นภ พรชำนิ มีวันนี้เพราะโมเดิร์นด็อก เผยฝันอยากทำเพลงเยียวยาคนทั่วโลก


ให้คะแนน


แชร์

เอ่ยชื่อ นภ พรชำนิ เชื่อว่าหลายคนมีภาพจำเกี่ยวกับหนุ่มคนนี้ในหลายมุม ทั้งในมุมความเป็นนักร้องเสียงนุ่มในนามวง P.O.P (พีโอพี) นักแต่งเพลงฝีมือดี เป็นหนึ่งในทีมของค่ายเพลงเบเกอรี่ มิวสิค คร่ำหวอดในวงการเพลงมานานเกือบ 30 ปี รวมไปถึงมุมหนุ่มหล่อลุคอบอุ่นโรแมนติก จริงจังกับชีวิต เป็นหนุ่มในฝันของสาวๆ หลายคน แม้วัยจะล่วงเลยมาเกือบ 50 ปีแล้วก็ตาม

บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ พาไปพูดคุยกับหนุ่มหล่อลุคอบอุ่น ย้อนวันวานที่เข้าสู่วงการเพลง เพราะติดตามวงโมเดิร์นด็อกมาที่ห้องอัดเสียงค่ายเบเกอรี่ มิวสิค จนได้รับโอกาสทั้งการแต่งเพลง ร้องเพลง มาตลอดเกือบ 30 ปี ตลอดจนภาพความเป็นหนุ่มหล่ออบอุ่นโรแมนติกที่หลายๆ คนมองมาตลอด รวมไปถึงคอนเสิร์ตออนไลน์ครั้งแรกในชีวิต “The Nightclub Concert Ep.2 นภ พรชำนิ By Request” และอีกหนึ่งความฝัน คือการทำเพลงเพื่อเยียวยาจิตใจให้คนทั่วโลกอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

ได้ทำเพลงเพราะโมเดิร์นด็อก

เริ่มต้นการสนทนา นภย้อนวันวานเมื่อครั้งยังไม่ได้เข้าสู่วงการเพลงไว้ว่า “ช่วงเด็กๆ ชอบฟังเพลงมากตั้งแต่จำความได้ เพราะที่บ้านมีแผ่นเสียง เครื่องเสียงเยอะ จะได้ฟังเพลงบิ๊กแบนด์ต่างๆ เพลงออร์เคสตรา เพลงละติน ฟังแล้วเออ แปลกดีแฮะ เสียงเพราะดี แสดงว่าหูเราทำงานดีกว่าคนอื่น เวลาไปเรียนโรงเรียน วิชาดนตรีจะทำได้ดีมากๆ รู้สึกว่าง่ายไปหมดเลย แต่เราเรียนสายวิทย์ไง เลยไม่รู้ว่าเรามีความถนัดทางด้านดนตรีแทรกอยู่ในตัวตลอดครับ เลยไม่มีโอกาสทำดนตรีจริงจัง แต่ชอบฟังเพลงมากๆ ได้ยินเสียงนักร้องคนไหนร้องเพี้ยนก็เอ๊ะ ทำไมร้องเพี้ยนล่ะ (หัวเราะ)

ฉะนั้นตอนผมเป็นศิลปิน ผมจะให้เกียรติผู้ฟังมากๆ เพราะผู้ฟังได้ยินหมด เราดูถูกคนฟังไม่ได้ว่าเขาฟังไม่เป็นหรอก ไม่จริงครับ ผมอายุ 6 ขวบ ผมยังฟังออกเลยว่าใครเล่นยังไง เราต้องเคารพผู้ฟัง นั่นเป็นสาเหตุที่ผมรู้สึกว่าการทำดนตรีมันท้าทายว่าเราจะร้องเพลง จะทำเพลงยังไงให้คนฟังได้รับประโยชน์จากเพลงของพวกเรา นั่นคือที่มาของการเดินทางสายดนตรีของผมในช่วงที่เรียนจบแล้ว แต่ผมจบวิศวะฯ มา ไม่ได้จบด้านดนตรีครับ”

เมื่อถามว่า ทำไมถึงเลือกเรียนวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล แทนที่จะเลือกเรียนดนตรี นักร้องหนุ่มบอกว่า “เพราะมีตัวอย่างให้เห็นน้อย สมัยก่อนคนประกอบอาชีพนักดนตรีน้อยมาก อาชีพนี้เพิ่งมาแพร่หลายในช่วงหลังมีเบเกอรี่ มิวสิค นี่เอง ผมยกเครดิตให้พวกพี่ๆ 3 ขุนพล ทั้งพี่สุกี้ (กมล สุโกศล แคลปป์) พี่บอย โกสิยพงษ์, พี่สมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ และวงโมเดิร์นด็อก ที่จุดประกายว่าเรียนดนตรีได้ ประกอบอาชีพได้จริงๆ เด็กรุ่นใหม่เห็นการเล่นดนตรี โปรดิวเซอร์ผลิตเพลง เป็นอาชีพสุจริต สามารถเลี้ยงตัวเองได้

ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เลย ต้องไปร้องเพลงไนต์คลับ ร้องเพลงเปิดหมวก ถามว่าจริงๆ พ่อแม่ไม่ได้สนับสนุนการทำเพลงใช่มั้ย อันนี้แน่นอนเลยครับ พูดง่ายๆ ว่าสังคมไทยไม่ได้เปิดรับคนที่ประกอบอาชีพเต้นกินรำกินเลย จะถูกเพิกเฉย แล้วบอกว่า อย่าทำอะไรแบบนี้เลย เพราะงานเหล่านี้เป็นงานคนกลางคืน แต่ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย เป็นช่วงที่เราเปิดโลกว่าจริงๆ เราชอบกิจกรรมด้านดนตรี ผมจัดคอนเสิร์ตให้คณะวิศวะฯ เชิญเพื่อนๆ มาเล่นคอนเสิร์ตกันที่คณะ

ผมได้เจอเพื่อนๆ ต่างคณะ ต่างมหาวิทยาลัย เช่น ป๊อด โมเดิร์นด็อก ซึ่งจริงๆ เป็นเพื่อนเก่าตั้งแต่สมัยเซนต์คาเบรียล เจอนักดนตรีมากมาย เป็นเวทีที่เชิญนักดนตรีเก่งๆ มาเล่นที่มหิดลครับ รู้สึกว่าวงโมเดิร์นด็อกได้แชมป์ประเทศไทย คือ โค้ก มิวสิค อวอร์ดส โมเดิร์นด็อกเลยได้ทำงานในห้องอัด ผมก็ได้มีโอกาสติดตามป๊อดเข้าไปห้องอัดที่เบเกอรี่ มิวสิค เป็นครั้งแรกในช่วงที่เราเรียนจบพอดี นั่นคือสาเหตุที่ผมเริ่มต้นแต่งเพลง เขียนเพลงให้พี่ๆ ที่เบเกอรี่ มิวสิค เป็นงานอดิเรกครับ”

กับคำถามว่า เพราะป๊อด โมเดิร์นด็อก เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เข้าสู่วงการเพลงหรือเปล่า นภตอบว่า “ป๊อดและโมเดิร์นด็อกเป็นเหมือนแม่เหล็กและแรงขับเคลื่อนให้คนที่มีใจรักในดนตรี โมเดิร์นด็อกเป็นเหมือนความหวังของพวกเรา โมเดิร์นด็อกสำเร็จยังไง เราก็สำเร็จไปด้วย คือเราอาจไม่ต้องทำเอง แต่ป๊อดเหมือนลุยให้เราหมดแล้ว รู้สึกดีใจไปกับเขามากๆ แต่การที่เราได้อยู่ใกล้ๆ โมเดิร์นด็อก ก็เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้ร้องเพลงให้พี่บอย โกสิยพงษ์ พี่สมเกียรติ เพราะพี่ๆ เห็นว่าเป็นเพื่อนป๊อด ป๊อดเลือกให้แล้วว่ามีความสามารถ ลองไปใช้ดู และผมได้รับคัดเลือกให้อยู่ทีมเบเกอรี่ มิวสิค ตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะโมเดิร์นด็อกนี่แหละครับ”

การรวมตัว P.O.P

นภพูดถึงช่วงที่เรียนต่อด้าน Business Administration ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ สหรัฐอเมริกา ก็ยังคงทำเพลงเป็นงานอดิเรก ช่วงที่อยู่ที่นั่นได้เห็นว่าตัวเองเหมือนเป็นเต่าตัวเล็กๆ รู้เรื่องการทำเพลงน้อยมาก ถ้าจะทำจริงจังจะต้องทำกับคนที่เก่งกว่าเรา และตอนนั้นกลับมาเมืองไทยในช่วงปี 2540 ซึ่งมีวิกฤติต้มยำกุ้งพอดี จึงได้เจอโต้ง (มณเฑียร แก้วกำเนิด) และก้อ (ณฐพล ศรีจอมขวัญ) ซึ่งจบ College of Music ที่เบิร์กลีย์ บอสตัน ก็รู้สึกว่าเข้าแก๊ป ถ้าได้ร่วมงานกับ 2 คนนี้ เราน่าจะเรียนรู้ หรือใส่สิ่งที่เรารู้ในสิ่งที่เขารู้ น่าจะเป็นเพลงที่ดีได้ จึงได้ชวนโต้งกับก้อมารวมตัวทำวง P.O.P ในตอนนั้น

“ตอนนั้นผมทำเพลงไม่เป็นครับ ก็ต้องให้โต้งกับก้อเป็นคนทำเพลงให้ ผมก็แต่งเพลงร่วมกัน แต่ในเรื่องการเรียบเรียงเพลงทำไม่เป็นเลย เพราะเราไม่ได้จบมาทางนี้ แต่ทั้งโต้งทั้งก้อเรียนจบมาทางนี้โดยเฉพาะ เขาสามารถทำได้อย่างสวยงาม แต่ผมก็เรียนรู้จากการทำงานของ P.O.P เป็นจุดเริ่มต้นแบบมืออาชีพเป็นครั้งแรกในปี 1998 (พ.ศ.2541) ซึ่งที่บ้านเองก็มีคำถามว่าจะไหวมั้ย ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไง รู้แต่ว่าเราพยายามทำทีละสเตปให้ดีที่สุด ให้ตัวผลงานเป็นตัวบอกเอง ถ้ามีคนชอบหรือสนับสนุนก็แสดงว่าเราอยู่ได้ แต่อาจจะไม่ได้ทำให้เราร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี ซึ่งไม่ใช่ทางของผมอยู่แล้ว

แต่ทั้ง 3 คนมองเห็นเหมือนกันว่า P.O.P จะเปิดเส้นทางให้เราได้เป็นคนดนตรีมืออาชีพได้รึเปล่า ซึ่งจากตรงนั้นมาถึงวันนี้ก็เห็นแล้วว่าคุณโต้งและคุณก้อก็เป็นระดับปรมาจารย์ทั้งคู่ นั่นคือจุดเริ่มต้นของ P.O.P เหมือนกัน แต่ผมอาจหลุดไปทำอย่างอื่นเยอะหน่อย ไม่ได้เป็นโปรดิวเซอร์เยอะเหมือนก้อและโต้ง เรามีความถนัดด้านอื่นด้วย (หัวเราะ) ก็เลยไปทำเชิงฟรอนต์แมนมากกว่าคนอื่น ไม่ได้อยู่เบื้องหลังเท่าเขาครับ”

นภบอกว่า หลังจากทำอัลบั้มชุดแรก ฟีดแบ็กอยู่ในระดับที่รับได้ ไม่ขี้เหร่ ไม่ได้ขายได้ถึงล้านตลับ แต่สามารถประกอบอาชีพเป็นนักดนตรี หรือโปรดิวเซอร์มืออาชีพ แล้วมีโอกาสโปรดิวซ์งานให้ศิลปินท่านอื่น เพราะ P.O.P เป็นงานโปรดิวเซอร์ เป็นงานที่ตั้งใจทำเป็นสตูดิโออัลบั้ม แค่อยากทำเพลงออกไปให้คนมีความสุขเหมือนพี่บอย โกสิยพงษ์ หรือพี่สมเกียรติ

“ผมไม่ได้กะจะร้องเองทุกเพลงด้วยซ้ำ อยากทำเพลงให้คนอื่นร้อง คล้ายๆ กับของพี่บอยที่เชิญคนนั้นคนนี้มาร้อง ผมไม่เคยคิดว่าจะร้องเองคนเดียว ผมอยากทำงานเพลงให้คนอื่นร้องมากกว่า (หัวเราะ) ทุกวันนี้ผมก็ยังรู้สึกอย่างนั้น ถ้าเป็น P.O.P ไม่จำเป็นต้องเป็นผมร้องแล้ว แต่ปรากฏมันกลายเป็นซิกเนเจอร์ว่าถ้าไม่ใช่นภร้องก็ไม่ใช่ P.O.P แต่ไม่ใช่เลยครับ นภ พรชำนิ เป็นคนร้องเท่านั้นเอง แต่งาน P.O.P ชุดต่อไป อีกไม่นานจะ 25 ปีแล้ว ผมเชื่อว่าจะมีเพลง P.O.P ที่ไม่ใช่ผมร้องทั้งอัลบั้มแน่ๆ เร็วๆ นี้ แต่เป็นคนอื่นร้องแทน เราโปรดิวซ์อยู่ข้างหลัง ผมอาจจะร้องบ้าง แต่ไม่ทั้งหมดครับ”

เมื่อถามถึงช่วงหนึ่งที่ P.O.P เคยแยกย้ายกันไปในปี 2547 ก่อนจะกลับมารวมตัวอีกครั้งในปี 2555 นภเผยถึงเหตุผลที่เคยแยกย้ายในช่วงนั้นว่า “อย่างที่บอกว่า P.O.P เป็นโปรดิวเซอร์กรุ๊ป เรารวมกันเฉพาะกิจจริงๆ พอรวมกันแล้วก้อทำกรู๊ฟไรเดอร์ส (Groove Riders) ค้างอยู่ เลยปล่อยให้ก้อไปทำกรู๊ฟไรเดอร์ส ผมก็มาทำเดี่ยวดู โต้งก็ไปทำเดี่ยวของโต้ง มันเลยได้เห็นว่าพอแต่ละคนทำโปรเจกต์ของตัวเอง อย่างก้อทำกรู๊ฟไรเดอร์สก็ประสบความสำเร็จมากๆ ผมว่ากรู๊ฟไรเดอร์สเป็นวง Top 5 สุดยอดตลอดกาลของบ้านเราในยุคหลัง 90 มา ผมก็ดีใจที่ก้อเป็นหนึ่งใน P.O.P ด้วย กรู๊ฟไรเดอร์สมีโชว์เป็นพันๆ ครั้ง เทียบกับ P.O.P นี่น่าจะไม่เกิน 200 โชว์ น้อยมาก ปีละ 10 โชว์ก็เก่งแล้ว”

สมาชิกที่เพิ่มขึ้น

ส่วนสาเหตุที่ P.O.P กลับมารวมตัวอีกครั้ง และมีสมาชิกใหม่เพิ่มมาด้วย หนุ่มคนนี้บอกว่า “P.O.P เวลาเราเจอกันทีจะต้องมีโอกาส หรือมีเรื่องราวที่ทำให้เรารวมตัวเฉพาะกิจเสมอ เรารู้แล้วว่าถึงเวลา ปี 2012 เรามารวมตัวอีกรอบ เพราะลูกสาวคนแรกของโต้งคือน้องนพินกำลังจะเกิด ซึ่งตอนนี้อายุจะ 10 ขวบแล้ว เราเลยรวมตัวกันเพื่อหารายได้บางอย่างเพื่อซัพพอร์ตให้โต้งได้เลี้ยงน้องนพินด้วย

เราก็เลยรวมตัวกันเพื่อที่จะทำงานและมีเงินทุนในการส่งลูกของเพื่อนเราเรียนได้ครับ ตอนนั้นผมใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา ผมก็บินกลับมาทำโปรเจกต์ P.O.P ด้วยความรัก พูดจริงๆ อาจจะไม่คุ้มค่าเครื่องบิน (หัวเราะ) แต่คุ้มที่เราได้มาทำงานด้วยกัน สนุกดี ก็ได้สร้างผลงานที่มีพี่สมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ กับคุณเจอรี่ ศศิศ มิลินทวนิช มาร่วมเป็น P.O.P Five จากเดิมที่มี 3 เพิ่มเป็น 5 ทุกวันนี้ก็ยังเป็นฟอร์แมตเดิมอยู่คือมี 5 คนครับ”

ส่วนสาเหตุที่เพิ่มสมาชิก P.O.P นภเผยว่า “ถ้าเกิดกลับมารวมตัวกัน 3 คน ผมรู้สึกว่ามันซ้ำ ไม่มีอะไรใหม่ ไม่ท้าทายพวกเราเองด้วย ผมเลยรู้สึกว่าการกลับมาน่าจะมีอะไรที่ใหม่กว่าเดิม เลยปรึกษาพี่สมเกียรติว่ายินดีที่จะมาร่วมกับ P.O.P มั้ย เพราะพี่สมเกียรติเป็นคนเก็บตัวมากๆ ไม่ค่อยอยากร่วมงานกับใครเท่าไรถ้าไม่สนิทกันจริงๆ แต่พี่สมเกียรติก็ยินดีมากๆ บอกว่าน่าสนุก เพราะว่าในพาร์ต P.O.P ถ้าดูดีๆ จะมีแค่ผมเป็นนักร้อง คุณก้อเล่นเบส โต้งเล่นกีตาร์ ไม่มีสมาชิกอื่น

พี่สมเกียรติเปรียบเสมือนเป็นกรู๊ฟหลักของเรา สามารถทำตามโปรแกรมมิ่งได้ ทุกเพลงในอดีตของ P.O.P พี่สมเกียรติช่วยทำกลองหลายเพลงมากครับ ครั้งนี้ก็เลยเชิญมาร่วมแบบจริงจัง พี่สมเกียรติจะเป็นคนวางเชปของเพลงว่าน่าจะเล่นบีทสักเท่าไรดี เดิมเราไม่มีคนทำหน้าที่นี้ แต่ในเมื่อเราได้สุดยอดโปรดิวเซอร์อย่าง Mr.Z มาร่วมใน P.O.P มันทำให้ P.O.P แข็งแรงในคอนเซปต์ชั่นแบนด์มากขึ้น สามารถมองได้รอบทิศกว่าเดิม พี่สมเกียรติเป็นเหมือนผู้กำกับที่คอยบอกว่าน่าจะเล่าเรื่องนี้สิ เพลงแบบนี้น่าจะใช้บีทแบบนี้ ทำให้การทำงานของเราแข็งแรงขึ้น

ส่วนเจอรี่จริงๆ เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เรียนอยู่ที่บอสตันพร้อมกันกับโต้งและก้อ มาช่วย P.O.P ทำงานตั้งแต่ชุดแรก แต่ตอนนั้นเขายังอยู่มิวสิค บั๊กส์ ครั้งนี้ผมก็เลยชวนเจอรี่ด้วยตัวเอง มันจะต้องสนุกแน่ๆ ถ้ามีกีตาร์ 2 คน เวลาโซโล่จะได้โซโล่สลับกันได้ ทำให้โชว์ของเรามีมิติมากขึ้น เจอรี่ก็บอกว่าจะดีเหรอ เพราะทุกคนเกร็งๆ ในความเป็น P.O.P ผมมองว่า P.O.P ไม่มีฟอร์มอะไรทั้งสิ้น เราคือกลุ่มนักดนตรีโปรดิวเซอร์ที่จะสร้างผลงานเพลงให้คนฟังเท่านั้นเอง”

เมื่อถามว่า จะมีผลงานในนามของ P.O.P อีกเมื่อไหร่ นภบอกว่า “ปีนี้ P.O.P หลบให้ 2 Days Ago Kids ก่อนครับ เราต้องปล่อยให้คุณก้อกับคุณเจอรี่ไปทำ (หัวเราะ) เห็นมั้ยว่าศิลปินมันวนเวียนอยู่ตรงนี้ครับ แต่เวลาทำงานมีโจทย์ต่างๆ ทุกคนก็จะเปลี่ยนแนวทางในการทำงานไปเอง มันสนุกมากเลย ซึ่ง P.O.P นัดกันแล้วว่าครบรอบ 25 ปี ในปี 2023 ได้ฟังแน่นอน ปีหน้าเราคงเริ่มทำกันปลายปี ปี 2023 คงได้ฟังแน่ๆ ว่า P.O.P 25th Anniversary ไม่ใช่ผมร้องคนเดียวแน่ๆ รับรองว่าสุดยอดแน่ เตรียมตัวรอได้เลย ผมเองก็ตื่นเต้นครับ”

ภาพจำที่ติดตัว

เมื่อถามถึงภาพที่หลายคนจดจำเกี่ยวกับ นภ พรชำนิ ว่าอยู่คู่กับค่ายเบเกอรี่ มิวสิค รวมถึงบอย โกสิยพงษ์ นภบอกว่า “มันเป็นครอบครัวไปแล้วครับ เราสนิทกัน ทำงานกันหนักมาก เราไม่ได้ไปที่ไหนกันเลย โฟกัสเรื่องงานอย่างเดียว แต่เรื่องงานเป็นเรื่องที่เราเขียน เราใช้ชีวิต เรามีความผูกพัน เอาเรื่องความสัมพันธ์เหล่านั้นมาทำเป็นงาน เพราะฉะนั้นก็กลายเป็นชีวิตของเราไปเลย 

เราสามารถพูดได้เต็มปากว่านี่คือครอบครัวเบเกอรี่ มิวสิค มันเป็นสายใย ไม่ได้เชื่อมโยงด้วยรายได้ มันเป็นพี่เป็นน้อง เป็นความสัมพันธ์ที่เราสร้างด้วยความเชื่อใจกัน ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ ถ้าพี่สุกี้โทรเรียกเมื่อไหร่ก็รวมตัวได้ทันที ไม่ได้คุยว่าค่าตัวเท่าไร คุยแต่ว่าจะทำอะไรกันเพื่อให้เป็นประโยชน์กับคนฟัง ประโยชน์ต่อครอบครัวเราด้วย ทุกคนก็จะมีความสุขครับ”

อีกหนึ่งภาพจำก็คือ ความเป็นหนุ่มฮอตในอดีต มีสาวๆ กรี๊ดมากมาย เพราะความเป็นหนุ่มหล่อลุคอบอุ่น เมื่อถามว่ารู้สึกยังไง นักร้องดังตอบว่า “จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเดิมเลยครับ ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนเดิม อาจจะมีคนชื่นชม รู้จักมากขึ้น เราอาจจะร้องเพลงด้วยความจริงใจครับ เราไม่ได้โกหกแฟนเพลง ตรงไปตรงมา ผมก็คิดว่าน่าจะทำให้ผู้หญิงเชื่อใจเราในแง่ว่าเขาอาจรู้สึกว่าเราไว้ใจได้ ไม่มีพิษมีภัยเท่าไร เป็นพี่ชายที่ดี เป็นเพื่อนที่จริงใจด้วยครับ ทุกวันนี้ก็พยายามทำให้แฟนเพลงผ่อนคลายสบายใจเมื่อได้เจอเรา”

พอแซวว่าตอนที่ประกาศแต่งงานกับแฟนสาว เพลิน ประทุมมาศ สาวๆ อกหักเพียบ นักร้องนักแต่งเพลงหนุ่มหัวเราะเขินก่อนจะพูดว่า “ผมไม่เคยทราบเรื่องพวกนี้เลยครับ เราไม่เคยสนใจเรื่องใครมาชอบเรา ไม่เคยรู้เลยว่ามีคนชอบเรารึเปล่า ผมคิดแต่เรื่องเพลงอย่างเดียวเลยว่าอยากให้คนฟังเพลงเราเยอะๆ ฟังแนวความคิดของเราผ่านงานเพลง จะเห็นว่าผมแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงานชัดเจนครับ”

ส่วนเคล็ดลับการใช้ชีวิตคู่ที่ทำให้ความรักยังหวาน แม้จะผ่านมานานนับสิบปีแล้ว นภเผยว่า “ทั้งสองฝ่ายต้องคิดเหมือนกัน เราก็เป็นตัวเราเองมากที่สุด อีกคนนึงก็เป็นตัวเองมากที่สุด เวลาเจอจุดที่กระทบกระทั่งกันก็ต้องเคลียร์กัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เอาใจเขามาใส่ใจเราตลอดเวลา เรื่องปัญหาที่กระทบกระทั่งกัน เราจะไม่ปล่อยให้มันยืดตึงจนเกือบขาดแล้วค่อยคุยกัน อย่าปล่อยให้ความรู้สึกถูกละเลย คนที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุดคือคนที่รักเราที่สุด เราก็ต้องดูแลเขาให้ดีครับ รักษาเขาไว้ รับรองว่าจะมีแต่ความสุขเท่าทวีคูณถ้าคุณรู้ว่าเขารักคุณแค่ไหนครับ”

กับคำถามว่า หลายคนจำภาพนภเป็นหนุ่มโรแมนติกจากเพลงที่ร้อง ตัวจริงโรแมนติกรึเปล่า นักร้องหนุ่มตอบว่า “พี่ว่าความโรแมนติกที่พี่มีคือความจริงใจ รู้สึกยังไงเราแสดงออกมา อาจไม่ได้หวานชื่น มีดอกไม้ ผมไม่ได้เป็นคนโรแมนติกแบบนั้น แต่ผมจริงใจ จริงจัง เอาใจใส่ ความรู้สึกเป็นเรื่องสำคัญมาก พอมันเสียไปแล้วเอาคืนมาไม่ได้ สำหรับคนที่เรารักเราแคร์สำคัญมากๆ แต่สำหรับคนที่เราไม่ต้องแคร์ด้วย เราอย่าไปเสียเวลา เอาเวลาทั้งหมดมอบให้คนที่เรารัก จะเห็นว่าผมใช้เวลา 90% กับคนที่ผมรัก คนที่ทำงานด้วยก็รักเขาครับ ก็จะไม่เห็นผมตามงาน หรือรายการเท่าไร เพราะไม่ใช่เส้นทางชีวิตผมไง ผมจะอยู่กับที่เดิมๆ ที่ผมชอบไป เราจะสร้างสัมพันธ์กับคนที่หวังดีกับเราครับ”

คอนเสิร์ตออนไลน์

นภเล่าถึงที่มาที่ไปของการจัดคอนเสิร์ต “The Nightclub Concert Ep.2 นภ พรชำนิ By Request” คอนเสิร์ตออนไลน์ครั้งแรกในชีวิตการเป็นศิลปินไว้ว่า “ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เราไม่สามารถแสดงคอนเสิร์ตได้เลย แต่คอนเสิร์ตครั้งนี้เป็นการคิดที่แยบยลมากๆ ทางทีม World Artists Thailand โทรมาถามผมว่า คุณนภอยากเล่นคอนเสิร์ตมั้ยช่วงนี้ ผมก็บอกว่า อยากเล่นมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้เล่น ทางทีมก็นำเสนอไอเดียว่าครั้งนี้จะเป็นการแสดงที่ถ่ายทอดสดถึงคนทางบ้าน ใช้เทคโนโลยีรุ่นใหม่ พูดง่ายๆ คือจัดคอนเสิร์ตเหมือนจริง ไม่ได้เล่นแค่กล้องเดียวนะครับ เหมือนเล่นคอนเสิร์ตบนเวทีใหญ่เลย

เท่าที่ได้ฟังก็ชอบ เพราะสังเกตได้เลยว่าที่ผ่านมา 2 ปี ผมไม่ไลฟ์เลย ผมรู้สึกว่าเพลงมันต้องครบถ้วนถึงจะร้องเพลงให้คนฟังได้ครับ คือคนฟังต้องตั้งใจฟัง ผมอยากให้คนซีเรียสนั่งฟังจริงๆ เพลงที่เราร้องอาศัยประสบการณ์การถ่ายทอด รวมถึงนักดนตรีที่อยู่ข้างหลังผม เรากลั่นมาจากหัวใจ คอนเสิร์ตนี้ก็มาบรรจบกับไอเดียที่ผมอยากจะร้องเพลงแบบซีเรียสให้คนฟังจริงๆ ครับ ผมรู้สึกว่ามันเป็นมิติใหม่ในการเชื่อมโยงคนฟังที่ไม่มีโอกาสออกจากบ้านมาสักเท่าไร โดยเฉพาะแฟนเพลงรุ่นใหญ่ ผมสามารถส่งความรักความสุขถึงแฟนเพลงของผมที่อยู่หลายๆ ประเทศพร้อมกันได้ ครั้งนี้เราไปเคาะประตูถึงบ้านเลย นั่นคือความพิเศษครับ”

ในคอนเสิร์ตครั้งนี้ นภบอกว่า ทางบ้านสามารถขอเพลงแบบเรียลไทม์ได้เลย แต่จะทำลิสต์เอาไว้ด้วย เพราะต้องซ้อมเพลง ปกติมีประมาณ 12 เพลง แต่คอนเสิร์ตครั้งนี้อาจต้องซ้อมถึง 30 เพลง เพราะว่าวันคอนเสิร์ตไม่รู้จะต้องเล่นเพลงไหน และคงไม่ได้เล่นทุกเพลง จะเล่นเฉพาะเพลงที่ถูกเลือกเท่านั้น ซึ่งในแต่ละเพลงที่เลือกมา จะมีเพลงที่เป็นยุคก่อนเบเกอรี่ มิวสิค เพลงในช่วงเบเกอรี่ มิวสิค หรือเป็นเพลงที่มีโอกาสร้องในอดีต และมีเพลงอีกจำพวกนึงของเบเกอรี่ มิวสิค ที่ไม่เคยได้ร้องเลย

เพลงเหล่านี้จะให้ผู้ชมทางบ้านช่วยเลือก ซึ่งไม่ใช่การแสดงคอนเสิร์ตทางเดียว แต่ครั้งนี้เรามาเลือกเพลงด้วยกัน ซึ่งเพลงที่เตรียมไว้เป็นเพลงฮิตที่คนร้องตามกันได้แน่นอน และเมื่อผ่านการเรียบเรียงด้วยวง The Groove to Matix-11 ซึ่งมีสมาชิก 11 คน ที่มีความเป็นฮาล์ฟบิ๊กแบนด์ จะต้องมีความพิเศษอย่างยิ่งที่จะได้ร้องเพลงเหล่านั้นร่วมกัน เก็บบรรยากาศไนต์คลับโรแมนติกเคล้าเสียงเพลง ประกอบกับแสงสีเสียงที่จัดเต็ม มีซีนคอนเสิร์ตแบบปกติทุกอย่าง เพียงแต่ถูกถ่ายทอดส่งต่อไปยังคนทั่วโลกที่ไม่ได้มาชมคอนเสิร์ตด้วยกัน

ส่วนการเลือกแขกรับเชิญพิเศษเป็น ใบเตย อาร์สยาม ศิลปินลูกทุ่งชื่อดัง เรียกว่าเซอร์ไพรส์ไม่น้อย เพราะใบเตยเป็นศิลปินรุ่นใหม่ แนวเพลงคนละแบบคนละยุค เมื่อถามถึงเหตุผลที่เลือกใบเตย เขาบอกว่า “ซีรีส์คอนเสิร์ตครั้งนี้พี่นภจะเป็นศิลปินหลักที่อายุน้อยที่สุดครับ คือถ้าเทียบกับพี่ๆ เดอะพาเลซ พี่ตู่ นันทิดา พี่ๆ สาวสาวสาว ผมนี่เด็กสุดครับ แต่ก็ถือว่ายังเชื่อมโยงกับน้องๆ คนฟังเพลงรุ่นใหม่ได้พอสมควร เพราะฉะนั้นศิลปินรับเชิญเนี่ยก็อยากได้น้องที่เป็นรุ่นเด็กๆ หน่อย แต่ก็มีความเป็นผู้ใหญ่ด้วย มีความเผ็ดเซ็กซี่ซ่อนอยู่ในตัว นั่นก็คือน้องใบเตย อาร์สยาม

ทุกคนก็จะได้ฟังเพลงที่น้องใบเตยมาร่วมร้องกับผมในอีกมุมมองนึงแน่นอน จะต้องมีความไนต์คลับนุ่มละมุน ได้ฟังเสียงของน้องในอีกรูปแบบนึงที่พิเศษสุดๆ รับรองว่าจะต้องชอบ Song List ที่พวกเราเตรียมไว้แน่นอนครับ ถามว่ารู้จักกับใบเตยมาก่อนมั้ย เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมงานกับใบเตยนะครับ วันที่เราได้ถ่ายโปสเตอร์และทำสื่อ เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับน้องตัวจริง ทำให้รู้ว่าน้องมีความสามารถอีกหลายบทบาทมาก มีความเป็นมืออาชีพจริงๆ ไม่ต้องคุมอะไรเลย ครั้งนี้ก็เป็นอีกเส้นทางนึงที่ท้าทายใบเตยเหมือนกัน รับรองว่าเพลงที่ร้องจะต้องจับใจแฟนเพลงน้องใบเตยกับผมแน่นอนครับ”

มุมมองจากนักแต่งเพลง

นอกจากการร้องเพลง อีกหนึ่งความสามารถของ นภ พรชำนิ คือการเป็นนักแต่งเพลงฝีมือดีของวงการเพลงไทย เมื่อถามถึงวิธีการแต่งเพลงว่านำประสบการณ์มาจากตรงไหน กว่าจะเป็นแต่ละเพลงยากง่ายแค่ไหน นภตอบว่า “คำถามนี้ดีมาก เป็นคำถามที่ตอบได้ 2 ขยัก ขยักแรกในฐานะผู้แต่งเพลง มันมีก้อนแรกนั่นคือเพลงใหม่ที่เรารวบรวมประสบการณ์เราเอง เพื่อนสนิท หรือคนรู้จักมาเขียน แล้วสร้างเป็นเพลงใหม่ขึ้นมา ตรงนี้ผมว่าน่าจะ 90% ที่เป็นประสบการณ์ส่วนตัว หรือคนใกล้ชิดจริงๆ จะไม่สามารถมโน หรือจินตนาการเรื่องคนอื่นฟรีสไตล์เท่าไรนัก

แต่ถ้าอีกขยักนึงนั่นคือการเล่าเรื่อง มันก็เหมือนการแต่งเพลงเหมือนกัน พูดง่ายๆ เราหยิบเพลงเพลงนึงขึ้นมา แล้วผมร้องเพลงที่ถูกเขียนมาแล้ว ผมร้องใหม่ ผมจะต้องเล่าเรื่องใหม่ เล่าให้ต่างจากที่เคยได้ยินมา ผมจะต้องเอาประสบการณ์ของผมใส่เข้าไปและตีความเพลงนั้นใหม่ในมุมมองของผมเสมอ เพราะฉะนั้นผมจะไม่ชอบร้องคาราโอเกะ เพราะการร้องคาราโอเกะมันเหมือนการร้องตามต้นฉบับ ผมไม่รู้สึกเป็นการร้องเพลง การร้องเพลงของผมคือการเล่าเรื่อง เช่น เพลงนี้น่าจะเปลี่ยนคอร์ด เลือกโน้ตนี้มาร้องแทน แต่ยังคงความเป็นเพลงเดิมอยู่ แอดติจูดการร้อง ทัศนคติต้องเป็นตัวเรา คนฟังจะรู้สึกได้เลยว่าเพลงนี้ถูกตีความใหม่แล้ว

ผมรู้สึกว่าเป็นอีกขยักนึงที่ทำหน้าที่ 2 อัน เราหยิบเรื่องราวประสบการณ์ของเรามาเล่าเรื่องใหม่ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น หรือหยิบประสบการณ์กลั่นกรองตีความใหม่ในมุมมองของเรา ใส่ตัวเราไปเต็มๆ ไม่ว่าจะเพลงไหนก็ตาม เรื่องระยะเวลา ช่วงแรกจะใช้เวลานานหน่อยเพราะเรายังไม่เก่ง แต่ตอนนี้เราไม่เด็กแล้ว ทำงานมาปีที่ 30 แล้ว มีความถนัดพอสมควร ใช้เวลาน้อยลงเยอะ เพลงนึงไม่เกิน 1 อาทิตย์ก็ควรจะเสร็จแล้วครับ”

เมื่อถามว่า ระหว่างเพลงกระแส เนื้อหาหวือหวา กับเพลงที่ฟังได้เรื่อยๆ เนื้อหาดีมีความหมาย เห็นข้อแตกต่างหรือข้อดีข้อเสียอย่างไร นักแต่งเพลงหนุ่มตอบว่า “ผมเคยตอบคำถามนี้กับตัวเองบ่อยมากเลยครับว่าเราจะผลิตเพลงรูปแบบไหนครับ ถ้าเราผลิตเพลงเพื่อให้เกิดความฮิต มันจะใช้สมองอีกแบบนึง หรือถ้าเราผลิตเพลงเพื่อให้เติบโต เชื่อมโยงหัวใจผู้ฟัง จะใช้สมองอีกแบบนึง ผมเลือกแบบที่ 2 ผมว่ามันท้าทายว่าเพลงเรานี่จะอยู่บนโลกเป็นพันๆ ปี แต่ละเพลงที่เราทำออกมามันน่าจะส่งต่ออะไรบางอย่างให้คนในโลกได้บ้างครับ

ผมอยากให้เพลงมันเยียวยาหัวใจคนได้ ถ้าผมมีโอกาสร่วมการผลิต ผมจะขออนุญาตเจ้าของเพลงทุกคนว่าอย่าลืมโจทย์ข้อนี้ เพลงที่ทำต้องคอนเน็กกับคนฟัง ขอแค่เชื่อมโยงกับใครสักคนได้ เติบโตและกลายเป็นพลังชีวิตให้คนคนนั้น ทำให้โลกเดินต่อไปได้ แต่ถ้าไม่มีจุดเชื่อม แรงบันดาลใจ ผมว่าอันนั้นยากกว่านะ ผมทำไม่เป็น รู้สึกกระดากตัวเองครับ มันคนละแนวทางกัน ตอนนี้กำลังศึกษาค้นคว้าหาวิธีการแต่งเพลงยังไงให้เยียวยาคนบนโลกนี้ให้อยู่อย่างมีความสุข ไม่กระทบกระทั่งกันมากที่สุดครับ”

การเปลี่ยนแปลงเกือบ 30 ปี

เมื่อถามว่า มองวงการบันเทิงที่อยู่มาเกือบ 30 ปีอย่างไรบ้าง นักร้องนักแต่งเพลงหนุ่มบอกว่า “โอ้โห มันเปลี่ยนแปลงไปเยอะมากเลยครับ ตั้งแต่เริ่มต้นเมื่อ 29 ปีที่แล้ว มีความหวังขึ้นเยอะเลย คนเก่งๆ ในวงการเยอะมาก อย่างน้องลิซ่า Blackpink ผมรู้สึกว่าเขาทำความฝันให้พวกเราเห็นว่าเขาไปเวทีระดับโลกได้ ตอนแรกมีน้องทาทา พี่เบิร์ด แต่ลิซ่าไปได้ไกลกว่าพวกเราเยอะเลย ผมรู้สึกว่ายังมีความหวังอีกเยอะ

วงการอื่นก็เติบโตขึ้น ไม่ว่าจะภาพยนตร์ ซีรีส์ ผมอยากเห็นมันเชื่อมโยงมากขึ้น อยากให้คนทำหนังเลือกคนทำเพลงไปทำงานเพลงประกอบให้มันดีๆ หรือคนทำเพลงโฆษณาเลือกคนทำเพลงไปทำให้มันเต็มที่เลย มันจะทำให้หมุนเวียนแบบยกระดับทั้งวงการ พูดง่ายๆ คือวงการสื่อทั้งหมดต้องยกระดับทั้งเพลง รูปลักษณ์ สีสัน ศิลปะ ดีไซน์ แต่จะสังเกตได้ว่าเพลงที่เอาไปประกอบค่อนข้างดร็อป ไม่ค่อยมีงบเหลือถึงพวกเราสักเท่าไร เพราะเอาเงินไปทำภาพ จ้างนักแสดง เหลือเงินทำเพลงประกอบ 3,000 บาท ผมว่ามันยังไม่กลมพอ

เรามีหน่วยงานของรัฐเชื่อมโยงตรงนี้มากขึ้น เช่น TCDC ที่ดูแลด้านครีเอทีฟของบ้านเรา เวลาผลิตสื่อมันต้องดีรอบด้าน สังเกตเวลาดูซีรีส์เกาหลี เพลงเบื้องหลังเขาเป็นออร์เคสตรา คุณจะไม่รู้สึกหรอกตอนที่ดู แต่จะสัมผัสได้ว่าเขาจัดเต็ม สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังนั่นคือความใส่ใจของเขา มีความประณีต

ผมอยากเห็น 30 ปีถัดไปจากนี้ วงการสื่อ หรือคนผลิตสื่อ อย่าลืมมิติเสียงแสง ความลึกของคอนเทนต์ ความเจ๋งของเนื้อหา มันต้องใช้งบครับ สมมติจะเล่าเรื่องเกษตรกร จะเล่ายังไงให้สนุก อยากให้เด็กเป็นเกษตรกร มันไม่มีคนทำสื่อแบบนี้ออกมา คนเลยเป็นนักร้องหมด เพราะรู้สึกว่าเท่ แต่จริงๆ เกษตรกรเท่กว่าหลายสิบเท่าเลย แต่ไม่มีคนทำสื่อให้เกษตรกร”

เมื่อให้รีวิวชีวิตในวงการเพลงเกือบ 30 ปี นภบอกว่า “ผมคิดว่าน่าจะไม่มี F ครับ ไม่ตกสักวิชา แต่ไม่ได้ดีเด่นอะไรมาก จุดเด่นก็คือเพลงที่เป็น Positive จริงๆ ค่อนข้างให้กำลังใจคนได้ เป็นมุมที่ผมรู้สึกว่าเออแฮะ ผ่านมา 30 ปี เราน่าจะไปทางนี้ดีกว่า เราเปลี่ยนทิศทางการทำงานให้ชัดเจนเลยว่าจะทำเพลงให้พลังงานบวกในโลกนี้ให้ได้ ทำยังไงให้คนฟังสบายใจ มีเราเป็นเพื่อน เป็นที่พึ่งได้ จะได้มีแรงต่อสู้กับโลกที่โหดร้ายขึ้นทุกวันต่อไปได้ ไม่จำกัดเฉพาะแค่คนไทย คนต่างชาติฟังเพลงเราได้หมด”

นภเล่าต่อถึงอีกความฝันที่อยากทำเกี่ยวกับเพลงว่า “อีก 20 ปีจากนี้อยากทำเพลงเพื่อให้คนทั้งโลกมีสันติภาพในการอยู่ร่วมกันครับ ผมและพี่บอย โกสิยพงษ์ จะเริ่มทำโปรเจกต์นี้ด้วยกัน คือทำเพลงเยียวยาคนทั้งโลกนี้ให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข คือเป็นเพลงปกตินี่แหละครับ แต่มันจะต้องมีอะไรบางอย่างที่ฟังแล้วมีความสุขสบายใจ เพราะด้วยครับ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : World Artists Thailand, อินสตาแกรม @nopnobody, อินเทอร์เน็ต
กราฟิก : Varanya Phae-araya

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2236614
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2236614