บาส สุรเดช จากหลานช่างทาสี ถ้าไม่ตัดสินใจหนีแม่วันนั้นก็คงไม่มีวันนี้


ให้คะแนน


แชร์

“ตอนแรกไม่ได้หวังเลยว่าจะแคสต์ผ่าน เพราะก็ไม่ได้หวังว่าจะดูแลครอบครัวได้มากขนาดนี้ เคยคุยไว้กับแม่ว่า ถ้า บาส พอมีชื่อเสียงสักหน่อยหนึ่ง มีงานรีวิวเข้ามาสัก 500-600 พอจะมีเงินนะ แม่ก็บอกว่า 5-600 มันจะพอกินอะไร แค่ค่าโรงแรม ค่าห้องที่อยู่ก็เป็นพันแล้ว คือผมก็คิดน้อยไงตอนนั้น เราคิดว่าอยากหาเงิน หลังจากแม่รู้ แม่ก็ตกใจว่าทำไมถึงได้ เพราะว่าเราก็เด็กอ้วนอ่ะ มันยากที่จะได้”

โดนด่าจนติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับหนึ่ง

“ช่วงที่เราเข้าไปแคสต์ใหม่ๆ มีรูปออกมา โดนโซเชียลด่าเยอะมาก แรกๆ กระแสแรงมาก บอกว่าไม่เหมาะกับตัวละคร ผมติดเทรนด์ด่าในทวิตเตอร์อันดับหนึ่ง โดนด่าทุกวัน ทั้งอ้วน เตี้ย ตัน ไม่มีการศึกษา โดนด่าทุกอย่างเลย

แรกๆ ผมนอยด์นะ ว่าทำไมเรามาทำงานหาเงิน แล้วทำไมต้องมาโดนด่า มันเหมือนรู้สึกทำผิด แต่จริงๆ เรามาทำงานไง”

“ผมไม่เล่นโซเชียลเลย ทวิตเตอร์ไม่เล่น อะไรก็ไม่เล่นเลย เพิ่งมาสมัครตอนที่ เดือนเกี้ยวเดือน นี่แหละ ก็นั่นแหละ โดนด่ายับเลย แต่ว่าตอนหลังก็มาคิดว่าเอาไว้เป็นแรงถีบเราดีกว่า ถ้าเขาพูดอะไรมาก็เอามาเป็นกำลังใจดีกว่า ไม่เอามาเป็นเชิงลบให้ตัวเองแล้ว เป็นเชิงบวกมากกว่า บางทีโดนด่าเราก็นั่งขำ ก็รูปนี้เราอ้วนจริงๆ

ผมเป็นคนไม่ค่อยกล้าชั่งน้ำหนัก เพราะผมกลัว เคยโดนด่าเยอะมาก อ้วน เตี้ย ตัน ด่าถึงพ่อถึงแม่เลย เขาด่าแรงมาก

แต่อย่างที่บอกผมก็ไม่ได้เอามาคิด คือตอนนั้นผมยังไม่มีแฟนคลับเลย มาจากศูนย์จริงๆ แต่บางคนที่มาแคสต์เขามีแฟนคลับ แฟนคลับก็อยากให้เขาได้ อันนี้ผมเข้าใจนะ แต่ในเมื่อผู้ใหญ่หลายๆ คนเขาเลือกเราแล้ว เราก็ต้องทำหน้าที่แหละ มันอยู่ที่ผู้ใหญ่เลือก มันไม่ได้ผิดที่ผม”

“ตอนนี้ตั้งใจลดน้ำหนักอย่างจริงจัง เข้าฟิตเนส จริงๆ แล้วทุกวันนี้คนก็ยังว่าเราอ้วน แต่เราก็อยากหุ่นดีสักครั้ง อยากได้แบบเป็นทรงสวยๆ ก็ยาก ตั้งใจครับ อยากหุ่นดีสักครั้ง ในชีวิตไม่มีอะไร”

จากคนรุมเกลียด กลายเป็นรุมรัก

“วันแรกๆ ที่ซีรีส์ออกมาก็มีตามด่าแหละ ว่าไม่ชอบโน่นนี่นั่น แต่คนที่ด่า เขาตามดูทุกตอนไง เพื่อที่จะหาด่าเรา สุดท้ายก็กลายเป็นรักเลย บางคนก็ไม่ยอมรับนะว่าแรกๆ ด่าบาส แอนตี้ แต่สุดท้ายพอดูแล้วเด็กคนนี้มันก็ไม่มีอะไรนี่หว่า เพราะมันอยู่ที่การตัดสินใจของผู้ใหญ่ และเขาก็มาตามผม ผมก็ยินดีนะ ที่กล้าเปิดใจให้กับคนที่ไม่ชอบเลย”

เมื่อเราถามต่อว่า อย่างนี้ก็มีแฟนคลับเยอะแล้วล่ะสิ บาสก็รีบบอกว่า “ก็พอมีครับ ไม่ได้เว่อร์วังอะไร ผมเป็นคนไม่เล่นโซเชียลเลย เพราะบางทีคนนี้ทำอะไรลง แล้วอีกคนไปก๊อปมาลง แล้วผมไม่รู้ผมก็ไปรีคนที่ก๊อปมา คนที่ทำก็น้อยใจ คือผมไม่รู้เลยในการเล่นทวิตเตอร์หรือโซเชียล

(แสดงว่าเราเป็นคนที่ไม่ติดโทรศัพท์?) “ไม่ติดเลย แล้วก็จะบอกว่าที่ผมไม่ได้ออกมาโซเชียลบ่อยๆ แล้วทุกคนเรียกร้องให้ออกมา คือผมไม่อยากออกมาเพราะไม่อยากให้คนทะเลาะกัน บางทีคนนี้ก๊อปคนนี้ไปลง เจ้าของเขาก็ไม่ชอบเราละ ว่าเราไม่รีของเขาไปรีของคนที่ก๊อปทำไม คือผมไม่อยากให้มาทะเลาะกัน

และน้อยใจผมในเรื่องที่เราไม่ได้ตั้งใจทำหรือไม่รู้ ผมเลยไม่เล่นโซเชียลเลย แต่มันก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีนะ แต่ผมไม่อยากมีปัญหา เพราะผมโดนด่ามาตั้งแต่แรกแล้ว ก็ไม่อยากโดนด่าอีก เดินก้าวไหนผมไม่รู้จะเหยียบระเบิดเมื่อไหร่

ผมก็ไม่กล้าแล้ว ไม่ได้มีกำแพงนะ ผมอยากอยู่ดีๆ ไม่ได้อยากให้เขาทะเลาะกัน อยากให้ทุกคนรักกันมากว่า เราโฟกัสคนที่มาหาดีกว่า อย่าไปโฟกัสอะไรที่มันเล็กน้อยหรือกวนใจเลย พออยู่ด้วยกันเรารักกัน ศิลปินกับแฟนๆ มันเหมือนครอบครัว มีอะไรเราก็คุยกันในบ้าน แล้วก็ไม่อยากให้ทะเลาะกัน”

ทุกวันนี้คือเสาหลักของบ้าน

“หลักมากๆ ครับ ก็มาจากไม่มีนะครับ แล้วก็ทุกวันนี้ก็ดูแลทุกอย่างครับ ฐานะทางบ้านเมื่อก่อนเอนไปทางค่อนข้างลำบาก ก็คือตาก็รับจ้างทาสีบ้าน น้าก็ออกจากงาน แม่ก็เป็นแม่บ้านส่งลูกเรียน 2 คนคือผมกับน้องสาว แต่เมื่อก่อนแม่เขาจะอยู่กรุงเทพฯ ส่วนผมจะอยู่กับตา

เพราะแม่เขาเป็นคนหาเงิน แม่เขาก็เป็นเสาหลักของบ้าน มาทุกวันเขาทำงาน เขาเหนื่อยแล้ว ผมทำงานหาเงินได้ ดูแลเขาได้ เลยให้เขากลับไปเป็นแม่บ้านละกัน สลับกันเหมือนแปะมือกับแม่ครับ เมื่อก่อนแม่ทำงานหนัก แม่ออกจากบ้านประมาณนี้เหมือนกัน คือแม่มีลูกไวครับ

ส่วนคุณพ่อก็แยกทางกับแม่ครับ ผมเป็นลูกคนโตสุดเลย มีน้องสาวแม่เดียวกัน 1 คน แล้วก็น้องอีกคนเป็นลูกคนละแม่ ชื่อ จีจี้ BNK48 รุ่น 3 น้องเดบิวต์แล้ว เพิ่งจะเปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้ ก็คือมีน้องสาว 2 คนครับ”

นอกจากนี้ บาส ได้บอกกับเราว่า เขาเพิ่งถอยรถ BMW ป้ายแดงให้คุณแม่ เพราะแม่บอกว่า อยากมีรถดีๆ สักคัน เพื่อเอาไว้รับส่งน้องไปโรงเรียน ปีใหม่ก็เลยซื้อให้เป็นของขวัญ และ บาสบอกว่า ตอนนี้เขาอยู่คอนโดที่กรุงเทพฯ กับเพื่อน 2 คน แม่ก็จะลงมาหาจากเชียงใหม่

“แม่อยู่เชียงใหม่ แต่เขาจะมาหาที่กรุงเทพฯบ่อยอยู่แล้ว เพราะผมไม่ได้กลับเชียงใหม่เลย นานๆ จะกลับที ผมอยู่ที่กรุงเทพฯคนเดียว แต่ว่าก็อยู่คอนโดกับเพื่อน เพราะเคยมีการทำงานแล้วคิดมาก เครียด มันก็เครียดน่ะเวลาทำงาน ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในภาวะไหนมันเครียดหมด ไม่ว่าจะจน จะรวย จะดัง จะเป็นยังไง เป็นใคร ผมว่าทุกคนมีภาวะในความเครียด

ยกตัวอย่างว่าทำไมนักร้องระดับโลก ถึงฆ่าตัวตาย ผมว่าทุกคนมันมีภาวะในใจว่าเราอยู่ตรงนี้มันก็เครียดได้นะ ผมก็เคยเป็นอย่างนั้น ผมก็เครียด จนอยากพบแพทย์ ก็ปรึกษาเจ้าของค่าย เขาก็บอกว่ามันเป็นความเครียดเฉยๆ เราลองหาอะไรทำมั้ย หรือเรียกเพื่อนมาอยู่ด้วยมั้ย

ผมก็เลยเรียกเพื่อนจากเชียงใหม่มาอยู่ด้วยกัน ก็ดูแลกัน เพื่อนอยู่กับผมตลอด เพื่อนก็มารอเรียนพร้อมผมครับ ตอนนี้ก็กำลังรอเรียน กะว่าจะเรียนนิเทศศาสตร์ครับ”

“คือผมจะเรียนตอน 30 ก็ได้ แต่สำหรับความคิดผมนะ หน้าที่หลักคือหาเงินก่อน การเรียนไปเก็บทีหลังได้ แต่ถ้าโอกาสมันมาตรงนี้ก่อน ก็หาเงินไปก่อน ถ้าสมมติว่าเราทิ้งโอกาสตรงนี้ แล้วเราเรียนเสร็จอาจจะไม่มีแล้ว ผมเอาตรงนี้ก่อน”

ไม่ชอบกินปลา เพราะไม่ชอบที่ปลาอ้าปาก

“คือจริงๆ ก็กินได้ แต่ไม่ชอบปลามันอ้าปาก มันหลอน น่ากลัว แต่ปลากะพงทอดราดน้ำปลากินได้เพราะมันไม่มีหัว อันนั้นเริดเลย อร่อยเลย

อะไรก็ตามที่มันมีหัวแล้วเสิร์ฟมาบนโต๊ะ อย่างหัวหมู ผมไม่เอานะ เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ไม่กลัวเลยนะ ตาปลาก็ควักกิน แต่พอโตมาเหมือนประสาทอะ(หัวเราะ) กลัวหัวปลา

แต่ผมกลัวแมวด้วยนะ ผมไปเจอแมวดุๆ มา แมวเพื่อนนี่แหละ แต่ชอบหมา ผมอยากซื้อบ้านที่กรุงเทพฯ เพื่อเลี้ยงหมา เพราะอยู่คอนโดเขาไม่ให้เลี้ยง ซื้อบ้านให้แม่ กับบ้านให้ตัวเองแล้ว คนละหลัง เพราะถ้าเราโตแล้ว มีครอบครัวจะไปอัดกับแม่ก็จะอึดอัดไปหน่อย เลยซื้อไว้ 2 หลัง แต่ไม่ได้อยู่ใกล้กันครับ ซื้อรถให้แม่แล้ว และปีนี้จะซื้อบ้านที่กรุงเทพฯ เพราะมีแพลนอยากเลี้ยงหมา”

การซื้อของแบรนด์เนม คือการลงทุนอย่างหนึ่ง

“มันคือภาพลักษณ์ของเรา เราทำมาหากินในวงการ ผมเชื่อว่าการลงทุนมันก็ไม่ได้เสียหาย มันคือภาพลักษณ์ของเรา ผมก็เลยลงทุนกับพวกแบรนด์เนม แฟชั่น แต่ว่าตอนนี้อยู่ตัวแล้วครับ พอแล้ว แล้วก็จะซื้อบ้านที่กรุงเทพฯ ตอนนี้เป้าหมายก็คือบ้านที่นี่”

“ผมมองตัวเองก็โตขึ้น ในความคิดก็ปกติอยู่แล้วครับเราได้ทำงาน ได้เจอคน ได้อยู่กับผู้ใหญ่ หลายๆ อย่างมันก็สอนเรา ประสบการณ์ ผมอยู่ตรงนี้มา 3-4 ปี ก็เรียนรู้ครับผม อันไหนถูกอันไหนผิดก็ลองกันไป มีผู้ใหญ่แนะนำตลอด เขาก็บอกนะบางทีบอกไปเราก็ไม่เชื่อ

พอเราเจอด้วยตัวเองเราก็จะกลับมาบอกเขาว่า ผมเจอแบบนี้ละนะ ผมก็ดื้อครับ ผมเป็นเด็ก บางทีเรื่องซื้อแบรนด์เนม ผมจะซื้อเยอะมาก ซื้อสุดๆ เลย แต่ผู้ใหญ่เขาก็เตือนว่า สุดท้ายลูกจะเสียดายนะเอาให้พอดีดีกว่า ก็ซื้อไปๆ สุดท้ายเรามาเห็นว่าเราซื้อเยอะจริงๆ ก็มาบอกเขาว่าผมไม่ซื้อแล้วนะ อยากได้สิ่งที่มันใหญ่ๆ คือบ้าน ตอนนี้รู้สึกว่าควรพอแล้วครับ”

ถ้าวันนั้นไม่ตัดสินใจลาออก
วันนี้ก็คงเป็นแค่เด็กเกเรที่แม่ต้องหาเลี้ยง

“เกเรครับ ผมเป็นเด็กดื้อนะที่เชียงใหม่ ซน อยู่กับเพื่อนเป็นแก๊งไม่น่าจะเป็นเด็กดีได้ แต่ว่าก็คงต้องเรียนให้จบ ทำให้แม่ปวดหัว วันนี้ก็ดีแล้ว มันพลิกทุกอย่าง พลิกโอกาสเรา พลิกชีวิตถ้าไม่กล้าหักดิบในวันนั้นก็คงมาดูแลพ่อแม่ไม่ได้ครับ และกลายเป็นว่าเขาต้องมาดูแลเราแทน

ผมเป็นคนที่จะไม่กลับไปคิดถึงอดีต ผมว่าวันนี้เราดีแล้ว ไม่พูดถึงอดีตที่มันไม่ดีดีกว่า ถ้าเป็นอดีตผมไม่ค่อยพูดถึงเท่าไหร่ พูดถึงแต่สิ่งดีๆ คิดแต่อะไรที่แบบดีเนอะที่เราตัดสินใจแบบนี้ ดีเนอะที่ตอนนั้นแม่ก็ยังหาเงินช่วยกัน วันนี้เป็นบาสหาเงินนะ ไม่ได้มาคุยในเรื่องที่ไม่ดี”

อยากทำงานทั้งเบื้องหน้า-เบื้องหลัง
เตรียมมีซิงเกิลเดี่ยวเป็นของตัวเอง

“เป็นเพลงเดี่ยว แนวเพลงยุค 80-90 ครับ เป็นอารมณ์แบบซีนป๊อปคล้ายๆ โพลีแคตครับ เพราะผมให้พี่นะ โพลีแคต แต่งเพลงให้ครับ ผมชอบฟังเพลงแนวนี้ มันฟังสบาย

อีกอย่างผมเป็นคนชอบฟังเพลงเก่า ไม่ชอบฟังเพลงใหม่ เพลงฝรั่งก็ฟังเพลงเก่าๆ เพลงที่จะทำก็จะเป็นซีนป๊อปแล้วใช้สตอรี่ในชีวิตผมนี่แหล่ะ อยากให้ลองฟังดีกว่า ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงทำโปรดักชั่นกันครับ กะไว้ว่าเดือน 11 ปีนี้ก็จะได้ฟังกัน ว่าจะเอาไปขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ด้วย”

“แพลนต่อไปที่จะทำก็คือ จะช่วยพี่โอ๋ เจ้าของสตาร์ฮันเตอร์ช่วยดูแลบริษัทครับ ทำทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังครับ เพราะสตาร์ฮันเตอร์โตมาพร้อมพวกเรา สู้มาด้วยกัน นับมาจากศูนย์เลย มาไกลจากสิ่งที่เราคิดไว้เยอะ เดี๋ยวเรียนศึกษาอะไรแล้วมาช่วยกันทำครับ”

Gen Y The Series
ร้องไห้จนตาอักเสบถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล

“ผมร้องไห้จนตาอักเสบ วันนั้นเป็นซีนที่แบบน้ำตาคลอนะ น้ำตาไหลนิดนึง ทำหน้านิ่งร้องไห้ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ร้องไห้แบบเดียว มันหลายอารมณ์ที่มาเจอ แล้วซีนสุดท้ายผมต้องร้องไห้แบบไหลเยอะๆ เหมือนเราเสียใจข้างใน แล้วก็เป็นซีนฝนตกไปต่อสู้กับน้ำอีก ตาก็อักเสบเลย

แล้วผมกลับไปนอน รู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว แสบคอแสบจมูก ติดเชื้อแน่ๆ เลยไปหาหมอตอนตี 4 มันทรมานมาก เพิ่งรู้การร้องไห้เยอะมันแรงเหมือนกัน แต่มันเป็นหน้าที่ของเรา ทำให้ดีที่สุดนะครับ บางทีไม่มีใครรู้หรอกเราทำด้วยใจ ทำเพื่อทุกคนมากขนาดนี้ แล้วก็เต็มที่สุดๆ เลย เรื่องนี้ก็เต็มที่ เราดราม่าสุดๆ เลย ทำการบ้านเยอะมาก”

“ผมมองว่า บทที่ได้รับนี้ เพราะเราโตขึ้นด้วย มันไม่ได้มีแบบที่เราแค่พูดบท เฮฮากับเพื่อนๆ สนุกสนาน นี่มันต้องแบบมีหลายๆ อย่างที่ดราม่า หลักๆ เลยคือตัวผม ยอมรับว่าเล่นยากมากครับ”

พูดหวานไม่เป็น แต่ตั้งใจทำงานเพื่อแฟนๆ 

“จริงๆ ทุกวันนี้ทำผลงานออกมาก็ไม่ได้ออกมาให้ใครดู นอกจากแฟนๆ และทุกคนที่พร้อมจะซัพพอร์ตเรา ก็อยากให้น่ารักแบบนี้ตลอดไป 4 ปีแล้ว จริงๆ พูดหวานๆ ไม่เป็นนะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามา อยากให้เปิดใจกับพวกเรา เพราะพวกเราตั้งใจทำงานให้กับชาวไทยและชาวต่างชาติทุกคนเลยครับ”.

ผู้เขียน : โอ้ว…ซาร่า

ช่างภาพ : วัชรชัย คล้ายพงษ์

กราฟิก : Sathit Chuephanngam

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1920993
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1920993