แก๊ปเปอร์ อนุญาต ศิลปินCall out ไม่ลิดรอนสิทธิ์ออกเสียง ลั่นอย่าอยู่ในกะลาแลนด์


ให้คะแนน


แชร์

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

แก๊ปเปอร์ อนุญาต ท่ามกลางกระแสการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของภาครัฐช่วงโควิด19 แก๊ปเปอร์ วรฤทธิ์ นิลกลม ผู้บริหารบริษัท ๙ หน้า โปรดักชั่น จำกัด หรือ ผู้กำกับซีรีส์ดัง ได้ออกมาประกาศผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว อนุญาตให้นักแสดงในสังกัดออกมาคอลเอาต์ แสดงความคิดเห็นได้บนบรรทัดฐานที่ถูกต้อง และให้เกียรติในความคิดส่วนบุคคล ที่ต้องแยกออกระหว่างการทำงาน

โดย แก๊ปเปอร์ วรฤทธิ์ เปิดใจกับข่าวสดออนไลน์แสดงความคิดเห็นถึงความคิดส่วนบุคคลที่มีสิทธิเสรีภาพในการพูด จากเสียงฐานะประชาชนคนหนึ่งเพื่อประชาธิปไตย รวมถึงการเปิดโอกาสให้ศิลปินในค่ายสามารถออกมาคอลเอาต์ได้

จู่ๆ ทำไมถึงข้อความที่ออกมาประกาศให้เด็กในสังกัดคอลเอาต์ได้?
“ต้องบอกก่อนว่าตัวเราเอง เราค่อนข้างมีความชัดเจน จากหลายหลายครั้งที่มีข่าวออกมา เราชอบโลกของความถูกต้องเป็นหลัก และด้วยความที่เมื่อเช้าตื่นมาแล้วเห็นข่าวในเรื่องของการเมือง , ผู้ป่วยโควิด แล้วรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งหนึ่งว่าทำไมเรามีสิทธิ์มีเสียง ทำไมถึงไม่ได้ออกมาพูด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีนักแสดงของเราที่อยู่ในค่ายด้วย

ก่อนหน้าเนี่ยเราเคยสั่งห้ามเด็กๆในค่ายแต่ละคนว่าอย่าออกตัวทางการเมืองเยอะ เพราะอาจจะมีปัญหากับทางผู้ใหญ่ เราคิดในฐานะคนที่ทำงานร่วมกับคนอื่นๆด้วย แต่พอถึงสถานการณ์ปัจจุบันวันนี้เรามองว่าทุกคนย่อมมีสิทธิเสรีภาพเหมือนกันหมด ดังนั้นเราไม่ควรตีกรอบจำกัดความว่าใครไม่ควรพูดอะไรก็เลยตัดสินใจว่าโพสต์เลยแล้วกัน เพราะรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ตัวเราเองก็เหลืออด

ดาราหลายคนเดือดร้อน แต่ไม่กล้าที่จะออกมาพูด?
“เรื่องนี้มีดาราหลายคนมาโทรปรึกษาเรื่องนี้ และต้องเข้าใจก่อนว่าเขาอยู่ในฐานะลูกจ้างขององค์กรใด องค์กรหนึ่ง แต่พี่เป็นเจ้าของบริษัท และนักแสดงในค่ายก็เป็นเด็กของเรา เราก็สามารถบอกได้ว่าทำได้ในสิ่งที่ถูกต้องนะ ส่วนคนในแวดวงบันเทิง เขาเดือดร้อนแต่สิ่งที่เขาทำไม่ได้ เพราะหนึ่งมันมีในเรื่องของกฎระเบียบมันมีกรอบที่ตีเขาอยู่

เขาจะทำอะไรก็ต้องทำเพื่อความอยู่รอดจริงๆ เขาไม่ได้เห็นแก่ตัวนะ เพราะว่าคนข้างหลังมันก็ยังมีคนที่ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอยากจะคอลเอาต์ อยากจะพูดกันตรงๆ แต่เขาไม่สามารถออกสื่อสาธารณะได้ เพราะว่ามันมีกฎข้อบังคับตรงนี้อยู่ ซึ่งพี่มองว่ามันไม่ใช่ค่านิยมแต่มันเป็นทุนนิยม ซึ่งไม่มีใครอยากมีปัญหากับคนอื่นทั้งสิ้น ไม่ว่าจะกับผู้บริหารช่อง ผู้ใหญ่ลูกค้าเอเจนซี่ต่างๆ ผลพวงมันกว้างมากๆ”

ตัวเรามีความเดือดร้อนมากแค่ไหน? “อย่างของพี่ผลกระทบงานมันไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะพี่มีซื้อขายหนังต่างประเทศ และมีโปรเจ็กต์ที่ทำค้างไว้อยู่แล้ว และตัวพี่เองก็ไม่ได้เปิดบริษัทเพื่อทำเอ็นเตอร์เทนเมนต์เพียงอย่างเดียว พี่ยังขายของด้วย ทำออนไลน์ด้วยอย่างช่วงนี้งานออกกองถ่ายไม่ได้ พี่ก็ยังออกมาขายน้ำพริก และขายครัวซอง ถามว่าทำทำไมเราทำเอาสนุก ช่วยคนให้มีรายได้

อย่างน้องๆในค่าย พี่ยังสอนให้เขาขายของเลย เขาก็ออกมาขายน้ำพริก ขายครัวซอง แบบไม่อาย นั่นคือสิ่งที่เราปลูกฝังเด็ก องค์กรแต่ละองค์กรสอนไม่เหมือนกัน วัฒนธรรมองค์กรแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ผู้ใหญ่แต่ละคนก็มีในความคิดที่ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นมันบอกไม่ได้ว่าผิดหรือถูก แต่สิ่งหนึ่งที่พี่คิดว่าคนเราควรจะมีคือสามารถสำนึก และจรรยาบรรณที่ถูกต้อง ถ้าประเทศไทยเราพูดความจริงไม่ได้เลยพี่คิดว่าไม่ใช่ประชาธิปไตยเราอยู่ในระบบคอมมิวนิสต์

ตอนนี้คิดว่ามันแย่ขนาดไหน ถึงได้ออกมาโพสต์ขนาดนี้? “ถามว่ามันแย่ขนาดไหน ต้องบอกว่าพ่อแม่ของพี่เปิดร้ายนร้านขายของชำ ผลกระทบคือคนไม่ค่อยเข้าร้าน เพราะกลัวโควิด อันนี้พูดถึงเบื้องต้นก่อน แต่ในทางกลับกันเลย ถ้าเทียบกับคนรอบข้างบางคนขายอุปกรณ์กล้องทิ้ง เพื่อหารายได้มาจ่ายค่าบ้าน ค่ารถ บางคนปล่อยให้โดนยึดรถ แต่สิ่งหนึ่งที่เราคิดคือแต่ก่อนเราช่วยเขาได้ เราจ้างเป็นจ๊อบบายจ๊อบ

แต่วันนี้พี่ต้องรักษาชีวิตของตัวเองเก็บเงินจำนวนหนึ่งต่อยอดบริษัท คนเดือดร้อนมากขึ้น คนตายมากขึ้น พี่รู้สึกว่าหลายธุรกิจย่ำแย่ พวกที่ทำอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม รีสอร์ท เชื่อไหมว่าเขาก็แบกรับไม่ไหวนี่ประเทศไทยมันเป็นอะไรไป พูดก็พูดไม่ได้ ออกเสียงก็ไม่ได้ แถมต้องมารับกรรมสิ่งที่เกิดในประเทศไทยแบบนี้

พี่เชื่อว่าหลายคนก็อยากออกมาพูด แต่ทำไม่ได้ เพราะความเดือดร้อนแต่ละคนมันไม่เท่าเทียมกัน คนจนก็จนต่อไปอย่างนั้นโอกาสที่จะลืมตาอ้าปากมันก็ไม่มี คนที่รวยเขาอาจจะมีความเจ็บตัวแต่ล้มบนฟูกอ่ะ แล้วอะไรล่ะที่จะเยียวยาช่วยเหลือคนอื่นได้ก็เลยเลือกวิธีการที่ออกมาพูดแบบนี้”

หากเมื่อย้อนไปดูในเฟซบุ๊ก จะเห็นแก๊ปเปอร์แสดงความคิดเห็นถึงโครงการต่างๆมากมาย เรามีความคิดเห็นยังไงบ้าง? “พี่ว่าในการทำงานของเขามันอาจจะมีทั้งในข้อผิดพลาด และในสิ่งที่เขาคิดว่าถูกแล้ว อยู่ขนานเส้นเดียวกัน จนเขาไม่สามารถที่จะแยกแยะได้ว่าถูกหรือผิดจากคนรอบข้าง ถามว่าอยากวิจารณ์หนักๆมั้ย อยากวิจารณ์ และวันนี้อยากให้รัฐบาลมองเห็นถึงความเป็นจริงว่าคนตายกี่คนแล้ว กว่าที่เขาจะทำมาอาชีพ เขาเจ๊งกันไปกี่คน

เขาอาจจะไม่ต้องออกก็ได้ แต่แค่ปรับวิธีการทำงานใหม่ เอาใจให้เป็นกลาง เห็นแก่คนที่มีความเป็นมนุษย์บ้างที่ต้องตายในแต่ละวัน ร้องไห้ ตากฝน ต้องอยู่ท่ามกลางแสงแดดเพื่อรอฉีดวัคซีน แย่งกันเหมือนกับหมูกับหมา ซึ่งคนไทยไม่ควรอยู่ในโซลูชั่นที่ต้องมาแย่งกันแบบนี้”

ตอนนี้เชื่อมั่นในรัฐบาลชุดนี้? “ถ้าตอบแบบโกหกนะ ก็ยังมีความเชื่อมั่นและคาดหวังอยู่ว่าจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ในความเป็นจริงไม่มีความเชื่อมั่นอีกต่อไปแล้ว เพราะวันนี้คนใกล้ตัวเขาเดือดร้อน เราเห็นภาพจากข่าว คนรอบตัวก็เดือดร้อน เขาอยู่กันไม่ได้ เขาไม่ได้มีเพื่อนเป็นดารา ไม่มีสื่อโซเชียลเป็นอาวุธ เขาเริ่มขายจากศูนย์ ขายจากเพื่อนรอบข้าง แล้วถามว่าขายได้มั้ย เขาไม่ได้ขายจนรวยหรอก แต่ขายเพื่อให้ตัวเองมีเงินกินข้าวประทังชีวิตอยู่ได้

ถ้าคุณประยุทธ์ยังอยากจะอยู่ทำการเปลี่ยนแปลงให้เราเห็น ผมเชื่อว่าบุคลากรคนรอบข้าง มีคนเก่งๆ แต่อยากให้มีแล้วเกิดประโยชน์กับประชาชนพี่น้องคนไทยจริงๆที่ไม่ใช่อยู่กันแบบนี้ อยู่กันด้วยน้ำตา อยู่กันด้วยความรู้สึกที่เศร้าโศกเสียใจ อยู่ด้วยความที่ต้องมายกมือขอความช่วยเหลือจากคนอื่น คนไทยต้องมาขอบริจาคกันเอง มันไม่ใช่!

ยังอยากเปิดโอกาสให้นายกฯอีกไหม? “อยากให้โอกาสไหม พูดจากใจ คนเราผิดแล้วมันให้โอกาส แก้ตัวแก้ไขได้ ครั้งที่หนึ่งยังพอให้อภัย ครั้งที่สองพอได้ แต่นี่เจ็ดปี เจ็ดปีถามว่าถ้าการให้โอกาสครั้งนี้มันจะเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือได้พี่อยากให้เกิดปาฏิหาริย์ พี่จะให้โอกาส แต่ถ้าเมื่อโอกาสที่ใครๆก็รู้มันคือศูนย์ เราไม่เห็นภาพนั้นแล้วจะให้โอกาสไปทำไมแล้ว

ให้โอกาสคนอื่นที่เขาคิดว่าเขาเหมาะสมขึ้นมายืนมาบริหารดีกว่า ถ้าไม่ไหว ถ้าเหนื่อยก็พักครับ อย่าฝืนเลยท่าน ท่านต้องพัก แต่ถามว่าแรกๆ ดีมั้ย มันก็โอเคมีการเปลี่ยนแปลง แต่พอผ่านมามันก็ชวนช็อกไปเหมือนกัน อยู่ๆกฎจะออกทุกวันจะเปลี่ยนแปลงทุกเวลา คนไทยอย่างเราจะต้องเสพสื่อขนาดไหนต้องใช้ชีวิตยังไง สรุปว่าทุกวันนี้ต้องดูข่าวว่าฉันจะปลอดภัยตอนไหนจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตตอนนี้ เราต้องอยู่ด้วยความระมัดระวังเฝ้าระวังด้วยตัวเองหมดกัน

เรามีจุดยืนทางความคิดอย่างชัดเจน ในการที่ไม่ปิดกั้นความคิด?
“พี่ไม่ปิดกั้น พี่ว่าทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่ากัน พี่ไม่ลิดรอนสิทธิใคร อย่างพี่เอาหมิว สิริลภัส พี่ก็เอาหมิวมาทำงานด้วยกัน คนก็ถามพี่เราก็บอกว่าจริงๆหมิวไม่ได้ผิดหรอก แต่แค่อยู่ในที่สปอร์ตไลต์มันใหญ่เกินไป หมิวไม่ได้เข้ามาอยู่ในบริษัทก้าวหน้า แต่พี่หมิว ก็มาอยู่ในการทำงานของพี่อยู่ในซีรีส์วายที่กำลังจะออนแอร์แล้ว คราวนี้มันมีอีพีเริ่มต้น เป็นอีพี 0 ซึ่งเหลืออีก 12 ตอน

แล้วเรากำลังตามหานางเอกกันอยู่ว่าจะเป็นใคร แล้วพอออกมาเพื่อนก็อยากได้งาน แล้วคาแรกเตอร์ต้องการคนแรงๆมีความเปรี้ยว เซ็กซี่ ซึ่งหมิวตรงก็เลยเรียกหมิวมาเล่นให้หน่อย ฉากตบๆแรงๆตามคาแรกเตอร์เขา เป็นซีรีส์วาย แต่พี่ก็ไม่ได้หิวแสงที่เอาหมิวมานะ แต่แค่รู้สึกว่าเพื่อนลำบาก ออกจากงานเราอยากช่วยเพื่อนช่วยด้วยเจตนาบริสุทธิ์แค่นั้นเอง ไม่ได้มีอย่างอื่นแอบแฝง เพราะคาแรกเตอร์ตรง บทตรงก็จบ

ฟีดแบ็กตั้งแต่โพสต์ลงเฟซบุ๊ก เจอทัวร์ลงไหม?
“ในความลับที่ครั้งนี้ที่พี่กล้าออกมาตั้งแต่เป็นข่าว ที่บ้านพูดกับพี่คำแรกว่าแก๊ปเปอร์ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอยมึงใช่ไหม เพราะก่อนหน้านี้ย้อนกลับไปเมื่อปี 2555 เคยทำแบบนี้เหมือนกัน พี่โดนแบนสามปีนะ พี่โดนไล่ออกจากงานพิธีกรอย่างน้อย 6 รายการเป็นอย่างต่ำ เพราะเรื่องแค่นี้เลยไม่มีความเป็นยุติธรรมสำหรับพี่เลย

พี่ก็เลยหันมาเปิดบริษัทเองทำงานเอง ดิ้นรนด้วยตัวเองทุกอย่าง เริ่มจากศูนย์ด้วยตัวเองเลย เพราะพ่อแม่เราขายของ เขาไม่ได้อยู่ในวงการ คนขายของจะเอาเงินมาจากไหนเยอะก็เริ่มจากการลงทุนด้วยตัวเองจากเงินเก็บหอมรอมริบ โดนไล่ออกมาคิดดู แต่วันนี้พี่เชื่อมั่นว่าเราโตขึ้นทุกอย่างมันชัดเจนมากขึ้น ผู้ใหญ่หลายๆคนก็น่าจะมีมายด์เซ็ตหรือมีทัศนคติที่ดีขึ้นมองเห็นอะไรได้กว้างขึ้น พี่เชื่อว่าวันนี้ผู้ใหญ่หลายๆคนคงไม่ได้อยู่ในกะลาแลนด์”

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6512752
ขอขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_6512752