่บาร์ท้องถิ่นหลายแห่งทั้งๆ ที่ยังเรียนไม่จบมัธยมปลาย และตั้งวงดนตรีที่มีชื่อว่า Villanova Junction ที่หยิบยืมมาจากชื่อเพลงของ จิมี เฮนดริกซ์ ร่วมกับเพื่อนอีก 3 คน

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของเมเยอร์ เกิดขึ้นเมื่อเขาเกือบตายด้วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะในวัย 17 ปี ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า “นั่นเป็นช่วงเวลาที่จิตวิญญาณความเป็นนักแต่งเพลงก่อกำเนิดขึ้นในตัวผม” เขาจึงตัดสินใจเขียนเพลงแรกในชีวิตบนเตียงคนไข้ในคืนสุดท้ายก่อนออกจากโรงพยาบาล

เคยมีตำนานเล่าขานว่า โรเบิร์ต จอห์นสัน มือกีตาร์บลูส์ที่มีฝีมือเก่งฉกาจที่สุดคนหนึ่งยอมขายวิญญาณให้กับ ‘ซาตาน’ กลางสี่แยกแห่งหนึ่ง เพื่อแลกกับความสามารถในการเล่นกีตาร์ที่เหนือชั้นในชั่วข้ามคืน ขณะที่ถึงแม้เมเยอร์จะไม่ได้ขายวิญญาณให้กับซาตาน แต่ด้วยชีวิตครอบครัวที่ไม่เคยมอบความอบอุ่นให้กับเขาได้มาตั้งแต่เด็กจนโตนั้น บั่นทอนจิตใจของเขาอย่างมาก จึงส่งผลให้เขามีปัญหาทางสุขภาพจิตหลายอย่างตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นอาการวิตกกังวล หรืออาการแพนิก (Panic) ที่หวาดกลัวว่าตัวเองจะไร้ซึ่งความมั่นคงในชีวิต

และด้วยรูปร่างหน้าตาอันหล่อเหลานี้เองที่ทำให้เมเยอร์เป็นหนุ่มเพลย์บอยมาตั้งแต่สมัยเรียน แต่เขาไม่รู้ว่าจะมอบ ‘ความรักที่แท้จริง’ ให้กับผู้หญิงได้อย่างไร เพราะความรักหลายครั้งมักส่อแววว่าจะล่มสลาย ทำให้ลึกๆ เขากลัวที่จะมอบความรักให้ผู้หญิงสักคนแล้วถูกทิ้งขว้างอย่างไม่ไยดี

ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เขาจึงเป็นฝ่ายบอกเลิกกับคนรักก่อนเสมอ เมื่อสัมผัสได้ว่าความรักเริ่มสั่นคลอน แต่หารู้ไม่ว่าความรู้สึกไม่ปลอดภัยที่ซุกซ่อนอยู่ภายในตัวเองต่างหากที่ทำให้เขาตัดจบความสัมพันธ์ก่อนถึงเวลาอันควรอยู่หลายครั้ง


Daughters
เพลงจากอัลบั้มชุดที่ 2 อย่าง Heavier Things (2003) อาจเป็นเพลงแรกที่ทำให้ชื่อของ จอห์น เมเยอร์ โด่งดังในระดับโลกอย่างแท้จริง …แต่บทเพลงที่คว้า 2 รางวัลแกรมมี่เพลงนี้ก็บ่งบอกเป็นนัยๆ ว่า เมเยอร์มีความเชื่อมั่นอยู่ลึกๆ ว่า “รักแท้ไม่มีอยู่จริง”

ครั้งหนึ่ง เมเยอร์เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เขาจินตนาการถึงผู้ชายคนหนึ่งที่รักคนรักของเขามาก แต่ท้ายที่สุดแล้ว เธอก็ไม่ยินยอมให้ชายคนรักเข้ามาครอบครองหัวใจของเธอได้ทั้งดวง เพราะความหวาดกลัวว่าจะถูกหลอก มีทั้งแฟนเพลงและนักวิจารณ์เพลงตีความว่า ผู้หญิงในเพลงนี้คือ ‘ความรู้สึกหวาดกลัวในความไม่มั่นคง’ ที่อยู่ภายในจิตใจของเมเยอร์เอง

“มันเป็นเพลงที่พูดถึงการย้อนอดีตเพื่อหาร่องรอยที่ว่า อะไรกันหนอที่ทำให้คนคนหนึ่งรักใครอีกคนหนึ่งได้อย่างหมดหัวใจ ซึ่งคำตอบก็คือ ร่องรอยเหล่านั้นมันไม่มีอยู่จริง เราทึกทักเอาเองว่ามันมี ทั้งๆ ที่มันไม่มี” นั่นคือหนึ่งในการตีความ

และด้วยความสามารถในการแต่งเพลงของเมเยอร์ เขาจึงไม่ได้พูดถึงสิ่งเหล่านั้นออกมาตรงๆ แต่บอกเล่าผ่านเนื้อหาของบทเพลงที่เรียกร้องให้พ่อแม่ดูแล ‘ลูกสาว’ ของพวกเขาให้ดีที่สุด เพื่อให้เธอได้เข้าใจถึงความรักที่แท้จริง ซึ่งก็ยิ่งตอกย้ำเข้าไปอีกว่า เมเยอร์กำลังพูดถึงพ่อแม่ของเขาที่ไม่ได้มอบความรักอันยั่งยืนให้กับเขาเลย และเขาก็ให้ลูกสาวเป็นตัวแทนของตัวเองเพื่อแสดงด้านที่อ่อนไหวนั้นออกมา ซึ่งสอดคล้องกับดนตรีอะคูสติกติดกลิ่นอายดนตรีบลูส์ของตัวเพลงได้อย่างหมดจดงดงาม

แม้จะไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ว่า ในสมัยที่ยังไม่มีชื่อเสียง เมเยอร์เคยเดตกับผู้หญิงมาแล้วกี่คน แต่ในปี 2002 มือกีตาร์เสือผู้หญิงคนนี้เคยเดตกับนักแสดงสาว เจนนิเฟอร์ เลิฟ ฮิววิตต์ อยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนที่จะเลิกรากันไป และคนจำนวนมากเชื่อว่า Your Body Is a Wonderland บทเพลงที่พร่ำเพ้อถึงเรือนร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยงามจนน่าพิศวงนั้น เมเยอร์อาจได้รับแรงบันดาลใจมาจากรูปร่างที่สวยงามของเลิฟ ฮิววิตต์ ซึ่งข้อสันนิษฐานนี้อาจเป็นไปได้สูง หากเขาไม่เคยพูดที่คลับระหว่างการแสดงเดี่ยวไมโครโฟน The Laugh Factory ในแอลเอว่า เขาไม่เคยมีเซ็กซ์กับอดีตคนรักนักแสดงสาวคนนี้มาก่อน เพราะทุกครั้งที่เมเยอร์อยาก ‘บรรเลงเพลงรัก’ กับเธอขึ้นมาเมื่อไหร่ เขาก็มักเกิดอาการอาหารเป็นพิษอยู่ตลอด

การแสดงตลกที่ไม่ค่อยมีใครตลก-โดยเฉพาะกับผู้หญิง-นี้ ทำให้เมเยอร์ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่า เขามองผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุทางเพศ ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาออกมาขอโทษอดีตแฟนสาวในภายหลัง พร้อมบอกด้วยว่า “ผมมันโง่เองที่เล่นมุกตลกแบบนี้”

แต่เมเยอร์ก็หาได้เข็ดไม่ เพราะในปี 2008 เขาได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เขาเลิกรากับ เจนนิเฟอร์ อนิสตัน ที่เคยเดตกันไม่นานในช่วงซัมเมอร์ปีนั้น เนื่องจากไม่อยากให้ฝ่ายหญิงเสียเวลา เพราะรู้ตัวดีว่าเขาไม่เหมาะสม ซึ่งหากพูดเพียงเท่านี้ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี ถ้าเมเยอร์ไม่พยายามอย่างหนักที่จะบอกกับสื่อว่า เขาเป็นฝ่าย ‘บอกเลิก’ นักแสดงสาวที่สวยและฮอตที่สุดในเวลานั้นอย่างอนิสตัน จนถึงขั้นบอกว่าการบอกเลิกกับเธอนั้น ก็ไม่ต่างจากการที่เขาเผาธงชาติอเมริกัน ซึ่งเปรียบได้กับการไม่ไยดีผู้หญิงในอุดมคติของผู้ชายทั่วโลก

และแน่นอนว่า คนที่ชอกช้ำกับการคุยโวของเมเยอร์มากที่สุด ก็คืออนิสตันเอง ซึ่งทางนิตยสาร Rolling Stone ถึงกับเขียนถึงมือกีตาร์หนุ่มว่า “การเรียกร้องความสนใจด้วยการให้สัมภาษณ์ว่าตัวเองเป็นฝ่ายบอกเลิกผู้หญิงที่เขาคิดเอาเองว่าเป็นผู้หญิงในฝันของผู้ชายทั้งโลก ทำให้เขาเหมือนเป็นไอ้ผู้ชายหน้าโง่คนหนึ่ง”

นักร้องสาว เจสสิกา ซิมป์สัน ก็เคยรักๆ เลิกๆ กับเมเยอร์อยู่หลายปี นับตั้งแต่ที่ทั้งคู่เริ่มคบกันในปี 2010 ซึ่งหลังจากที่เลิกรากัน เมเยอร์ก็ยังคงไม่ให้เกียรติฝ่ายหญิงอยู่เช่นเดิม เพราะเขาเปรียบเทียบการมีเซ็กซ์กับซิมป์สันว่า “ไม่ต่างไปจากการติดยาเสพติด” และบอกตรงๆ ด้วยซ้ำว่า สำหรับเขาแล้ว เธอคือ ‘โคเคน’ ที่ต้องเสพตลอดเวลา และระดับความรุนแรงดิบเถื่อนในการมีเซ็กซ์กับเธอก็ไม่ต่างกับ ‘ระเบิดนาปาล์ม’ โดยคำพูดที่ทำให้เมเยอร์ถูกก่นด่าจากเหล่าเฟมินิสต์มากที่สุดก็คือ “ถ้าคุณคิดเงินผมหมื่นเหรียญเพื่อที่จะมีเซ็กซ์กับผู้หญิงแบบนี้ ผมจะเทหมดหนักตักเลยเพื่อที่ได้มีเซ็กซ์กับผู้หญิงแบบนี้ได้ตลอดเวลาที่ต้องการ”

นอกจากจะเป็นคนเหยียดเพศแล้ว เมเยอร์ก็ยังแสดงออกว่าเป็นคน ‘เหยียดผิว’ อยู่กลายๆ ด้วย เพราะเขาเคยเปรียบเทียบน้องชายของตัวเองกับ เดวิด ดุก ซึ่งเป็นอดีตแกนนำคนสำคัญของ Ku Klux Klan (คู คลักซ์ แคลน) ซึ่งเป็นกลุ่มคนขาวที่เหยียดคนผิวดำอย่างสุดขั้ว โดยเมเยอร์บอกว่า เขาไม่คิดที่จะมีเซ็กซ์กับผู้หญิงเชื้อสายแอฟริกัน/อเมริกันเพราะองคชาติของตัวเองเป็นพวก White Supremacy ที่เชื่อว่าคนขาวคือชาติพันธุ์ที่สูงส่งกว่าคนเชื้อชาติอื่น

ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เคยมีบทสัมภาษณ์ที่เมเยอร์สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มเกย์อย่างมาก เพราะคำพูดประชดประชันที่ว่า เขาอยากจะจูบกับ เปเรซ ฮิลตัน (สื่อเกย์ระดับเซเลบ) อย่างดูดดื่มที่สุด เพื่อให้สมกับที่เขาเกลียดพวกลักเพศ

แต่ก็ยังมีอดีตแฟนสาวของเมเยอร์คนหนึ่งที่กล้าตอบโต้เสือผู้หญิงอย่างเขา เธอคนนั้นคือ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ที่แต่งเพลง Dear John ขึ้นมาเพื่อที่จะบอกว่า เธอไม่ควรตกเป็นเหยื่อของเขา ซึ่งในภายหลัง เมเยอร์ก็ออกมาบอกว่า เขารู้สึกเสื่อมเสียเกียรติมากที่ถูกด่าผ่านเพลงแบบนี้ และเขาก็ได้แต่งเพลงอย่าง Paper Doll ออกมาตอบโต้สวิฟต์ โดยอ้างอิงจากเนื้อเพลง Dear John ท่อนหนึ่งที่ว่า “คุณแต่งแต้มท้องฟ้าให้ฉัน ก่อนที่จะเปลี่ยนให้มันกลายเป็นเมฆฝน” มาแปลงเป็นเนื้อหาของ Paper Doll ในท่อนที่ว่า “ถ้าหากปีกคู่นั้นทำให้นางฟ้าอย่างเธอบินไม่ได้ สงสัยคงต้องให้ใครสักคนมาแต่งแต้มท้องฟ้าอันใหม่ให้กับเธอแล้วล่ะมั้ง”

เจมส์ เบลก นักเทนนิสระดับโลกที่เป็นเพื่อนสนิทกับเมเยอร์บอกว่า แม้ชายผู้นี้จะเป็นที่คลั่งไคล้ของสาวๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทว่าในช่วงวัยรุ่น เขากลับโฟกัสไปที่การเล่นกีตาร์มากกว่า โดยเขาสามารถเล่นกีตาร์ของ สตีวี เรย์ วอห์น ได้ด้วยตัวเอง แถมบอกว่าเขาอยากเล่นดนตรีไปตลอดชีวิตด้วย ขณะที่ โจ เบเลซเนย์ ที่เคยเล่นริทึมกีตาร์กับเมเยอร์สมัยเรียนไฮสคูลก็บอกว่า เพื่อนเขาสามารถเล่นเบสส์ดรัมและตีคอร์ดกีตาร์ไปพร้อมๆ กันได้ ซึ่งทำให้ทุกคนที่ได้เห็นตกตะลึงไปเลย

เมเยอร์เองเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Rolling Stone ว่า “การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เป็นสิ่งที่ผมหวาดกลัวที่สุด ผมไม่ชอบการเรียนไปโรงเรียน ผมเคยบอก เจมส์ เบลก ว่า ผมไม่กลัวที่จะไม่มีเงิน และต้องอาศัยนอนตามบาร์สกปรกๆ หลังเล่นดนตรีเสร็จแล้ว ผมแค่อยากเล่นดนตรีเท่านั้น” ซึ่งก็คล้ายกับสิ่งที่เขาบอกกับพ่อแม่ที่ก่อให้เกิดผลตอบกลับที่ไม่สู้ดีนัก

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ร่ำเรียนจนจบไฮสคูล และเข้าศึกษาต่อในสถาบันดนตรีที่ดีที่สุดของสหรัฐอเมริกาอย่าง Berklee College of Music ในเมืองบอสตัน แต่เรียนไปได้เพียงแค่ปีเดียว เขาก็ตัดสินใจดร็อปเรียนและย้ายไปอยู่ที่เมืองแอตแลนตา เพื่อแต่งเพลงและเล่นดนตรีประจำให้กับร้าน Eddie’s Attic โดยในเวลาเดียวกันก็รับงานเป็นเด็กรับแขกหน้าร้านแบบพาร์ตไทม์ไปด้วย

“เขาเป็นเด็กหนุ่มที่เปี่ยมพรสวรรค์ทางดนตรีเท่าที่ผมเคยเห็นมา” เอ็ดดี โอเวน เจ้าของร้าน Eddie’s Attic กล่าวเช่นนั้น “เขาเชื่อมั่นมาตลอดว่าเขาจะต้องเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ให้ได้ แม้ในช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุด” ส่วน ไมเคิล แม็กโดนัลด์ ผู้จัดการส่วนตัวที่เป็นเพื่อนกับเมเยอร์มานานกว่า 10 ปี เผยว่า “เขามักจะปลีกวิเวกไปเล่นกีตาร์ เพราะในใจลึกๆ แล้ว เขามองตัวเองว่าเป็นคนนอกและเข้าสังคมไม่ได้เลย”

สำหรับเรื่องของการเป็นเสือผู้หญิงและมองผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุทางเพศของเขานั้น เคยมีนักจิตวิทยาชี้ว่าอาจเกิดมาจากปม ‘ขาดความรักจากพ่อในวัยเด็ก’ เมเยอร์จึงแต่งเพลงรักหวานๆ ออกมาแทน เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถดึงเอาจิตใต้สำนึกที่ว่า แท้จริงแล้ว เขาหลงใหลในสตรีเพศ และชื่นชมพวกเธอผ่านศิลปะดนตรี ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาทำในชีวิตจริงโดยสิ้นเชิง

ครั้งหนึ่งในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ Rolling Stone มีสาวสวยกลุ่มหนึ่งเดินผ่านหน้าเมเยอร์ไป เขาหยุดคุยกับนักข่าวทันทีและมองสาวๆ เหล่านั้นแบบตาไม่กะพริบ แล้วเผยว่า “หากผมคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งในนั้น ผู้หญิงคนอื่นๆ จะคิดว่าทำไมผมถึงไม่คุยกับพวกเธอก่อน และผมจะรู้สึกผิดมากๆ ถ้าคุยไปแล้วตาเกิดเหลือบไปเห็นผู้หญิงที่ผมอยากคุยมากกว่า ผมเป็นผู้ชายแบบนั้นแหละ ผมอยากได้ผู้หญิงทุกคน ผมช่วยตัวเองทุกวัน แต่ตอนนี้ผมคงกลับบ้านไปสูบกัญชา และเล่นเกม Modern Warfare 2 ทั้งคืน” ซึ่งก่อนจะจบบทสนทนาและกลับบ้าน เมเยอร์สูดลมหายใจเข้าปอดเล็กน้อย พร้อมพูดเสริมอีกด้วยว่า “สาวสวยหนึ่งในนั้นใช้น้ำหอมแบรนด์ Child ถ้าผมทายผิด ผมก็คือไอ้โง่คนหนึ่ง แต่ถ้าผมทายถูก ผมจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เจมส์ บอนด์ ของแท้”

และนั่นก็ยังแสดงให้เห็นว่าเขายังคงเป็น จอห์น เมเยอร์ ตัวจริงเสียงจริงไม่เคยเปลี่ยน

Sob Rock สตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 8 ของ จอห์น เมเยอร์ ที่มีเพลง New Light และ Last Train Home เป็นซิงเกิลฮิต มีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 16 กรกฎาคมนี้

อ้างอิง: Rolling Stone, Insider, Nolala

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/inter/2134675
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/inter/2134675