รถเมล์ คะนึงนิจ ปลื้มกระแส แม่เบี้ย แรง ชีวิตจริงไม่ขอเป็นเมียหลวง


ให้คะแนน


แชร์

ล่าสุด บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ รถเมล์ คะนึงนิจ หลังจากที่เจ้าตัวได้คัมแบ็กกลับมาร่วมงานกับช่อง 7 อีกครั้ง และกระแสละครดังเปรี้ยงปร้าง เรตติ้งพุ่งทะยานสุดๆ ซึ่งรถเมล์ได้เผยความรู้สึกว่า หายเหนื่อยทันทีเมื่อได้เห็นกระแสตอบรับที่ปังมากขนาดนี้ 

ห่างหายจากช่อง 7 ไปนานแค่ไหน?
“ตั้งแต่เลื่อมสลับลายค่ะ น่าจะ 5-6 ปีแล้วมั้ง หลายปีแล้วนานมาก พอได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งก็ดีนะคะ เพราะว่าแฟนๆ ช่อง 7 ก็จะรอว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสได้กลับมาร่วมงานกับทางช่อง 7

อีกประจวบเหมาะกับเรื่องนี้ทางพี่เอชวนเพราะพี่เอก็จะบอกว่ารถเมล์พี่ทำละคร เลยมีโอกาสได้มาเล่น ไม่งั้นก็คงไม่ได้มาเล่นสักที”

ทำไมถึงตัดสินใจรับเล่นบทนี้?
“คือหนึ่งเลยมาจากพี่เอส่งบทมา ไม่ได้ส่งธรรมดา คือโทรศัพท์มาหาหลายรอบแล้วก็เล่าเรื่องแม่เบี้ยให้ฟัง คือแม่เบี้ยก่อนหน้านี้เราไม่มีโอกาสได้ดู แค่จำความได้จากภาพยนตร์

แต่ถามว่ารายละเอียดต่างๆ ในเรื่องเข้าใจอะไรขนาดนั้นมั้ย คือตอนแรกก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเยอะมาก แต่ว่าพี่เออธิบายจริงจัง เล่าตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบเรื่องให้ฟัง

จนเรารู้สึกว่าบทนี้ก็เป็นอีกบทหนึ่งที่น่าสนใจ แต่ตอนแรกที่เรายังไม่ได้เห็นบทออกมาเป็นคำๆ อย่างนี้ ก็จะเห็นเป็นทรีตเมนต์รวมของละคร เลยรู้สึกว่าถ้าพี่เอชวนแล้วเขาคงทำเต็มสตีมแน่นอน ดีแน่นอน ก็เชื่อมั่นในตัวพี่เอ ก็เลยรับเล่นค่ะ”

กับบทนี้เป็นยังไงบ้าง?
“โหดอยู่ (หัวเราะ) คือมันเป็นคำพูดที่เวลาเล่นมันจะง่ายหน่อย เพราะว่ามันเป็นคำพูดที่บางทีเราเคยได้ยินกันอยู่แล้วเรื่อยๆ หมายถึงคำในบท ไม่ได้เป็นคำประดิษฐ์หรือว่าแบบสละสลวยภาษาเขียนมาก

แต่ถ้าพูดถึงเรื่องของอารมณ์ของการแสดงก็อาจจะยากหน่อย เพราะว่ามันตีความได้หลายแบบว่าจะเป็นแบบเมียหลวงที่เป็นลักษณะไหนกันแน่

คือมันคาบเกี่ยวระหว่างคำว่า น่ารำคาญ กับ เข้าใจ มันคาบเกี่ยวจริงๆ เมื่อไหร่ที่ไปวีนหรือว่าวี้ดๆ อะไรกับคนอื่น มันต้องมีเหตุผลมากพอที่ทำไมตัวละครตัวนี้ถึงแบบรู้สึกแบบนี้”

ตอนเล่นเครียดมั้ย?
“ดูน่าจะเครียดเนอะ (หัวเราะ) เครียดอยู่เหมือนกัน แต่ว่าโชคดีที่ตอนเล่นเรื่องนี้ทีมงานหรือว่าแม้กระทั่งเวลาพักในกองถ่ายมันดูสบายๆ เลยไม่เครียดมาก

ทั้งๆ ที่บทมันเครียด ยังพูดกับ เอส กันตพงศ์ ตลอดเวลาว่าเล่นเรื่องนี้เราไม่มียิ้มเลยเนอะ เราเคยพูดดีๆ กันบ้างไหม แต่ด้วยบรรยากาศในกองถ่ายและสภาพแวดล้อมมันทำให้รู้สึกว่าการทำงานไม่เครียด โชคดีมาก”

แล้วช่วงนี้กระแสเมียหลวงเมียน้อยมาแรงด้วย?
“ใช่ ประจวบเหมาะกับอะไรหลายๆ อย่างจริงๆ ค่ะคือทั้งข่าว เพลง ก็เลยกลายเป็นกระแสที่คนพูดถึงมากๆ”

เป็นตัวแทนทีมเมียหลวง?
“ใช่ๆ บางคนก็จะมีแบบว่าอินมากนะ อินขนาดส่งอินบ็อกซ์มาหารถเมล์ต้องอย่างนี้สิ ต้องทำอย่างนี้ อย่าไปยอมมัน เหมือนลุ้นมวย ลุ้นมากๆ ว่าจะแก้แค้นมั้ย บางคนก็จะบอกว่าปล่อยเลยอย่าไปสนใจมัน มีหลายแบบมากเลยค่ะ”

ฟีดแบ็กตอบรับดีมาก?
“อย่างที่บอกว่าไม่ได้เล่นช่อง 7 มานาน พอฟีดแบ็กมันกลับมาตอบรับดีก็ดีใจ แต่ว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้เรายังถ่ายตลาดสด ยังออกไปพบปะผู้คน ก็จะเห็นฟีดแบ็กที่ค่อนข้างชัด

แต่ด้วยความที่ตอนนี้ไม่ได้ออกไปถ่ายรายการตามต่างจังหวัด ก็เลยเห็นแค่จากสื่อโซเชียลของหลายๆ คนที่ส่งมาหา

แต่แปลกนะรอบนี้รู้สึกว่ากลุ่มแฟนที่ดูละครเรื่องนี้ค่อนข้างเยอะเหมือนกัน มีกลุ่มที่เป็นวัยรุ่น เรียนมหาวิทยาลัย กลุ่มแฟนละครที่ค่อนข้างจะเด็ก เพราะส่วนใหญ่ที่ส่งมาหาก็จะมีแต่เด็กๆ แต่แฟนๆ ที่ดูละครรุ่นคุณแม่ก็มีแหละ แต่ว่าสื่อโซเชียลอาจจะไม่ได้ชัดเจนมาก เราก็เลยไม่ได้เห็น”

เรียกว่าเป็นการกลับมาที่ได้รับกระแสตอบรับที่ดี?
“ใช่ ดีมากค่ะ ดีแบบที่ตอนแรกไม่คิดว่าจะดีขนาดนี้ ดีเกินคาดเลย แล้วบางทีเวลาเล่นก็ไม่รู้ว่าตอนที่เล่นไปเล่นอะไร (หัวเราะ) มาเช็กผลงานได้ก็คือวันที่เรื่องทุกอย่างออกมาแล้ว ตัดมาเป็นภาพ ออกมาเป็นละครแล้ว

มีเรื่องของคนอื่น มีเรื่องของเรา มันเลยทำให้รู้สึกว่าพี่เอเขาใส่ใจรายละเอียดจริงๆ ตามที่เขาพูดเลยว่าเขาทุ่มทุนสร้างมากสำหรับเรื่องนี้ พี่เอบอกว่าสมมติพี่มีงบเท่านี้ พี่ใส่ของพี่เกินไปมากมาย เกินงบที่วางเอาไว้สำหรับเรื่องนี้มากๆ”

คนใกล้ตัวว่ายังไงบ้างพอได้เห็นเราเล่นบทแบบนี้?
“(หัวเราะ) คือเขาดูด้วยตลอดนะคะ ทุกวันนี้กลับบ้านมาก็จะเปิดดูละครตลอด เคยมีโอกาสได้เล่าให้เขาฟังบ้างตอนที่เล่นเรื่องนี้ ตอนนั้นเป็นแฟนกันยังไม่ได้แต่งงาน

อันนี้เป็นเรื่องแรกที่มีโอกาสได้มานั่งดูด้วยกัน ก็ดูเขาตั้งใจดูอยู่แต่ไม่มีคอมเมนต์อะไรมากมาย ก็จะชมคนอื่นตลอด น้องนาวเล่นดีเนอะ”

ไม่มีชมว่าเราเล่นดีหรือน่ากลัวอะไรบ้างเหรอ?
“ไม่พูดเลย เงียบเลย เขาก็คงจะรู้สึกว่า เอ๊ะ..ถ้าเกิดในชีวิตจริงแล้วจะยังไง แต่รถเมล์ก็จะพูดตลอดว่าพี่ไม่ต้องห่วง หนูไม่เป็นแบบในละคร ไม่ขอเป็นเมียหลวง เพราะว่าหนูจะไปเลย (หัวเราะ)

ก็พูดกับเขาตลอด แล้วเขาก็จะบอกว่า อืม ไม่พูดอะไร หนูก็จะบอกว่าพี่ไม่ต้องห่วงหนูไม่วีน แล้วหนูไม่ไปหาเรื่องอีกคนนึงด้วย หนูจะจัดการคนกลางนี่แหละ”

ตอนเล่นเรื่องนี้ยังไม่ได้แต่งงานแล้วใช้ฟีลไหนหรือความรู้สึกไหนมาช่วยให้อินกับบทมากขึ้น?
“ส่วนใหญ่รถเมล์ดูจากที่เป็นบทแล้วก็ให้ความรู้สึกไปตามบทที่มันแบบพูด คือตอนเล่นก็ตอบยากจริงๆ ว่าเราเล่นด้วยความรู้สึกอะไร เอาแค่คนเป็นแฟนก็ได้ยังไม่ต้องแต่งงานอยู่ด้วยกันมีลูก

คือจะให้มีเหตุการณ์แบบนี้ บางคนก็จะพอนึกฟีลออกว่ามันจะรู้สึกยังไง แล้วด้วยความที่ไดอาล็อกละครพอมาเล่นมันมีขึ้นมีลงของคำพูด เวลาเล่นก็จะง่ายหน่อย

ด้วยความที่บทมันชัดมาก ชัดมากขนาดที่เล่นไปแล้วรู้เลยว่าพูดแบบนี้มันต้องรู้สึกแบบนี้ เขาอธิบายในบทชัดมากว่าไหมแก้วเดินแบบนี้ไปด้วยความรู้สึกอะไร คือบทอธิบายละเอียดมาก”

แสดงว่าตอนเล่นเราก็ค่อนข้างอินกับบท?
“อินอยู่ มีหลายฉากเหมือนกันที่เล่นละครมาไม่เคยมีความรู้สึกว่าตัวเองหลุดไปแบบนั้น หลุดหมายถึงว่าไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปในฉากนั้น เพิ่งเคยรู้สึกเหมือนกันว่า อ๋อ..มันเป็นแบบนี้นี่เอง ที่มันรู้สึกแบบนี้”

พอมาเป็นภาพรวมละครเรื่องนี้แล้วให้คะแนนตัวเองกับบทบาทนี้ยังไงบ้าง?
“ก็แฮปปี้นะ ค่อนข้างโอเคมากค่ะ หายเหนื่อยจากการทำงาน ต้องใช้คำนี้ เพราะว่าบางทีไปถ่ายละครมันก็จะมีอารมณ์แบบเช้ามากเลิกดึกมากอยู่ตลอด

ตอนเล่นมันเหนื่อย อยากกลับบ้านแล้ว แต่พอเวลาผลงานออกมาแล้วเป็นสิ่งที่ฟีดแบ็กมันตอบกลับมาดี แล้วสิ่งที่ทำไปมันแล้วเราเต็มที่กับมัน ผลออกมาแล้วก็ยอมรับในสิ่งที่มันเป็นค่ะ”

ละครเรื่องต่อไปก็ไม่น่าจะได้บทหมูแล้ว?
“(หัวเราะ) คือจริงๆ จะบอกว่าตอนหลังๆ มาคนไม่ค่อยให้รถเมล์เล่นบทแบบใสๆ แบบปกติมาสักพักนึงแล้วนะ ตั้งแต่ 5 ปีหลังมานี่ รู้สึกว่ารับมาแต่ละบทคือแบบไม่มีบทไหนง่ายเลย

แต่ก็แฮปปี้นะ รู้สึกว่าอยากเล่นบทอะไรที่ยากๆ มากกว่าง่ายๆ มันมีอะไรให้เราได้รู้สึกว่าเราได้แสดงฝีมือหน่อยค่ะ (ยิ้ม)”

แต่มันก็เหนื่อย?
“เหนื่อย เหนื่อยมากจริงๆ ท้อไปหลายรอบแล้วตอนเล่นละครอะ (เรื่องไหนท้อสุด) คือความรู้สึกมันมีมานานแล้ว ก่อนหน้านี้ก็จะมีความรู้สึกอยากเล่นบทอะไรที่มันท้าทายตัวเอง เวลาที่เล่นอะไรที่มีความแตกต่างแล้วคนเห็นในความสามารถเรา ก็จะรู้สึกดีใจมากที่เขาเลือกใครเล่น

เวลามีบทอะไรดีๆ มาก็จะรู้สึกว่าขอบคุณผู้ใหญ่หลายหลายคนที่ให้โอกาส เหมือนอย่างพี่เอที่ยื่นบทนี้มาให้เล่น เขาก็อยากให้รถเมล์เล่นและต้องเป็นรถเมล์เล่น ก็รู้สึกว่าถ้าคนที่เขาให้โอกาสเราเพราะเชื่อมั่นในตัวเรา เราก็ต้องเต็มที่กับมัน”

กี่ปีแล้วกับเส้นทางในวงการบันเทิง?
“18-19 ปีแล้วนะ (ถ้าวัดเป็นอายุก็กำลังแตกเนื้อสาว) ใช่ๆ ถ้าเป็นอายุนะ แต่ถ้าประสบการณ์ในวงการบันเทิงก็นี่แหละเรียกว่ากำลังอยู่ในช่วงของวัยรุ่นจ๋ากำลังจะเข้าสู่ช่วงพีกอะไรอย่างนี้”

เอาจริงๆ แอบติดใจตอนไปทำพิธีกรไหม เพราะดูเหมือนช่วงนั้นก็ไม่รับละครเลย?
“ใช่ๆ มันมีความรู้สึกนั้น เหมือนอย่างที่บอกไปว่าก่อนหน้านี้พอมาทำพิธีกรรู้สึกว่าเป็นตัวเอง ได้ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก มีโอกาสได้ไปเจออะไรใหม่ๆ ในชีวิตที่ไม่เคยเจอเลย

แล้วก็รู้สึกว่ามันแบ่งเวลาในชีวิตได้ อย่างเช่น สมมติเวลาถ่ายรายการจะรู้เลยว่าอาทิตย์นี้ถ่ายวันไหนบ้าง วันไหนที่ไม่ได้ถ่ายรายการมีเวลาที่จะไปออกกำลังกาย มีเวลาแพลนชีวิตจะไปทำอะไร ไปเที่ยวกินข้าวดูหนัง มันทำอะไรแบบเป็นแพลนได้หมด

แต่ถ้าเล่นละครต้องยอมรับว่า ถ้าคิวถ่ายจันทร์-อังคาร-พุธ ก็ต้องล็อกคิวให้กองละครทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเลย รู้สึกว่าพอมาเล่นละครมันอาจจะต้องทุ่มเทเวลาถ้าจะเล่นคือต้องทุ่มเวลาไปให้มัน

อาจจะแบ่งเวลาชีวิตตัวเองค่อนข้างยากหน่อย เลยรู้สึกว่าพอทำพิธีก่อนมันก็สนุกได้ออกไปเที่ยวได้ออกไปเห็นนู่นเห็นนี่ ก็เลยห่างจากการเล่นละครปีนึงอย่างมากเรื่องเดียวเต็มที่เลยก็ไม่เกินสองเรื่อง”

หลังจากแม่เบี้ยมีอะไรต่ออีกไหมสำหรับงานละคร?
“ตอนนี้มีค้างอยู่หนึ่ง เรื่องที่ยังไม่ปิดกล้องคือละครของพี่ตั้ว ศรัณยู คือตั้งแต่สมัยตอนที่พี่ตั้วยังอยู่ก็คือเริ่มไปเยอะมากแล้วนะคะ แต่ก็เหมือนยังเหลือเยอะอยู่เหมือนกัน

ประจวบเหมาะกับพอหลังจากนั้นมาก็มีโควิดจนตอนนี้จะเปิดกองอีกทีนึงก็ไปถ่ายไม่ได้สักที แล้วเท่าที่ดูก็เหลืออีกหลายคิวมากเหมือนกัน”.

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2197561
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2197561