เต๋อ ฉันทวิชช์ ผู้ชายคลั่งรัก กว่าจะเป็นพระเอก วิเคราะห์อนาคต GDH


ให้คะแนน


แชร์

“วัย 38 ปี ผมถือว่าอายุเยอะนะครับในแง่ของการเป็นนักแสดง เป็นวัยที่กลางคนแล้ว แต่ผมมองว่าพอเราเริ่มโต ก็ไม่ได้อยากได้อะไรมาก ชิลๆ ได้ทำงานที่เราอยากทำ”

จากนั้นเต๋อก็เริ่มเล่าถึงช่วงชีวิตวัยเด็กที่ไม่มีเพื่อน ย้ำว่าไม่มีเพื่อนเลย 

“ผมไม่ได้เป็นคนติสต์นะ ผมแค่คิดว่าอยู่คนเดียวแล้วสนุกกว่า อยู่กับคนเยอะๆ ความต้องการมันถูกแชร์ เช่น เราอยากไปทำโน่นทำนี่ แต่เพื่อนไม่อยากไป เราก็ต้องยอมเพื่อน การมีเพื่อนสำหรับผมมันเป็น Condition เยอะ ซึ่งผมสนุกกับการอยู่คนเดียว จนผมเองไม่รู้ว่าเพื่อนไว้ทำอะไร เพราะเด็กๆ ผมไม่ได้มีกิจกรรมกับเพื่อนเยอะ

แต่ผมเริ่มมามีเพื่อนจริงๆ ช่วงมัธยมปลาย เพราะว่าผมเริ่มเล่นบาสเกตบอล ส่วนมากผมมักจะชู้ตคนเดียว แต่พอได้เล่นกับเพื่อน เออ มันสนุกกว่า ก็เลยเริ่มมีเพื่อน ยิ่งพอเข้ามหาวิทยาลัยก็เพื่อนเยอะเลย (หัวเราะ)”

ความฝัน

ผมอยากเป็นหมอ

ความฝันวัยเด็กกับชีวิตจริงแตกต่างกันเสมอ ในกรณีของเต๋อ ฉันทวิชช์ ก็เช่นกัน 

“ตอนเด็กๆ ผมอยากเป็นหมอ เพราะที่บ้านผมทุกคนปลูกฝังว่าเป็นหมอแล้วจะดี แต่เมื่อผมได้มีโอกาสดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ชื่อว่า Braveheart (วีรบุรุษหัวใจมหากาฬ) เมื่อดูภาพยนตร์เรื่องนี้ มันปลุกไฟในตัวผมมาก รู้สึกว่ามันเป็นหนังแอคชั่น แต่เหมือนเขาเอาคำว่าแอคชั่นมาหลอกเรา จริงๆแล้วมันคือหนังดราม่าและสร้าง Inspiration มากๆ

และผมทึ่งยิ่งกว่าตรงที่ พระเอกเรื่องนี้ Mel Gibson เป็นคนกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้เองด้วย ผมเลยเกิดความรู้สึกแบบนี้ ผมอยากสร้างหนัง ผมอยากจะทำแบบนี้ เอามาฉายในโรงภาพยนตร์แล้วทำให้คนรู้สึกแบบนี้ มันมีไฟมากเลย จนทำให้ผมจากที่เรียนสายวิทย์มาตลอด ผมเปลี่ยนเลย ไปเรียนภาพยนตร์แทน ผมเลยไปเอ็นทรานเข้าคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จุดเริ่มต้นมาจากหนังเรื่องนี้เลย”

เมื่อเขาเรียนจบก็ได้รับการชักชวนให้ไปเขียนบทภาพยนตร์ร่วมกับเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน เลยเป็นการเริ่มต้นการทำงานในบทบาทนักเขียนบทของเต๋อตั้งแต่นั้นมา และเริ่มเข้าฉากบ้างเป็นตัวประกอบ ดันมาแววขโมยซีนจนเป็นที่จดจำของแฟนภาพยนตร์บ้าง 

“เรื่องแรกที่ผมไปเป็นตัวเอ็กตร้าแล้วคนจำได้คือเรื่อง สายลับจับบ้านเล็ก ตอนนั้นผมเป็นคนส่งพิซซ่า คนก็เริ่มเห็นว่าผมแสดงได้นะ ผมมาถึงเรื่อง ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น พี่ย้งเขาหาตัวละครที่ชื่อ เหิน ก็หาคนอยู่นานแต่ไม่ได้สักที ในวันที่ผมไปออฟฟิศเอาบทไปซีรอกซ์แล้วไปเจอพี่ย้ง เขาเลยให้ผมไปลองแคสต์ตัวละครนี้ดู ปรากฏว่าได้เล่น เลยเป็นเส้นทางที่เป็นนักแสดงควบคู่กับการเขียนบท นับแต่นั้นมา”

นักเขียนบทสู่นักแสดง

“การเขียนบท เราเครียดกับการคิดสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อให้บทดีที่สุดให้ได้ เราเลยอาจจะผ่อนคลายสมอง ไปหาข้อมูลเพิ่มเติม แต่ในแง่ของนักแสดง กล้องมันถ่ายหน้าเรา แต่เราถ่ายทอดออกมาให้ธรรมชาติที่สุด โดยที่ไม่ต้องพะวงถึงกล้อง ห้ามพะวงถึงทีมงานอีก 20 กว่าคนที่ถ่ายอยู่ มันเป็นความกังวลตรงนี้”

นักแสดงหนุ่มวัย 38 ปีแชร์ประสบการณ์การเป็นนักแสดงครั้งแรกในชีวิต ที่ต้องรับมือกับความกดดันของทีมงานหลายชีวิต 

“แรกๆ ผมมีปัญหากับการแสดงอยู่ ยกตัวอย่างเรื่อง ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น ฉากนั้นผมต้องโบกมืออำลาแฟนผมในเรื่อง แล้วรถไฟจะวิ่งผ่าน ตัวละครในเรื่องก็คาดหวังให้แฟนสาวลงจากรถไฟมา แต่สุดท้ายเขาไม่ลง เป็นเหมือนฉากจบของหนังเรื่องนี้ด้วย

ในการถ่ายทำจริงคือ รถไฟมันวิ่งจริงไม่ได้ ต้องใช้ทีมงานทุกคนยกเว้นผู้กำกับกับตากล้อง ไปลากรถไฟให้ผ่านหน้าผม แล้วพอคัตก็ต้องดึงรถไฟกลับมาที่เดิม ทำซ้ำไปซ้ำมาเป็นสิบรอบ แล้วผมก็ไม่สามารถตัดความรู้สึกที่ว่า

เชี่ย เราเล่นไม่ได้อะ เขาเลยต้องเหนื่อยกันขนาดนั้น แต่ละคนเหงื่อแตก เพราะรถไฟสองโบกี้มันหนัก ต้องลากไปมา ยิ่งพอพะวง กดดัน ก็ยิ่งเล่นไม่ได้ เล่นไม่ได้ก็สบถ หงุดหงิดตัวเอง แล้วสุดท้ายเรายิ่งห่างไกลจากตัวละครตัวนั้นไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว”

มาสเตอร์พีซ 

ลบคำสบประมาท 

เราติดภาพคาแรกเตอร์ เต๋อมาภาพยนตร์เรื่องนั้นต้องตลก ละครเรื่องนี้ต้องเบาสมอง ดูแล้วยิ้มตามทั้งเรื่อง เต๋อเองก็ตระหนักได้ถึงเสียงวิจารณ์นี้ว่ามันเป็นภาพจำเล่นบทเดิมตลอด เขาเลยเลือกภาพยนตร์เรื่อง แฟนเดย์ เป็นมาสเตอร์พีซในดวงใจของเขา เพราะการเล่นหนังเรื่องนี้ เขาต้องเปลี่ยนตัวเองเยอะมาก ทั้งในแง่ของการแสดง แง่รูปลักษณ์ภายนอก และบทก็ไม่ใช่ตลกเบาสมอง แต่มันแฝงอะไรหลายอย่าง หนังเรื่องนี้ก็เลยเป็นสิ่งที่เต๋อบอกว่าภูมิใจกับการได้เล่นมากที่สุด 

GDH ไม่ยอมต่าง?

มีนักวิจารณ์และผู้ชมมากมายกล่าวถึงค่ายหนัง GDH แม้จะประสบความสำเร็จ ทำกำไรได้มหาศาล ด้วยการสร้างคาแรกเตอร์เป็นค่ายหนังอารมณ์ดี แต่สิ่งที่ GDH ขาดคือความกล้าที่จะสร้างหนังแนวที่ไม่ถนัด เต๋อ ฉันทวิชช์ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ GDH จึงตอบตามที่เขามองเห็นว่า 

“ผมว่า GDH พยายามที่จะออกจาก Comfort Zone อยู่เรื่อยๆ เห็นได้จากการดึงผู้กำกับมาหลายๆ คน เช่น คุณเต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ให้เขาสร้างงานในแบบของเขา ตามสไตล์ของเขาเลย ผมรู้แหละว่ามันคือข้อดีที่มาพร้อมกับข้อเสีย การที่ใครบอกว่า GDH เป็นค่ายหนังอารมณ์ดีที่มีรายได้เยอะแยะ เป็นหนังแมสที่มีคนชื่นชอบเยอะ อยู่ภายใต้ข้อเสียที่ว่า หนังไม่มีความหลากหลาย คล้ายๆ เดิม

ดังนั้นเขาพยายามเปิดกว้างให้มีหนังหลายประเภทมากขึ้น เช่น Countdown (2019) ถ้าถามผมนี่ไม่ใช่หนังตลาดนะ ไม่ใช่อารมณ์ดีด้วย ถ้าถามผม GDH ก็พยายามดึงหนังเหล่านี้ สร้างหนังในแบบที่ต่างออกไป”

นิยามรัก
รัก = ความสุข

“สุดท้ายความรักก็คือ ความสุข ไม่ว่าช่วงไหนของชีวิต เวลาเรามีความรักแล้วเรามีความสุข นั่นคือการประสบความสำเร็จมาก เราสามารถทำกิจกรรมเดิมๆ ทำงานเหมือนเดิม กินข้าวเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มมาคือ ความสุข หมายถึงว่า เรากินข้าวคนเดียวก็กินได้ แต่ถ้าได้กินกับคนที่เข้าใจกัน ได้แชร์กัน อยู่ข้างๆ กัน มันคือความสุข”

หลังจากนี้เราขอให้คุณเก็บหมอนให้ห่างจากตัว หลังจากนี้อาจจะจิกกันขาดด้วยความฟิน ผู้ชายนามว่า เต๋อ ฉันทวิชช์ จะแสดงอีกมุมของเขาให้เห็น มุมผู้ชายคลั่งรัก รักที่มอบให้กับนักแสดงสาว ‘ใหม่ ดาวิกา’ ที่เราเห็นว่าหวานกันออกไอจีก็ว่าหนักแล้ว พอเต๋อปริปากเล่าถึง ‘เจ้าลิง’ ของเขา เราการันตีว่าหนักกว่าเยอะ ตัวอย่างคำถามแรก “เห็น ใหม่ ดาวิกา ในภาพอนาคตของเต๋อไปตลอดไปไหม” เขาไม่ยิ้มเขิน ไม่คิดก่อนตอบ พูดทันทีแบบสบายๆ เลยว่า

“โอ๊ะ เห็นตลอดอยู่แล้วครับ ต่อให้ผมทำอะไรก็จะมีเขาอยู่เรื่อยๆ อยู่แล้วครับ”

Thairath Talk : เวลาคุณหลับตา แล้วนึกถึง ใหม่ ดาวิกา คุณนึกถึงภาพอะไรอยู่ในหัว

(อึ้ง) มันมืดมากเลยครับ เวลาผมหลับตา ลองจินตนาการ ก็คงเห็นเขาอยู่กับทุ่งดอกไม้ เพราะเขาชอบดอกไม้มาก ทุกครั้งที่ผมเห็นดอกไม้ มันเหมือน ความสุขมันระเบิดออกจากตัวเขาเลย เขาชอบดอกไม้มากๆ

Thairath Talk : แล้วเห็นภาพเราอยู่กับเขาในทุ่งดอกไม้ไหม

(พยักหน้า) เราถ่ายรูปให้เขาอยู่

****ติดตามเรื่องราวความหวานของลิงและลุงในสัปดาห์หน้า 

ชมคลิปฉบับเต็มได้ที่นี่

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/2226491
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/2226491