เจมส์ มาร์ กับจุดเปลี่ยนชีวิต และเรื่องราวในใจเหตุผลที่ครองตัวโสด


ให้คะแนน


แชร์

เผลอแป๊บเดียว เจมส์ มาร์ พระเอกหนุ่มรูปหล่อหน้าตี๋เด็กปั้นอีกคนของผู้จัดมือทอง เอ ศุภชัย ก็อยู่ในวงการบันเทิงมา 9 ปีแล้ว และตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้าตัวนั้นแทบไม่มีข่าวฉาวออกมาเลยแม้แต่น้อย มีแต่เรื่องผลงานที่ให้แฟนๆ ได้พูดถึงก็เพียงเท่านั้น 

และสิ่งที่เราๆ จะได้ยินจากปากของพี่เอ และหลายๆ คนที่ได้รู้จักพระเอกหนุ่มคนนี้ จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เจมส์ มาร์ นั้นเป็นคนที่ดูเรียบร้อยและจริงจังตั้งใจในการทำงานมากๆ 

ตัวตนที่แท้จริงของ เจมส์ มาร์ 

ในวันนี้ เรามีโอกาสได้สัมภาษณ์พระเอกหนุ่มขวัญใจสาวๆ อีกครั้ง เลยไม่พลาดที่จะอัปเดตชีวิตของผู้ชายคนนี้ทุกซอกทุกมุมโดยเฉพาะเรื่องความรักมาให้ทุกคนได้รู้กัน 

แต่เพราะเป็นช่วงที่ต้องรักษาระยะห่างทางสังคมเราเลยต้องวิดีโอคอลเพื่อพูดคุยกันในครั้งนี้ และภาพที่เราเจอพระเอกหนุ่มที่มากับทรงผมใหม่กร้าวใจเหลือเกิน ออร่าความหล่อก็ไม่บันยะบันยังหล่อทะลุจอออกมา และที่ขาดไม่ได้ก็คือรอยยิ้มตาหยีกระชากใจของ เจมส์ มาร์ นั่นเอง 

พูดคุยทักทายถามสารทุกข์สุกดิบกันไปสักหน่อย เราเริ่มคำถามทำงานด้วยคำถามง่ายๆ กับผู้ชายคนนี้ว่า จริงๆ แล้วเจมส์นั้นเป็นผู้ชายแบบไหน ใช่แบบที่หลายๆ คนคิดกันเอาไว้มั้ยว่าเป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ ขรึมๆ งานนี้หนุ่มเจมส์ยิ้มก่อนตอบเราว่า  

“ภาพลักษณ์นิ่งๆ ของผมก็อาจจะทำให้คนไม่กล้าเข้ามาหาหรือว่าคุยเล่นกับผมมาก เพราะหลายคนคิดว่าไม่รู้จะเริ่มคุยยังไง ผมไม่ได้หยิ่งแต่คนอาจจะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นบทสนทนากับผมยังไงดีมากกว่า

แต่ทุกคนมีหลายมุม ทั้งขี้เล่น สุขุม แต่จริงๆ ตัวผมเป็นคนสบายมากๆ ใช้ชีวิตง่าย อยู่ง่าย และอาจจะขี้เล่นกับคนที่สนิท และค่อนข้างจริงจังกับการทำงาน เลยทำให้คนได้เห็นภาพนั้น

แต่คนไม่ค่อยได้เห็นเวลาอยู่ในกอง ด้วยความที่ผมไม่เล่นโซเชียลเยอะด้วย เลยไม่ได้เห็นผมในมุมที่ผมตอนกินข้าว เล่นเกมหรืออยู่กับเพื่อน”

มีคนรักและมีคนเกลียด

มีคนรักแต่ก็มีคนที่ไม่ชอบ และ เจมส์ มาร์ นั้นก็มักจะถูกชาวเน็ตนำไปเปรียบเทียบกับพระเอกคนอื่นๆ ร่วมช่องถึงกระแสและความปัง งานนี้เราถามหนุ่มเจมส์ตรงๆ ว่ารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งพระเอกหนุ่มยิ้มและตอบกับเราด้วยท่าทีที่สบายๆ ว่า

“ผมไม่เคยท้อจากเรื่องที่โดนว่าหรือโดนเปรียบเทียบเลย ถ้าจะท้อก็ท้อเพราะว่าตัวเองทำไม่ได้มากกว่า ถ้าผมรู้สึกท้อและไม่อยากทำนั่นเป็นเพราะว่าตัวเองทำไม่ได้

แต่ความรู้สึกนั้นไม่เคยเกิดจากการถูกเปรียบเทียบหรือถูกต่อว่าเลย ไม่เคยรู้สึกอยากเลิกทำงานในวงการบันเทิงเพราะคนอื่น มี แต่เพราะตัวเองมากกว่า”

เจมส์ได้เล่าเหตุการณ์ที่ตัวเองนั้นเคยท้อจนไม่อยากจะทำงานในวงการบันเทิงต่อให้ฟังว่า มันเกิดขึ้นตอนที่เขานั้นเตรียมจะเล่นละครเรื่องข้าบดินทร์ว่า

“ตอนที่มีความรู้สึกไม่อยากทำงานในวงการนี้แล้ว เพราะตอนนั้นผมต้องเรียนดาบที่จะต้องเล่นละครเรื่องข้าบดินทร์ ผมเรียนดาบ 6 เดือนแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ซะที

พอซ้อมเสร็จก็ต้องสู้กับครูจริงๆ ทุกครั้งที่พลาดแล้วโดนตี มันเจ็บ แค้น และโมโหตัวเองทำไมทำไม่ได้ซะที ตอนนั้นมันทำให้ผมรู้สึกไม่อยากทำงานในวงการบันเทิงแล้ว

แต่เอาจริงๆ ตอนนั้นผมก็ยังเด็กด้วย และยังโดนกระแสวิจารณ์ว่าไม่เหมาะสมกับบทนี้อีก แต่อย่างที่บอกกระแสวิจารณ์ไม่ได้ทำให้ผมไม่อยากเล่นละครเท่ากับตัวผมเองทำไม่ได้

ยิ่งคนไม่ชอบ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอยากเป็นตัวละครที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับคนดูให้ได้ ในช่วงนั้นเลยทำให้ผมแอบมีความคิดไม่อยากจะทำงานต่อแล้ว”

เอ ศุภชัย ดึงสติให้กลับมา

จากนั้น เจมส์ มาร์ เล่าเรื่องราวในอดีตให้เราฟังว่า แม้ตัวเขาจะไม่ค่อยมีข่าวฉาวออกมา แต่เขาถูกกระแสโจมตีทางเรื่องของการแสดงอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ที่ถูกวิจารณ์อย่างหนัก

แต่ที่ผ่านช่วงเวลาแย่ๆ เหล่านั้นมาได้ เจมส์เล่าให้ฟังว่าเป็นเพราะ เอ ศุภชัย ที่ผู้จัดการส่วนตัวที่ชวนเข้ามาทำงานให้กำลังใจและเตือนสติด้วยคำพูดที่เจมส์ยังจำได้ไม่ลืมว่า 

“มันมีคำพูดคำนึงที่พี่เอเคยพูดกับผม เวลาที่ท้อหรือทำงานมีคนว่า ไม่ว่าจะเป็นคนดูหรือคนที่ทำงานด้วย บางทีเขาต้องคอมเมนต์ด้วยหน้าที่หรือไม่ได้มีเจตนา

พี่เอจะบอกผมเสมอว่า ถ้าเราไม่ดีพอจริง เราคงไม่ได้มายืนตรงนี้หรอก ข้อเสียของผมคือบางทีผมทุ่มกับการทำงานมากเกิน ต้องทำให้ดี ทำให้ได้

พี่เอก็เลยใช้คำนี้กับผมว่าต้องมั่นใจในตัวเองบ้างนะ จะไปคิดตามคำติชมจากคนอื่นและมองว่าตัวเองไม่ดีตามที่คนอื่นพูดแล้วจะเอาแรงที่ไหนไปทำงาน และทำออกมาให้ได้ดี

การรับฟังบางทีมันก็ดีแต่ถ้าบางทีมันเยอะเกินไปก็ทำลายความมั่นใจของตัวเราเอง เมื่อก่อนผมถูกคนด่าเยอะมาก วิจารณ์ว่าไม่เหมาะสมกับบทบาททั้งๆ ที่ยังไม่ได้ดูผลงานเลย

ผมก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าบางทีก็ไม่ต้องฟังอะไรแบบนี้ก็ได้ ถ้าเป็นคอมเมนต์ที่ติเพื่อก่อผมยินดีรับฟัง แต่ถ้าเป็นคอมเมนต์ที่ด่าเฉยๆ อันนี้ผมจะปล่อย ไม่สนใจ และเก็บความมั่นใจของตัวเองที่เคยได้ทำงานมา มาเป็นแรงให้กับตัวเอง เป็นบทเรียนหนึ่งที่พี่เอสอนผม เมื่อ 6-7 ปีนี้เอง”

วันหนึ่งอาจลาวงการ

เราคุยกับเจมส์มาเรื่อยๆ จนมาถึงคำถามที่ว่า ถ้าวันนี้ไม่ได้เป็นพระเอกแล้ว เจมส์มองตัวเองและวางตัวเองต่อจากนี้เอาไว้อย่างไร จะเป็นพระเอกในความทรงจำของทุกคน หรือจะไปต่อกับหน้าที่ของการเป็นนักแสดง เรื่องนี้เจ้าตัวคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่า

“ผมไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้จะทำให้การทำงานเป็นอย่างไรต่อไปในอีก 5 ปีข้างหน้า จะทำงานกันยังไง ผมขอมองปีต่อปีดีกว่า ผมอยากให้คนดูมีภาพจำต่อผมในฐานะที่เป็นนักแสดง

จำที่ผลงานที่เขาชอบและรัก นั่นอาจจะหมายความว่า ผมอาจจะเล่นไปถึงจุดหนึ่งแล้วรู้สึกว่าตัวเองทำงานได้ไม่เต็มที่อย่างที่เคยทำ ก็คงไม่ทำแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นบทอะไรก็ตามที่มีปัจจัยอื่นเข้ามาทำให้ผมทำงานได้ไม่เต็มที่ ถ้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นนักแสดงที่เต็มที่ไม่ได้ก็ไม่เป็นดีกว่า เพราะไม่อยากให้แฟนๆ รู้สึกผิดหวังเมื่อได้เห็นผลงานของเราที่ออกไป เมื่อถึงเวลานั้นก็คงมานั่งคิดทบทวนว่าตัวเองควรจะเปลี่ยนอาชีพหรือเปล่า

แต่ถ้าไม่ทำอาชีพนักแสดงแล้ว ถามว่าจะทำอะไร เอาจริงๆ ตอนนี้ผมก็พยายามมองหาสิ่งที่ตัวเองชอบและถูกใจ พยายามเรียนรู้ในสิ่งเหล่านั้นให้เยอะๆ เพราะไม่รู้ว่าในวันหนึ่งมันอาจจะเป็นงานใหม่ หรือเส้นทางอื่นของชีวิต แต่หลักๆ ตอนนี้ผมยังทำงานตรงนี้อย่างเต็มที่อยู่”

เหตุผลที่ทำความสะอาดศาลพระภูมิ

และใครที่เป็นแฟนตัวยงของพระเอกหนุ่มคนนี้ จะจำเรื่องเล่าที่ เอ ศุภชัย ชอบพูดบ่อยๆ ว่า เจมส์ มาร์ นั้น เป็นน้องที่น่ารักเพราะชอบทำความสะอาดศาลพระภูมิที่บ้านให้อยู่เสมอๆ งานนี้เราเลยถามพระเอกหนุ่มตรงๆ ว่า ถือเคล็ดทำความสะอาดศาลพระภูมิเพื่อเสริมความปังหรือไม่ งานนี้เจ้าตัวหัวเราะก่อนตอบคำถามนี้ว่า 

“คือทุกครั้งที่ไปบ้านพี่เอ ผมจะไปขัดศาลพระภูมิที่บ้านพี่เอเสมอ ทำตั้งแต่ก่อนทำงานจนถึงตอนนี้ แม้จะไปบ้านพี่เอน้อยลงแต่ทุกครั้งที่ไปผมก็จะทำ อย่างน้อยได้กวาดศาลพระภูมิหรือรดน้ำต้นไม้ก็ยังดี

เก็บใบไม้ พยายามทำและอยากให้เป็นสิ่งเตือนใจตัวเองด้วยว่ากว่าเราจะมาถึงจุดนี้ได้ มันไม่ใช่แค่เรื่องของความเชื่อหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผมไม่รู้ว่าการที่ทำอย่างนี้มันจะทำให้มีโชคมากหรือน้อย

แต่ผมรู้ว่านี้คือวินัยที่ผมทำ และเป็นความทรงจำที่ได้ทำมา เป็นเครื่องเตือนใจที่ดี และอีกอย่างมันเป็นเรื่องของความสม่ำเสมอและเรื่องของวินัย การดูแลเรื่องศาลพระภูมิก็เป็นการฝึกวินัยอย่างหนึ่ง”

จากนั้น เจมส์เล่าเรื่องตลกของพี่เอให้ฟังว่า ในบางอาทิตย์ผู้จัดมือทองก็จะถามว่าทำไมไม่มาทำความสะอาดศาลพระภูมิ มีไลน์มาทวงบ้าง

เพราะเหตุนี้ทำให้เจ้าตัวต้องถ่ายรูปส่งการบ้านหรือขึ้นไปหาเพื่อรายงานตัว ซึ่งเจมส์บอกว่าที่พี่เอทำอย่างนี้เพราะอยากให้เด็กๆ ที่อยู่ในการดูแลเป็นคนมีระเบียบและวินัย ก็เลยเป็นอีกวิธีหนึ่งที่พี่เอใช้กับตัวเอง

ไม่มีความรักเพราะกลัวการสูญเสีย 

แม้จะอยู่ในวงการบันเทิงมานานหลายปี แต่ เจมส์ มาร์ กลับไม่เคยมีเรื่องสาวๆ เลย อย่างมากก็แค่ถูกแซวแต่ไม่เคยเปิดตัวว่ากำลังคบหาดูใจกับใครเลย นั่นเป็นเพราะถูกสั่งห้ามไม่ให้มีแฟนหรือไม่ งานนี้พระเอกหนุ่มถึงกับหัวเราะและตอบเราว่า 

“มุมมองความรักของผม ผมคิดว่าไม่คิดว่ามันจำเป็นที่จะต้องรีบหาคนๆ นั้นให้เจอ ไม่จำเป็นจะต้องมีใคร ทุกวันนี้ผมทำงานตลอดเวลา เจอคนหน้าตาดีตลอด แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องรีบไปชอบคนๆ นั้นทันที

ผมไม่ได้ซีเรียสว่าคนนั้นจะต้องเป็นใคร แค่รู้สึกว่าอยากให้เวลามันเหมาะสมจริงๆ ไม่อยากมีความรู้สึกแบบคบแล้วก็เลิก ผมเคยเห็นหลายๆ คนเวลาที่เขาเลิกกับคนรัก มันเป็นความรู้สึกที่แย่มากๆ

และตัวผมเองก็เคยเจอความรู้สึกแบบนี้ตอนเด็ก แล้วมันก็แย่มากเหมือนเราสูญเสียใครสักคนทั้งๆ ที่เขายังอยู่ ผมไม่อยากเจอความรู้สึกแบบนั้น ก็เลยค่อยๆ ดูไปดีกว่า จังหวะพอเขามาก็ขอให้เขาอยู่กับเราไปนานๆ นี่คือความคิดของผม”

เราเลยถามหนุ่มเจมส์ตรงๆ ว่า อยู่เป็นโสดแบบนี้ไม่เหงาบ้างเหรอ เพราะคนใกล้ตัวเขาก็มีแฟนกันหมด ช่วงเทศกาลคนมีคู่เขาก็อยู่ด้วยกัน งานนี้หนุ่มเจมส์ยอมรับตรงๆ แบบไม่อายว่า 

“ก็มีเหงาบ้างครับ แต่ผมก็มีครอบครัว มีสัตว์เลี้ยง มีสนามกอล์ฟ มีเพื่อนๆ มีฟิตเนสให้ไป กิจกรรมผมแน่น ทำกิจกรรม 3-4 อย่างก็หมดวันแล้ว คือผมไม่ได้เหงาถึงขั้นไม่มีอะไรทำ แต่ว่าก็รู้สึกว่าไม่เป็น ถ้าเมื่อไหร่ถึงเวลานั้นก็ค่อยเป็นค่อยไป ผมรู้ว่าหลายๆ คนรอให้ผมมีแฟน เชียร์อยากให้มีแฟน”

รอเจอคนที่จะเข้าใจ

เพราะตอนนี้ยังโสด เราเลยแย็บๆ ถามว่าสเปกของหนุ่มเจมส์นั้นต้องเป็นแบบไหน งานนี้พระเอกหนุ่มอธิบายให้เราฟังแบบละเอียดยิบว่า 

“ในมุมของผม ผู้หญิงล้วนมีความสวยในมุมของแต่ละคน ถ้าจะชอบก็คือชอบ และเสน่ห์ของผู้หญิงคือตอนทำงาน ใครมีความตั้งใจทำงานสูง เขายิ่งดูเป็นผู้หญิงมีเสน่ห์

แต่พอเริ่มโตทำให้ผมเข้าใจในความรักมากที่สุดคือเรื่องของความเข้าใจ มันยากนะที่คนสองคนจะเข้าใจกันได้ตลอดเวลา ยิ่งอยู่ด้วยกันจะเข้าใจกันจริงๆ มันยากมาก

พี่น้องกันยังไม่เข้าใจกันเลย แล้วจะมาหวังอะไรกับคนๆ หนึ่งที่เขาจะต้องมาอยู่กับเราตลอดชีวิตให้เข้าใจเราทุกอย่าง ใครที่เจอคนๆ นั้นได้ก็คือโชคดีแล้ว”

แล้วเมื่อไหร่จะเปิดใจ เพราะตั้งแต่เข้าวงการมาก็ยังไม่เคยเห็นหนุ่มเจมส์มีแฟน หรือที่ไม่มีแฟนเพราะกลัวกระแสตกแบบที่หลายๆ คนเขากลัวกัน ซึ่งเราก็ได้รับคำตอบจากเจ้าตัวแบบขำๆ ว่า 

“สมัยนี้คนเริ่มเปิดใจรับในเรื่องนี้เยอะมากแล้ว จะมีแฟนแล้วกระแสตกหรือไม่ตกมันไม่เกี่ยว เพราะมีดาราอีกหลายคนที่พอเขามีแฟนแล้วเขาก็ยังมีงานคนชื่นชอบทั้งคู่

แต่เป็นเพราะผมไม่ได้รีบร้อน แต่ถ้าอายุ 35 ปีแล้วถ้ายังไม่มีค่อยมาว่ากัน เพราะตอนนี้ผมเพิ่งอายุ 28 เอง ตอนนี้มันยังพอพูดได้อยู่ ยังพอมีเวลารออยู่ (หัวเราะ)”

ผลงานละครเรื่องล่าสุด 

คุยเรื่องส่วนตัวของเจมส์มากพอแล้ว เรามาต่อกันที่ผลงานละครเรื่องล่าสุด ดวงตาที่ 3 ของผู้จัด หน่อย บุษกร ละครที่เจมส์นั้นได้พลิกบทบาทจากที่เคยได้เล่นๆ มา โดยเจมส์เล่าให้เราฟังว่า 

“ที่ผมตัดสินใจเล่นละครเรื่องดวงตาที่ 3 นั้น เพราะจริงๆ ส่วนตัวไม่เคยเล่นละครคอมเมดี้ ไม่เคยร่วมงานกับหลายๆ คนในเรื่องนี้ เลยรับเล่นดีกว่า อยากลองเล่นละครแนวที่ไม่เคยเล่นมาก่อน พอได้ถ่ายจริงๆ สนุกมากๆ ได้เรียนรู้สไตล์ละครแนวคอมเมดี้ ได้ลองอะไรใหม่ๆ เยอะแยะไปหมด

ยอมรับนะว่าตอนแรกผมกลัวว่าผมจะทำไม่ได้ กลัวพอไปอยู่กับนักแสดงคนอื่นแล้วจังหวะผมจะเพี้ยน เพราะที่ผ่านมาเคยเล่นแต่ละครดราม่า ถ้าเล่นละครดราม่าต้องถ่ายประมาณ 3 รอบและทั้ง 3 รอบต้องเล่นให้เหมือนกันเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์

แต่สำหรับคอมเมดี้เวลาเล่นแต่ละเทคก็จะมีอะไรใหม่ๆ เข้ามา แรกๆ ผมยอมรับว่าผมก็งง แต่พอเล่นไปเรื่อยๆ ก็ทำให้รู้ว่า เวลาเล่นละครก็แล้วแต่งาน แล้วแต่ผู้กำกับ สำหรับเรื่องนี้ก็เล่นกับตัวละคร เลยทำให้รู้ว่าทำอย่างไรถึงจะอยู่ในซีนในจังหวะเดียวกันกับพวกเขาได้

ในละครเรื่องดวงตาที่ 3 คนดูจะได้เห็นผมในอีกมุมหนึ่งที่เขาไม่เคยได้เห็น เพราะที่ผ่านมา ผมทำงานมาเข้าปีที่ 9 แล้ว คนจะเห็นผมในรูปแบบเดียว ไม่ว่าจะเล่นละครแนวไหน คนก็จะเห็นผมเป็นผู้ชายนุ่มๆ นิ่งๆ

และบวกกับไลฟ์สไตล์ของผมก็ไม่ได้ลงโซเชียลมาก พอคนมาเห็นผมในละครเรื่องนี้ หรือในติ๊กต๊อกที่ผมเล่นกับเพื่อนๆ นักแสดง คนดูก็เซอร์ไพรส์ว่าผมมีมุมนี้ด้วยเหรอ (ยิ้ม)

แต่เอาจริงๆ ชีวิตจริงผมก็เป็นแบบนี้แหละ แต่ก่อนหน้านี้ทุกคนจะเห็นผมเป็นตัวละครไม่ได้เห็นผมในชีวิตจริง ก็จะได้เห็นชีวิตผมที่ผ่านมาตลอดในละครเรื่องนี้

ส่วนความยากของเรื่องนี้คือพระเอกเป็นเด็กต่างจังหวัด ต้องเข้ามาในเมืองเพื่อตามหานางเอก แล้วความสัมพันธ์ของพระ-นางเป็นแบบเพื่อนซึ่งดูเหมือนจะเล่นง่าย จากเพื่อนแล้วค่อยมารักกัน ซึ่งความสัมพันธ์แบบนี้มันยากมากที่จะเกิดขึ้นในชีวิตเลยทำให้ผมต้องทำการบ้านในเรื่องของตัวละครในช่วงแรก”

ไม่กดดันเรื่องเรตติ้งและไม่คาดหวังเรื่องความนิยม

เพราะ เจมส์ มาร์ และ มิว นิษฐา เป็นพระเอก-นางเอกของละครเรื่องนี้ จึงทำให้มีคนคาดหวังทั้งเรตติ้งและกระแสละครจะต้องออกมาดี เราเลยถามหนุ่มเจมส์ว่ากดดันหรือไม่ งานนี้เจ้าตัวบอกกับเราว่า 

“สำหรับละครเรื่องนี้ผมไม่กดดันเลย ผมทำงานอยู่ตรงนี้มานานพอจะรู้ว่าไม่ต้องไปกดดันกับเรื่องแบบนี้ต่อให้กดดันไปคนดูชอบหรือไม่ชอบก็เป็นสิทธิ์ของเขาอยู่ดี ผมคิดอย่างนี้

ผมแค่คิดว่าสนุกกับการทำงานมั้ย ยิ่งถ้าเรากดดัน แล้วคิดถึงแต่เรื่องตรงนั้น มันจะทำให้เราลืมประสบการณ์ดีๆ ที่เรามีกับละครเรื่องนี้ ผมก็เลยคิดว่าไม่กดดัน

แต่อยากให้คนได้ดู เพราะตอนที่ถ่ายละครกันเรายังสนุกมาก เหมือนเด็กที่รีบตื่นไปโรงเรียน เพราะจะมีเรื่องสนุกรออยู่

ส่วนคนมองเรตติ้งเป็นตัววัดว่าละครประสบความสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ในฐานะที่เป็นนักแสดงนำของเรื่องรู้สึก
ผมรับรู้แต่ไม่กดดัน เพราะเรตติ้งไม่ได้ขึ้นอยู่กับนักแสดงทั้งหมด

ยอมรับว่าละครเรตติ้งสูงแสดงว่าคนดูมีเยอะ แต่อย่าลืมว่าช่องทางการดูไม่ได้มีแต่ทางทีวีอย่างเดียว มันยังดูผ่านออนไลน์ได้

ถ้าคิดถึงแต่เรื่องเรตติ้งก็จะทำให้เราลืมคนดูที่เขาดูทางช่องทางอื่น ซึ่งเขาก็ชอบละครของเราไม่น้อยไปกว่าคนที่ดูสดเลย

อีกอย่างเรตติ้งอาจจะดูน้อยไปก็เนื่องจากปัญหาเทคนิคที่เราเจอในเรื่องที่ผ่านมาของช่องเรา ก็เป็นธรรมดาที่เรตติ้งจะต้องเปลี่ยนไป 

ไม่อยากให้กังวลหรือเครียดเพราะยังมีคนดูละครเรื่องนี้จากแพลตฟอร์มอื่นอยู่ ต้องให้ความสำคัญกับคนกลุ่มนั้นด้วย ไม่ใช่ให้แค่ความสำคัญแต่กับเรื่องเรตติ้งสูงหรือไม่สูงในมุมมองของผม

และอีกอย่างเรตติ้งสูงหรือไม่สูงไม่ได้เกี่ยวกับว่าละครสนุกหรือไม่สนุก แต่เรตติ้งสูงหรือไม่สูงอยู่ที่คนดูว่าจะชอบหรือไม่ชอบ คนดูเยอะหรือไม่เยอะ ดูสดหรือย้อนหลัง

แต่ถ้าเขาดูแล้วเขาชอบอันนี้ผมโอเคกว่าต่อให้เรตติ้งจะเป็นตัวเลขไหนก็ตาม ซึ่งมันไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเรา ฟีดแบ็กที่เราดีใจคือการที่มีคนเข้ามาคุยเข้ามาคอมเมนต์ในไอจีของเราเกี่ยวกับละครของเรา”.

ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา

กราฟิก : sathit chuephanngam

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2186770
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2186770