เต๋อ ฉันทวิชช์ บทเรียนชีวิตที่ผลักดันให้ต้องสู้ จนเกือบต้องออกจากวงการ


ให้คะแนน


แชร์

ถ้าจะพูดถึงนักแสดงหนุ่มอารมณ์ดี เรียกเสียงฮาแบบไม่ห่วงหล่อ เต๋อ ฉันทวิชช์ ธนะเสวี ก็คือพระเอกอันดับต้นๆ ของวงการที่หลายคนจะนึกถึง เพราะเต๋อทำให้แฟนๆ ที่ติดตามผลงานขำกรามค้างมาหลายต่อหลายเรื่อง

ล่าสุด เต๋อ ฉันทวิชช์ มีผลงานละครเรื่องล่าสุด Help me คุณผีช่วยด้วย กับช่อง 3 แต่ใครเลยจะรู้ เรื่องราวชีวิตในการทำงานของเต๋อ ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเกือบจะหันหลังให้กับวงการบันเทิง เพราะถูกวิจารณ์ในเรื่องของการแสดง

ผมไม่ใช่ผู้ชายตลก

เพราะภาพลักษณ์ของ เต๋อ ฉันทวิชช์ คือความฮาผู้ชายที่มาพร้อมเสียงหัวเราะ นี่คือภาพจำที่แฟนๆ มองเต๋อ แต่เราอยากรู้จริงๆ ว่าตัวตนจริงๆ ของเต๋อเป็นแบบที่หลายคนคิดเอาไว้หรือไม่ ซึ่งเจ้าตัวตอบคำถามนี้พร้อมกับรอยยิ้มว่า

“จริงๆ ผมเป็นคนซีเรียส คิดมาก ขี้นอยด์และขี้งกด้วย ผมไม่ได้เป็นคนตลกตลอดเวลาแบบนั้น เวลาที่เห็นผมตลก สนุกสนานเฮฮา ผมไม่ได้แสดงหรือเฟกนะ แต่เวลาที่เห็นคนเยอะๆ ผมชอบทำให้คนสนุกสนาน ชอบเอนเตอร์เทน ปล่อยมุกตลกบ้างไม่ตลกบ้างก็ว่าไป แต่เวลาอยู่คนเดียวก็มีมุมซีเรียส”

จากนั้น เต๋อ ฉันทวิชช์ อธิบายความงกของตัวเองให้เราฟังเพิ่มเติม ที่งานนี้ฟังแล้วทำเอาอึ้งไม่น้อย เมื่อได้รู้ว่านิสัยนี้หนุ่มเต๋อได้รับมาจากคุณแม่เต็มๆ ว่า

“ผมเป็นคนขี้งกมาก เป็นโรคติดตัว เช่น เสื้อผ้ามีเยอะๆ ถ้าต้องเอาไปบริจาค หรือทิ้งตัวที่เก่าๆ แล้วก็ทำใจทิ้งไม่ได้ ทิ้งไม่ลง ต่อให้เก่าจนขาดก็ใส่ หรือของที่จะเสียแล้ว ก็ทิ้งไม่ลงก็กินไปเลยแล้วกัน ถ้าหมดอายุเมื่อวาน ดมแล้วยังกินได้ก็กิน และเคยท้องเสียบ้าง แต่ไม่เข็ด

ซึ่งคนรอบข้างบอกว่าอย่าเสียดาย ทิ้งไป ยกเว้นแม่ เพราะว่าแม่ขี้งกกว่าผมอีก (หัวเราะ) ผมรับนิสัยคุณแม่มาเต็มๆ เลย (ยิ้ม) คือผมไม่ค่อยใช้เงินเพื่อซื้ออะไรให้กับตัวเอง แต่กับคนอื่นผมซื้อให้ครับ (ยิ้ม)”

เจ้าพ่อคอมเมดี้

เมื่อพูดถึงฉายาที่หลายๆ คนยกให้ เต๋อ ฉันทวิชช์ ว่าให้เขาเป็นเจ้าพ่อคอมเมดี้นั้น งานนี้นักแสดงหนุ่มยิ้มพร้อมกับน้อมรับฉายานี้ด้วยความยินดีและบอกกับเราว่า

“ใครจะให้ฉายาอะไรผมรับหมดครับ (ยิ้ม) ใครให้อะไรผมรับหมด ผมยินดี แต่ก็ยังมีบทที่ผมอยากจะเล่นให้คนดูได้ดูอีกนะ สำหรับฉายาเจ้าพ่อคอมเมดี้ผมถือว่าเป็นคำชม ขอบคุณมากที่มองว่าผมเล่นคอมเมดี้ได้ดี เพราะละครคอมเมดี้เป็นละครอีกแนวที่มันไม่ได้ง่าย สำหรับผมถือว่าเป็นคำชม”

ก็เพราะได้เล่นแต่ละครแนวนี้ งานนี้เลยทำให้หลายคนอยากจะเห็นเต๋อเล่นบทบาทอื่นบ้าง ซึ่งงานนี้นักแสดงหนุ่มก็ยังอธิบายให้เราฟังเรื่องนี้ด้วยรอยยิ้มว่า

“ต้องยอมรับภาพความตลก ความฮา มันเป็นภาพจำที่ติดตัวผมไปแล้ว กับการเป็นนักแสดงหนุ่มอารมณ์ดีมาดกวน ซึ่งบทบาทที่ผมได้รับก็คล้ายคลึงกัน

ถ้าใครดูละครเรื่องคุณผีช่วยด้วย จะได้เห็นผมเล่นดราม่าก็ได้ ซึ่งเป็นการเล่นดราม่าที่เยอะมากที่สุดในละครที่ผมเล่นมาทั้งหมดแล้ว

แต่ผมก็ไม่รู้นะว่าตัวเองอยากเล่นบทแนวไหน ต้องได้อ่านบทก่อนแล้วถึงจะรู้ว่าอยากเล่นมั้ย ไม่อยากบอกว่าอยากเล่นบทเป็นมือปืนรับจ้าง เพราะถ้าได้อ่านบทอาจจะไม่อยากเล่นแล้วก็ได้

แต่คนส่วนใหญ่จะนึกถึงผมเวลามีบทแนวๆ นี้ เพราะหวังว่าจะได้ความคอมเมดี้จากผมไปไม่มากก็น้อย แต่ถ้ามีคนอยากให้ผมลองเล่นแนวอื่นหนักๆ ผมยินดีนะ ผมอยากลอง”

จากนั้น เต๋อ ฉันทวิชช์ บอกกับเราต่อว่า การเล่นคอมเมดี้ที่ทุกคนบอกว่าเหมือนจะเล่นง่าย แต่จริงๆ มันไม่ง่ายเลย อาจจะยากกว่าการเล่นแนวดราม่าอีก เพราะการเล่นดราม่าเป็นการเข้าใจตัวละครและอินไปกับสถานการณ์ ถ้าใจอินไปกับบทก็เป็นไปได้หมด

แต่ถ้าคอมเมดี้มันต้องมีจังหวะผสม บางครั้งมุกเดียวกัน สถานการณ์เดียวกัน แต่จังหวะไม่ได้ มันก็แป้กไปหมด การเล่นคอมเมดี้เป็นการดีไซน์บทไปด้วย ไม่ใช่แค่การอินไปกับตัวละคร เพราะเหตุนี้เต๋อเลยรู้สึกว่าการเล่นคอมเมดี้ยาก

เต๋อ ฉันทวิชช์ เจ้าของรางวัลทุเรียนเน่า

แต่กว่าที่ผู้ชายคนนี้จะทำให้หลายคนยอมรับในการแสดงของเขา ว่าเขาก็เป็นอีกคนที่มีความสามารถ เต๋อเคยเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เกือบหยุดทำอาชีพนักแสดงกับรางวัลนักแสดงยอดแย่ หรือ รางวัลทุเรียนเน่า

ซึ่ง เต๋อ ฉันทวิชช์ เล่าย้อนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเขาเมื่อหลายปีก่อนให้ฟังด้วยรอยยิ้มและความรู้สึกขอบคุณให้ฟัง

“คือคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตวันนี้กว่า 90% ทุกคนเขาจะต้องเคยล้มเหลวมาก่อน ต้องเคยผ่านเรื่องราวในชีวิตที่แย่ๆ เขาถึงจะมาประสบความสำเร็จได้ เพราะคนที่ไม่เคยล้ม จะไม่รู้มีความรู้สึกของความที่อยากจะยืนขึ้นมา

เวลาที่เจอเรื่องแย่ๆ ปัญหาในชีวิต อย่าไปท้อ ให้คิดว่านี่คือสิ่งที่ดีมากที่เกิดขึ้นในชีวิต เพื่อกระตุ้นให้เราเกิดพลัง เกิดไฟเพื่อสู้ต่อไป

อย่างตัวผม ผมเป็นนักแสดง แต่ในชีวิตผมเคยได้รับรางวัลการแสดงยอดแย่ ชื่อรางวัลทุเรียนเน่า คือทุเรียนบางคนว่ามันเหม็นแถมนี่ยังเน่าอีก

ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ผมท้อแท้มาก ตอนนั้นผมแย่มาก และพอในวันที่ได้กำลังใจเข้ามา บอกว่าเราต้องลุกขึ้นมาอีกครั้ง จะมานั่งทุกข์กับมันแบบนี้ไม่ได้ ผมเลยตัดสินใจลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง เพราะถ้าเราจมอยู่กับอย่างนั้น ก็เหมือนกับเราหนีปัญหา

บางคนอาจจะเจอปัญหามากๆ แล้วรู้สึกว่าตัวเองไปต่อไม่ได้ รู้สึกแพ้ รู้สึกยอม แต่มันน่าเสียดายมาก เพราะตอนนี้คุณได้บททดสอบชีวิตที่ดีมากๆ ในการที่คุณจะได้ลุกขึ้นมาและมาดูว่าตัวเองจะไปได้ไกลกว่าจุดที่เคยอยู่อีก

ลุกมาพัฒนาตัวเอง มาให้กำลังใจตัวเอง มันจะเป็นแรงผลักดันที่ดีมาก มีคนเคยบอกผมว่า การล้มเหลวเป็นพลังที่ดีกว่าคำชม ก็เลยรู้สึกว่า ความล้มเหลวเป็นแรงผลักดันที่ดีกว่า”

เกือบหันหลังให้วงการบันเทิง

จากนั้นเต๋อก็เล่าย้อนถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องกลับมาสู้ พัฒนาตัวเองเพื่อลบภาพนักแสดงยอดแย่ในสายตาของทุกคนทิ้งไปให้ได้ว่า

“ตอนที่ได้รางวัลทุเรียนเน่า จากหนังเรื่องโปรแกรมหน้า วิญญาณอาฆาต ผมเศร้าอยู่นานมาก เพราะอาชีพของผมคือนักแสดง พอได้รางวัลนี้มา นั่นหมายความว่า ในอาชีพนี้ผมแย่มากนะ และในความคิดผมตอนนั้น คิดว่าแล้วเราจะไปต่อได้เหรอกับอาชีพนี้

แล้วเวลาไปออกงานก็จะมีคนมาถามว่า รู้สึกยังไงที่ได้รับรางวัลนี้ ทำให้ตอนนั้นความรู้สึกผมดาวน์ลงเรื่อยๆ ผมไปนั่งดูในเน็ตว่ามีคนด่าผมบ้าง อ่านฟีดแบ็กลบๆ ทุกวัน ติดต่อกันนานๆ จนทำให้ผมรู้สึกว่าควรจะเลิกเป็นนักแสดง เพราะผมไม่ไหว รู้สึกว่ามันเครียดเกินไป มันกดดัน แต่ตอนที่ทำก็ทำเต็มที่แล้ว ก็เลยรู้สึกไม่โอเค

แต่พอผ่านไปสักระยะหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นมีโปรเจกต์ทำเบื้องหลัง พี่โต้งก็บอกผมว่า ในอนาคต 10-20 ปีต่อจากนี้ไป คนเอาชื่อผมไปเซิร์จในอินเทอร์เน็ต ประวัติที่มันจะขึ้นมาให้คนเห็นคือ ได้รางวัลทุเรียนเน่าเลยเลิกเล่นออกจากวงการ และสิ่งนี้ก็จะติดตัวผมไปตลอดชีวิต

พอฟังจบ ตอนนั้นรู้สึกในตัวมีไฟขึ้นมาทันที บอกตัวเองว่า ไม่ได้ เราจะมาเป็นแบบนี้ไม่ได้ โปรไฟล์งานสุดท้ายคือทุเรียนเน่าไม่ได้ ก็เลยสู้ต่อไป ผมไปลงเรียนการแสดง เทกคอร์สทุกๆ อย่าง ก็พยายามและตั้งใจมากขึ้น และเรื่องต่อมาเล่นเรื่องกวนมึนโฮ ก็ทำให้ผมได้พัฒนาตัวเองจากจุดนั้น”

ขอบคุณความล้มเหลว

แต่เต๋อก็ผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ และในวันนี้เขาก็ได้พิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนยอมรับฝีมือของ เต๋อ ฉันทวิชช์ จนได้เป็นอีกหนึ่งนักแสดงแถวหน้าของวงการบันเทิง

“ผมยังไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นนักแสดงที่เก่งมากขนาดนั้น แต่ว่าก็รู้สึกว่าตัวเองพัฒนาจากจุดนั้นมามากเหมือนกัน และตอนนั้นผมรู้สึกขอบคุณรางวัลทุเรียนเน่าที่มันเป็นแรงกระตุ้นผมที่หาไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว มันไม่มีใครสามารถมาพูดกับผมตรงๆ เรื่องการแสดงได้ดีเท่ากับรางวัลนี้

เพราะรางวัลนี้ได้ทำหน้าที่บอกให้ผมรู้ว่าการแสดงผมเป็นยังไง และมันทำให้ผมเห็นว่าตัวเองยังมีจุดบกพร่องอีกเยอะเลย ก็พยายามเติมเต็มจุดนั้น ผมไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นนักแสดงที่เก่งนะ

แต่ผมรู้สึกว่าจากวันที่ได้รางวัลทุเรียนเน่า วันนี้เรามาไกลเหมือนกัน ไกลกว่าเดิมมาก เลยรู้สึกภูมิใจในตัวเองที่ไม่ยอมแพ้ในวันนั้น ขอบคุณความล้มเหลวในวันนั้นที่ผลักดันเรามาสู่วันนี้”

ใหม่ ดาวิกา คือผู้หญิงที่หาได้ยากในโลกใบนี้

จากนั้นเราพูดคุยเรื่องความรักของ เต๋อ ฉันทวิชช์ และแฟนสาวนางเอกสาวคนสวย ใหม่ ดาวิกา ที่แม้จะคบกันมาหลายปีแต่ความรักของทั้งคู่ก็ยังหวานไม่มีลด ซึ่งหนุ่มเต๋อเล่าเรื่องความรักให้ฟังว่า 

“พวกเราไม่ได้เติมหวานให้กันเลย เราแค่มีความคิดที่ตรงกันว่า การที่เรามาคบกัน มาศึกษากันเราพยายามทำให้อีกฝั่งหนึ่งมีความสุข พื้นฐานมันมาจากจุดนั้น แต่ละวันมันเหมือนเดิมพลังบวกให้กันไปเรื่อยๆ ในแต่ละวัน

ยอมรับว่าเมื่อก่อนในช่วงที่คบกัน หลายคนจะเป็นห่วงกลัวว่าน้องจะมาหลอกผม กลัวน้องจะทำให้ผมเสียใจ คือเราสองคนรู้ว่าความเป็นจริงแล้วมันคืออะไร ณ วันนั้นมันก็มีคนที่บอกว่าดูไม่เหมาะสมกัน เดี๋ยวก็เลิกกัน มันเป็นเรื่องธรรมดาครับเพราะว่าเราเป็นคนที่ทุกคนรู้จัก ทุกคนเคยเห็น

เขาก็จะมีความคาดหวังในตัวของเราแตกต่างกันไป แต่เรา 2 คนรู้ว่าในความคาดหวังของแต่ละคนคือความสุข เพราะฉะนั้นแค่เราอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุขมันก็จบ

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ความสุขมันก็ไม่เคยลดลง มีแต่เพิ่มขึ้น ยิ่งผมได้รู้จักเขามากขึ้น ยิ่งรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่น่ารักมากและหาได้ยากในโลกใบนี้ เพราะเขาดูแลเทคนแคร์คน ใส่ใจคนรอบข้าง เขาพยายามทำให้คนที่อยู่รอบตัวเขามีความสุขไปกับเขาตลอด ถือว่าเราโชคดีมากที่ได้มาเจอ (ยิ้ม)

ส่วนเรื่องอนาคต เรื่องแต่งงาน ผมไม่ได้แพลนอะไรไว้ แต่ทำทุกวันให้มีความสุขไปเรื่อยๆ ซึ่ง ณ วันนี้ในทุกวันก็ยังมีความรู้สึกแบบนั้นอยู่ มีความสุขมากในทุกวัน วันรุ่งขึ้นก็จะมีอะไรให้ทำ ก็ค่อยๆ เรียนรู้กันไปเรื่อยๆ ในแต่ละวันไม่ได้คืดวางแผนอนาคตว่ามันจะต้องเกิดขึ้นในเร็ววันนี้”

ผลงานละครเรื่องล่าสุด

และตอนนี้ เต๋อ ฉันทวิชช์ ก็กำลังมีละครเรื่องล่าสุด Help me คุณผีช่วยด้วย กับทางช่อง 3 ซึ่งเต๋อบอกว่าละครเรื่องนี้แม้จะเป็นละครคอมเมดี้อีกแล้ว แต่แฟนๆ ของเขาจะได้เห็นเขาเล่นในอีกมุมที่แตกต่างกันไป ซึ่งเต๋อบอกกับเราว่า

“ที่ผมรับเล่นละครเรื่องนี้ เอาจริงๆ เลยเพราะบทน่าเล่นมาก เพราะผมไม่เคยเล่นเป็นผีมาก่อน มันน่าจะแปลกดี และเรื่องนี้ตอนเด็กๆ ดังมาก พี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ เล่นเอาไว้สนุกมาก และพอมาเป็นยุคนี้มันก็น่าสนใจ มีการตีความใหม่ พออ่านบทคร่าวๆ ที่เขาส่งมาให้ก็อยากเล่นเลย

ซึ่งการเล่นเป็นผี ตอนแรกคิดว่าจะสนุกเวลาเข้าฉากจะทำอะไรก็ได้ที่สนุกๆ เวลาเข้าฉาก แต่พอถึงเวลาจริงๆ แอบเหงาเพราะไม่มีใครรับแอค พูดอะไรก็ไม่มีใครได้ยิน เหงาเลย แต่ภาพโดยรวมถึงว่าสนุกมาก

และในเรื่องผมเป็นสตั๊นท์แมนที่อยู่ๆ ก็เสียชีวิต แต่ยังมีภาระเยอะมาก มีครอบครัว มีเมียมีลูก มีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ มีห่วงเยอะมาก พอค้นพบว่ามีคนที่เห็นเรา เลยไปขอความช่วยเหลือ ขอร้องให้เขาช่วยทำนั่นทำนี่ และยังสามารถเข้าร่างเขาได้ ความสนุกก็เริ่มขึ้นแล้ว

ในส่วนของความยากของเรื่องนี้คือความดราม่า เพราะเป็นการพูดถึงการสูญเสีย ตัวละครมีการเสียชีวิตโดยยังไม่ถึงเวลาอันควร ผมไม่เคยตาย มีฉากต้องไปบอกลาเมีย ในส่วนของดราม่ามันยาก เพราะเป็นการทำอารมณ์ในเรื่องของการตาย มันไม่เคยเกิดขึ้น เลยเทียบเคียงอารมณ์ไม่ได้ เป็นงานที่ท้าทายผมเหมือนกัน”

เพราะเป็นละครคอมเมดี้ และ เต๋อ ฉันทวิชช์ เล่น งานนี้หลายคนก็คาดหวังในกระแสและเรตติ้งว่าจะต้องดี งานนี้มีความกดดัน หรือกังวลใจบ้างหรือไม่ หนุ่มเต๋อถึงกับหัวเราะและตอบเรื่องนี้ว่า

“ตอนแรกไม่คิด เจอคำถามนี้เริ่มคิดแล้วนะ (หัวเราะ) ผมเป็นคนไม่ค่อยกดดันกับอะไรแบบนี้ เพราะเวลาทำงาน เราก็ทำเต็มที่ ซึ่งตอนนี้หน้าที่ของผมจบแล้ว หน้าที่ต่อไปเป็นของผู้ชมที่จะต้องตัดสินว่าจะสนุกมั้ย ชอบรึเปล่า

ต่อให้คนดูบอกชอบแค่ 10 คน ผมก็ถือว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว แต่ละครเรื่องนี้มันสนุกนะ เป็นเรื่องราวใกล้ตัว ครอบครัว ความรัก ซึ่งมันเทียบเคียงกับชีวิตในปัจจุบันได้ดีมาก”

เพราะอะไรคนถึงจะต้องดูละครเรื่องนี้ งานนี้ เต๋อ ฉันทวิชช์ บอกกับแฟนละคร ละครเรื่องนี้เป็นเรื่องที่นำเสนอการสูญเสีย การเสียชีวิต แต่ในสังคมไม่ค่อยพูดเรื่องนี้เพราะเหมือนเป็นการแช่ง แต่คนควรจะเรียนรู้เรื่องนี้ ควรจะเตรียมตัวรับมืออย่างไร เพราะไม่มีใครรู้ว่าเรื่องนี้มันจะเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวตอนไหน

ละครเรื่องนี้เหมาะมากกับการดูทั้งครอบครัว ภายใต้เสียงหัวเราะจะเจอสิ่งที่สอดแทรกอยู่ในละคร ทั้งเรื่องของการปล่อยวาง การยึดติด ทำให้ได้เรียนรู้ว่าต่อให้ได้มาก็เอาไปด้วยไม่ได้อยู่ดี ถ้าพอใจในสิ่งที่มี มีความสุขในแต่ละวันน่าจะดีกว่า

ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา

กราฟิก : Varanya Phae-araya

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2227021
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2227021