เปิดใจ โอห์ม ฐิติวัฒน์ หนุ่มหล่อโอปป้า กับความฝันที่อยากเป็น


ให้คะแนน


แชร์

“ผมเป็นคนที่ขี้อายมาก่อน ไม่เคยคิดว่าเราจะมาทำอะไรตรงนี้ เดินแบบไปเรื่อยๆ จนเราได้มาประกวดเวที Asia New Star Model Contest Face of Thailand 2016 ของช่อง 8 แล้วได้รางวัลชนะเลิศ จากนั้นก็ได้ไปประกวดต่อที่ประเทศเกาหลีใต้ ได้รางวัลพิเศษกลับมา ทางบริษัทก็ดูหน่วยก้านว่าจะทำอะไรได้รึเปล่า ก็ลองไปแคสติ้งดู ลองให้เราฝึกพัฒนาไปเรียนการแสดง ไปเรียนร้องเพลง เราก็ได้ทำงานตรงนี้มาเรื่อยๆ

ตอนเด็กไม่ได้อยากเป็นดารานะครับ อยากเป็นสจ๊วต อยากเป็นนักบินครับ เราชอบเครื่องบิน ตอนนี้แพชชั่นเราก็เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเราก็มีงานอาชีพนี้เข้ามา ซึ่งเป็นอาชีพที่เรารักและชอบเหมือนกัน เราทำงานตรงนี้มาก็หลายปีแล้ว ก็สนุก ได้ทำงานเป็นทีมเวิร์ค มีงานออกมาเพื่อแฟนๆ ครับ

ที่ได้มาประกวดเวทีของ RS ก็เพราะที่บ้านครับ เขาอยากให้เราเป็นคนกล้าแสดงออก เราก็ได้ฝึกทำงานกับคนนั้นคนนี้ ทำงานร่วมกับผู้อื่น พอเราได้ทำงานแปลกๆ ใหม่ๆ ก็ได้แลกเปลี่ยนทัศนคติกัน เราก็หาอะไรทำไปเรื่อย พ่อแม่เขาก็ไม่ได้ฟิกนะว่าเราต้องทำนั้นมั้ย ทำนี้มั้ย

อย่างพี่ชายกับคุณพ่อเขาจะทำงานในวงการบันเทิงมา เขาก็จะรู้ว่าหน่วยก้านเราได้นะ คือที่บ้านเขาก็จะช่วยดันเราเลยก็ว่าได้ครับ อย่างพ่อก็จะทำโพสต์โปรดักชั่น ส่วนพี่ชายจะเป็นโปรดิวเซอร์ละคร เขาก็จะให้เราลองมาทำงาน ก็เลยลองมาทำเรื่อยๆ เลยทำให้เราเริ่มชอบ ก็เลยไปเรียนเบื้องหลัง

เราเลือกเรียนเทคโนโลยีสื่อสารมวลชนของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีครับ เราเรียนด้านโปรดักชั่นไปเลย แล้วก็ชอบ แล้วก็ทำเบื้องหน้าอีก ผสมผสานกันไป คือตอนนั้นที่ยังไม่เลือกเรียนนักบิน ตอนแรกเราสอบติดอีกที่ คือที่สวนดุสิตครับ แต่ในใจเราคิดว่าเรายังมีความชอบอีกด้านหนึ่ง ที่บ้านทำโปรดักชั่นเฮาส์มา เราอยู่ตรงนี้แต่เด็กๆ เลยคิดว่าเรื่องที่จะไปเรียนการบินเอาไว้อันดับ 2 ก็ได้”

ดีใจเล่นละครเรื่องแรกแฟนๆ ก็จำได้แล้ว

“ละครเรื่องแรกที่เล่น ยังไม่ได้เป็นพระเอกครับ เราเป็นคู่รอง เรื่องใจลวง ของทางช่อง 8 จำได้เลยว่าพอเราประกวดเสร็จ เซ็นสัญญาเป็นนักแสดง เขาก็ให้เราประลองฝีมือเลย ก็หินพอสมควร แต่ตอนนั้นผมมองว่ามันไม่ถึงกับยากมากขนาดนั้น เราแค่คิดหาวิธีว่าเราจะทำยังไงดี เพื่อไม่ให้ทุกคนรอเรา ไม่ให้เรากดดันตัวเอง เราก็ไขว่คว้า ขยันเอาแล้วกัน หามุมนั้นมุมนี้ให้ราบรื่นดีที่สุดแล้วกัน

ละครเรื่องแรกที่ผมได้เล่นผ่านมาประมาณ 4-5 ปีแล้วครับ หลังเล่นละครเสร็จ เราก็ต้องออกไปร้องเพลง ดีใจมากที่แฟนๆ จำเราได้ เขาดูละครเรา เขาเรียกเรา เราก็ดีใจที่มีคนดูละครที่เราเล่นด้วย เป็นประสบการณ์ที่มีแฟนๆ ละครรู้จักเรา

การเล่นละครจริงๆ แล้วคือเราไม่ได้แสดง แต่คือการที่เรายกตัวเองไปอยู่ในตัวละครหนึ่ง ซึ่งตอนแรกๆ เราก็งงว่าเราจะจำบทยังไง มันมาเป็นหน้ากระดาษ พอเราทำไปเรื่อยๆ เราก็รู้แล้วว่ามันเป็นศาสตร์ของการแสดงว่า อย่างที่บอกเราเป็นตัวละครหนึ่งแล้ว เราก็ต้องคิดว่าเราผ่านอะไรมา จนพัฒนามาเรื่อยๆ เราก็ไม่ได้เก่งอะไร มีข้อดีข้อด้อย ผู้ใหญ่เขาก็ตบเข้าตบออก

จากวันนั้นถึงวันนี้ถือว่าผ่านไปเร็วมากครับ ผู้ใหญ่เขาก็หาอะไรให้เราทำตลอด เราก็ดีใจขอบคุณที่เขาเอ็นดูเรา ให้เราได้มาถึงจุดนี้ได้ ถามว่าเติบโตเร็วมั้ย ก็ในระดับหนึ่งครับ ค่อยเป็นค่อยไป แต่ไม่ถึงกับก้าวกระโดด เราก็ค่อยๆ ดึงออกมา เริ่มพัฒนาเรื่อยๆ แรงเชียร์จากแฟนคลับสำคัญมากครับ เพราะว่าถ้าสมมติว่าเราทำผลงานออกไปแล้วไม่มีคนดูหรือสนใจ เราก็คงเฟลครับ คือคนดูผลงานเราเขาก็ชอบเรา เราก็จะดีใจแล้วครับ”

เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย เหนื่อยมากแต่สู้จนสุดใจ

“ตั้งแต่ปี 1 เราจะใช้ชีวิตไม่เหมือนชาวบ้าน ไม่เหมือนเพื่อนเลย เพราะเป็นปีที่เราเข้ามาในบริษัทพอดี เป็นปีที่เราเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงพอดี เราไม่ได้มีไทม์ไลน์ที่ได้อยู่กับเพื่อนมาก แต่เพื่อนก็จะเข้าใจ ถ้าอันไหนที่ไม่ได้ก็จะขออาจารย์ไปถ่ายละครก่อนแล้วค่อยกลับมาเรียนมาสอบ หรือว่าส่งงานย้อนหลังได้มั้ยครับ ก็จะให้เพื่อนถ่ายคลิปวิดีโอไว้ให้ แล้วค่อยมาศึกษาต่อเอง

คือตอนนั้นเหนื่อยมากพอสมควร ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาเราก็เรียนแบบนี้มาตลอดครับ ที่ต้องทำงานด้วยเรียนไปด้วย แต่เราก็ได้ประสบการณ์ข้างนอก อาจารย์ก็ยังมีชื่นชมเรา เพราะเวลาเราไปถ่ายละคร ไปออกอีเวนต์ ก็จะมีเอาบทละครมาให้เพื่อนๆ ดู เล่าประสบการณ์การทำงานในกองถ่ายให้เพื่อนๆ ฟัง แลกเปลี่ยนกัน

ตอนนี้ผมเรียนจบแล้วครับ โล่งใจมาก เราก็ได้มาทำงานเต็มตัว สามารถทำได้อย่างสบายมากขึ้น พ่อแม่เราก็สบายใจแล้ว เราเลี้ยงตัวเองได้ในระดับหนึ่งแล้ว ผมเป็นลูกคนเดียวครับ ถามว่าพ่อกับแม่หวงมั้ย คือเขาเลี้ยงเราแบบว่าไม่เชิงว่าปล่อย แต่ให้เราคิดเอง เขาสนับสนุน ทำอะไรทำให้สุด แต่ขอแค่อย่าผิดทาง แต่ถ้าผิดเขาก็จะเตือนแล้วตบเราเข้าทาง

ถามว่าห่วงมั้ยก็ห่วงเป็นธรรมดาครับ คนเป็นลูก คุณพ่อคุณแม่เขาจะไว้ใจเรา เพราะเราผ่านช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อมาได้แล้ว แต่เราก็ไม่ได้เป็นคนที่เกเร เหมือนเรารู้อยู่ตลอดว่าทุกวันนี้เราทำงานเพื่อใคร และให้ใคร เราก็จะรู้ว่าเราทำให้พ่อแม่ ให้ตัวเอง ทุกอย่างมันสั่งสมให้เราเป็น โอห์ม ได้ เราก็ดีใจ ตอนนี้เขาก็ไว้ใจเรา และย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดกันแล้ว 2 คน ปล่อยให้เราอยู่ที่กรุงเทพฯคนเดียว

ถามว่าพ่อกับแม่ดุมั้ย พ่อเนี่ยเขาจะเป็นคนไม่ดุ แต่มีเหตุผลที่สั่งสอนได้คมกริบ ส่วนแม่จะเป็นคนใจดี น่ารัก สุภาพ สอนเราอยู่ตลอดเวลา พอทั้งคู่มาสอนจะผสมผสานที่กลมกล่อม ตัวผมน่าจะได้แม่มาครับ แม่จะเป็นคนพูดเก่ง”

อยากเปิดโอกาสทางการแสดงเลยลองเล่นซีรีส์วาย

“ผมมาจากละครปกติครับ ก็คือทางบริษัทเปิดโอกาสให้เราไปเล่นข้างนอก เปิดประสบการณ์สายวาย แล้วมีแฟนคลับกลุ่มหนึ่ง ที่ผ่านมาผมเล่นละครปกติมาตลอด แล้วเขาก็เหมือนให้ประสบการณ์เรา ให้เราได้เปิดทัศนคติใหม่ เปิดแอดติจูดใหม่

เราก็ได้ไปเรียนรู้ข้างนอก และนำความรู้กลับมาพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดครับผม ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกใหม่และท้าทายตัวเองว่าเราจะทำได้รึเปล่า ก็ลองทำดู สุดท้ายก็จับจุดให้ได้มากที่สุด

ก็คืออย่างสายวาย เขาจะเป็นผู้ชายกับผู้ชาย เราก็ต้องปรับแอดติจูดของเราใหม่หมดเลย ว่าเราต้องมาเล่นยังไงให้อินได้มากที่สุด เราก็ต้องไปศึกษา ไปดูว่าเขาเล่นกันยังไง ไปดูว่าเขารู้สึกกันยังไง เราต้องรู้สึกกับตัวละครให้ได้มากที่สุด ให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ที่สุด

ถามว่าต่างจากละครปกติมั้ย ผมว่ามันก็ไม่ต่างกันมาก แค่แบบเราอาจจะเปลี่ยนเพศไปเล่นเฉยๆ จากเพศหญิงกับชาย มาเป็นชายกับชาย ซึ่งก็ไม่มีความแตกต่างกันมากครับผม ทุกเพศก็มีความรักได้เหมือนกัน”

“ตอนไปเล่นซีรีส์วายเรื่อง ด้ายแดง ไปเล่นกับค่ายข้างนอกครับผม ออนทางไลน์ทีวี อันนั้นเป็นเรื่องแรกและเรื่องเดียวที่ไปเล่นซีรีส์วายมา ผมเล่นคู่กับ น้องฟลุ้ค ณธัช ครับ จริงๆ เขาเป็นพี่แหละ แต่เรามีการคุยตกลงกันนิดหน่อย (หัวเราะ) ว่าเราเรียกกันว่า ผมเป็นพี่ดีกว่า แล้วเขาเป็นน้อง จริงๆ เขาอายุมากกว่าเราปีหนึ่ง แต่เขาตัวเล็ก เลยเรียกกันเป็นพี่กับน้อง เพื่อจะได้เข้าคาแรกเตอร์”

“กับคำว่า คู่จิ้น แรกๆ ผมไม่เคยคิดว่าจะเจอครับ แล้วคำว่าคู่จิ้นผมเพิ่งจะมารู้จักตอนที่ได้เข้าวงการนี้ แล้วมันเป็นแบบนี้นะ แล้วเราก็มานั่งคุยกันว่าเราเป็นพาร์ทเนอร์ด้วยกันแล้ว เราจะทำยังไงให้แฟนคลับเขาชอบในผลงานเรา เลยไปจับจุดได้ว่า ก็ความเป็นธรรมชาติของเรานี่แหละ ว่าเป็นยังไง เราก็ทำอย่างนั้นแหละ เรารู้สึกยังไงต่อกัน ต่อแฟนคลับ หรือเขาไม่ชอบยังไง เราก็ค่อยบอกกันอีกที

แต่เราไม่ได้คิดว่าเราอยากจะสลัดภาพนั้นออก คือตอนที่เรามาเล่นซีรีส์วาย แฟนคลับจากละครปกติเขาก็ตามเรามาดู คือเขาน่ารักมาก เขาให้การซัพพอร์ตเราทุกผลงาน เราไม่คิดจะแบบว่าฉันไม่เล่นแล้ว ไม่อยากเล่นวายแล้ว คือเราอยากจะแบบไปตรงนั้นตรงนี้ได้ตลอดเวลา อย่างผมเคยคู่กับน้องฟลุ้ค เราก็เคยไปเล่นซีรีส์ที่ต้องคู่กับสาวประเภทสอง แล้วเราก็ต้องปรับแอดติจูดที่ว่าทำยังไงให้มันเข้าในบทบาทได้ เราดีใจที่แฟนๆ เขาเห็นเราได้ในหลายบทบาท เขาให้การซัพพอร์ตที่ดี

และเราก็ไม่อยากสลัดภาพไหนออกเลยครับ เพราะเราอยากทำงานทุกงานให้สมบูรณ์ให้มากที่สุด เราต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ เราไม่เก่ง เราก็ต้องลองดู ถ้าถามว่า กลัวติดภาพความมีคู่จิ้นของเรามั้ย ผมไม่ได้กลัวเท่าไรนะ ผมว่าผมรู้ธรรมชาติของหลายคนนะครับ ว่าเขาก็เปิดใจที่ดี แล้วก็ให้ความจริงใจต่อเรา และเราก็ให้ความจริงใจต่อเขา ด้วยความที่เราก็ชัดเจนด้วยว่าพอมาเล่นตรงนี้แล้ว เขาก็ให้การซัพพอร์ตเรา เราก็ดีใจ

อย่างเราเล่นซีรีส์วายจบ เราก็มาเล่นละครคู่ผู้หญิง แล้วเราไปออกงานต่างๆ อย่างเราไปออกงานคู่กับนางเอกที่เล่นกับเรา แฟนๆ เขาก็จะรักนางเอกเราไปด้วย มันคือความอบอุ่น ที่เขารักคู่ของเราไปด้วย คือแฟนๆ ให้การตอบรับที่ดี ก็ดีใจครับ ก็มีคนติดตามประมาณนึงครับ ไม่ถึงกับเยอะมาก (ยิ้ม)

แฟนๆ เขาก็มาจากซีรีส์วายบ้าง มาจากละครบ้าง ผสมผสานกันไป ส่วนแฟนละครผมก็มีนะครับ อย่างเราไปโปรโมตละครตามสถานที่ต่างๆ ก็มีพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกชื่อในละครของผม ซึ่งทุกคนที่ไปเขาก็ให้การตอบรับที่ดี เขาก็บอกว่าเขาดูละครตลอดเลยนะ เรื่องกำลังสนุกเลย ผมก็ปลื้มใจที่เขาได้ดูละครเราด้วย”

ฝันอยากเป็น Co-Pilot อ่านหนังสือเตรียมพร้อมสอบทุกวัน

“เอาจริงๆ ผมมีความฝันนะ ผมอยากอยู่ในสนามบินครับ หรือไม่ได้ก็อยู่ในห้องตัดต่อ อยู่กับสิ่งที่เราเรียนมา สิ่งที่เราชอบ อยู่กับเครื่องบิน ผมว่าแต่ละคนก็มีแพชชั่นในทางตัวเอง ผมว่าถ้าเราทำงานตรงไหนแล้วมีความสุข อย่างตอนนี้ผมอยู่ตรงนี้แล้วมีความสุข เรามีความสุขที่ได้ทำงานทุกๆ วัน

ผมเคยมองว่าถ้าไม่ได้ทำงานในวงการบันเทิง ผมคงไปเดินลากกระเป๋าในสนามบิน มีบั้งติดอยู่ที่ไหล่ นั่งเป็น Co-Pilot อยู่ก็ได้ ผมชอบด้านนี้มากครับ คือตอนเด็กๆ คุณแม่เขาทำงานในสนามบิน เขามีเพื่อนฝูงในนั้น และบอกกับคนอื่นว่าอยากให้ลูกเป็นสจ๊วตจังเลย

ผมเรียนแถวกองทัพอากาศ แล้วก็ได้เจอกับเครื่องบิน ทุกวันเด็กเราจะไปดูเครื่องบินที่กองทัพอากาศทุกปี ตอนนี้มีเครื่องบินสะสมที่บ้านเป็นร้อยลำ เราก็ชอบ จนเราศึกษามาเรื่อยๆ

วันหนึ่งเราอยากเรียนนักบิน เราก็ศึกษาไปเรื่อยๆ มีเปิดหนังสืออ่านไปด้วย ขวนขวายหาไปเรื่อย รอเวลาพร้อมเขาเปิดรับ เราก็จะไปสอบครับ ตอนนี้ก็มีความฝันอยู่ไม่กี่อย่างที่อยากเป็นครับ ทั้งนักแสดง สจ๊วต นักบิน หรือในอนาคตอาจจะอยากเป็นผู้กำกับ ผู้จัดละครก็ได้ครับ”

ดีใจที่ได้มาเล่น โลกทั้งใบให้นายคนเดียว เดอะซีรีส์ 

“ผมเคยดูผ่านๆ ครับ ตอนเด็กๆ แต่ยังไม่รู้เรื่องหรอกครับ จนโตมาเราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พอรู้ว่าจะได้มาเล่นเรื่องนี้ตื่นเต้นมาก แต่ดีใจมากที่เขาให้เรามาเล่น ภูมิใจมากครับ ในเรื่องนี้ผมเล่นบท ไม้ ของพี่เต๋า สมชายครับ

พี่โด่ง องอาจ เขาบอกนะครับว่าไม่ต้องไปดูเวอร์ชั่นเก่า แต่เราก็ไปดูมาแล้ว และพยายามตีความให้เป็นเวอร์ชั่น 2020 ครับ แล้วก็ได้ไปคุยกับพี่เต๋า เขาก็บอกว่าให้เล่นไปเลย ดีไซน์ออกมาเลย ถามว่าเกร็งมั้ยที่เล่นกับพี่เต๋า ตอนแรกเกร็งมาก แต่พอได้เข้าฉากด้วยกัน เขาน่ารักมาก เขารักเราเหมือนลูกครับ ให้คำแนะนำ มีอะไรก็คุยด้วยตลอด เขาเป็นผู้ชายอบอุ่นคนนึง ผมก็อบอุ่นเขาก็อบอุ่น ไปด้วยกันได้

บทที่ผมเล่นมันหนักมากๆ แต่เราพยายามที่จะไม่กดดันเท่าไร มันแน่นอนอยู่แล้วว่าจะต้องมีการเปรียบเทียบ แต่เราก็พยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ครับ อยากจะทำในแบบฉบับของเราเองให้ดีที่สุดครับ”

ชมเปาะ สิงโต ปราชญา เป็นรุ่นพี่ที่น่ารักมาก 

“พี่สิงโตน่ารักครับ เขาก็เป็นรุ่นพี่เนอะ อายุเราห่างกัน 3-4 ปี เราก็มานั่งปรึกษากันว่าจะเล่นกันยังไง เพราะเราทั้งคู่ไม่มีพี่น้อง แต่ในเรื่องเราเล่นเป็นพี่น้องกัน ก็มาคุยกันว่าจะปรับยังไง พอเราจับจุดได้เราก็โอเค ตอนนี้ก็สนุกสนานกันเลยครับ เวลาเข้าฉากกันกับพี่เต๋า (สมชาย เข็มกลัด) พี่โมทย์ (ปราโมทย์ แสงศร) ในเรื่องผมกับพี่สิงโต เราเล่นเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ครับ

แฟนๆ พี่สิงโตเขาก็น่ารักกันมาก ให้การต้อนรับเรา คือเขารักพี่สิง เขาก็รักโอห์มด้วย พี่น้ำตาลด้วย ส่วนแฟนคลับโอห์ม เขาก็รักพี่สิง พี่น้ำตาลด้วย ไม่ได้มีการมาแบ่งแยกกันว่าคนนั้นแฟนคลับใคร คนนี้แฟนคลับใคร เราเอามารวมกันเลย พวกเขาน่ารักทุกคนเลยครับ”

แฟนคลับคือคนที่สำคัญคนหนึ่งของชีวิต

“ผมดีใจมากนะ ที่ได้มายืนในจุดนี้ จุดที่มีคนรักเรามากมาย ก็ภูมิใจ เราทำงานด้วยความจริงใจ แล้วคนให้การตอบรับที่ดี เราก็มีความสุขกับการทำงานแล้วครับผม 

ถ้าเกิดผมไม่ได้เป็นพระเอก คือผมเป็นคนที่เราทำอะไรเราก็ทำให้เต็มที่อยู่แล้ว แต่อาจจะไม่ได้คิดว่าเราจะต้องเป็นซุปเปอร์สตาร์หรือเป็นพระเอก ไม่ว่าเราจะทำงานอะไร เราทำแล้วมีความสุข แค่อยากจะตื่นไปทำงานทุกเช้าก็พอแล้ว ทำงานด้วยความสุข ความจริงใจกับทุกๆ คนครับ ทุกวันนี้ผมก็ยังมีพลังในการลุกขึ้นมาทำงาน จุดไฟตัวเองตลอดเวลา เพราะเรายังอายุน้อยอยู่ ถึงอายุเยอะแล้วก็ต้องปลุกไฟขึ้นมาครับ

ทุกวันนี้ผมก็ยังสนุกในการทำงานนะครับ จะมีแค่วันที่ไม่สบายครับ ที่รู้สึกเหนื่อย แต่เราก็จะพยายามลุกขึ้นมา เพราะเรามีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เราก็กินยา ไปหาหมอเอา ก็จะมีเหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง แต่เราก็คิดบวกเข้าไว้ ในการทำงานทุกงานมีปัญหาหมดแหละ มีอุปสรรค อาจจะไม่ได้สวยหรูอย่างที่หลายคนมอง ก็ล้มบ้างลุกบ้าง หาวิธีแก้ปัญหากันไป”

“กับแฟนคลับของเรา คือเราตั้งไว้เลยว่า เขาคือคนสำคัญคนหนึ่งในชีวิตเรา เขาเลือกที่จะรักเรา ซัพพอร์ตเรา แค่นี้เราก็ดีใจแล้ว เราก็ให้เขาเป็นคนสำคัญคนหนึ่ง ไม่ได้คิดว่าเป็นใครมาจากไหน ถ้าคุณรักเรา เราก็จะรักคุณ แล้วก็มอบความจริงใจให้กันและกัน”

“ขอบคุณแฟนๆ ทุกคนครับที่ให้การตอบรับ ให้การซัพพอร์ต ทุกอย่างเขาน่ารักมาก คือเวลาที่เราเจอหน้าเขา เขาพิมพ์อะไรมาให้กำลังใจเรา เราก็จะอยู่เป็นความสุขไปแบบนี้ มอบความสุขให้กันและกันต่อไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้มีความสุขดี ก็อยู่กันไปเรื่อยๆ นะครับ (ยิ้ม)

ตอนนี้แฟนๆ ที่ต่างประเทศของผมมีเยอะมากครับ เขาก็มีการไปสร้างบ้านนั้นบ้านนี้ เขาก็พิมพ์ข้อความส่งมาให้เรา เราก็กดแปลเอาว่าเขาพิมพ์มาว่าอะไร ถ้ามีโอกาสไปจัดมีตติ้ง ก็อยากจะไปเจอแฟนๆ ที่ต่างประเทศครับ ก่อนปิดโควิด เราก็มีแพลนไปเจอพวกเขาครับ ก็รอวันที่เปิดประเทศครับ เดี๋ยวมีโอกาสเราคงได้เจอกันครับ”.

ผู้เขียน : โอ้ว…ซาร่า

ช่างภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย

กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1980621
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/1980621