ทำความรู้จัก เบล วริศรา เจ้าของเพลง "เอาปากกามาวง" กับความสำเร็จก้าวแรก


ให้คะแนน


แชร์

เรียกว่าเป็นหนึ่งในเพลงที่มาแรงที่สุดในเวลานี้ สำหรับเพลง “เอาปากกามาวง” ที่ร้องโดยนักร้องสาวหน้าใส เบล วริศรา จิตปรีดาสกุล ศิลปินหน้าใหม่จากค่าย Home Run Music ภายใต้การบริหารของ ติ๊ก กฤษติกร พรสาธิต หรือ ติ๊ก Playground แม้จะเป็นค่ายเพลงใหม่และศิลปินใหม่ แต่ฝีไม้ลายมือเรียกว่าเข้าตาจนน่าจับตามองทีเดียว

บันเทิงไทยรัฐออนไลน์จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ เบล วริศรา กับมุมชีวิตตั้งแต่วันแรกที่เริ่มรักการร้องเพลง จนฟอร์มวงดนตรีไปประกวดบนเวทีรายการดัง ฮอตเวฟ มิวสิก อวอร์ด ก่อนจะกลายเป็นยูทูบเบอร์สาว ร้องเพลงคัฟเวอร์ และตัดสินใจส่งคลิปออดิชันกับค่ายเพลง Home Run Music จนได้เป็นศิลปินในที่สุด

ชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก

เราถาม เบล วริศรา ว่าเริ่มชอบร้องเพลงตั้งแต่เมื่อไร นักร้องสาวนั่งนึกอยู่แวบหนึ่งก่อนตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงสดใสว่า “ถ้าเอาตอนเริ่มร้องเพลงเลยน่าจะประถมแบบเรียนร้องเพลงจริงจัง พอขึ้นมัธยมก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เราชอบ แต่ก็เรียนหนังสือมาโดยตลอด ไม่ได้พุ่งไปทางนั้นขนาดนั้น จนมีโอกาสได้ประกวดฮอตเวฟและไปจนถึงรอบสุดท้าย ก็เลยรู้สึกว่าเราทำสิ่งนี้แล้วท้าทายตัวเอง มีความสุขที่ได้ทำสิ่งนี้นะ ก็เลยโอเคทำต่อ พอขึ้นมหาวิทยาลัยก็เปิดช่องยูทูบและร้องเพลงคัฟเวอร์ ก็คัฟเวอร์อยู่ประมาณปีนึงและตัดสินใจว่าเราเข้าค่ายดีกว่า เบลก็เลยส่งคลิปมาที่ค่าย Home Run Music แล้วก็ได้เป็นศิลปินค่ะ”

ถามว่าชอบร้องเพลงแนวไหน เบลบอกว่า “ชอบร้องเพลงแนวป๊อปร็อกปกติค่ะ ศิลปินที่ชอบจะมีเพลงของพี่อิ้งค์ วรันทร พี่ส้ม มารี พี่เอิ๊ต ภัทรวี แต่ถ้าเป็นแนวเพลงที่ชอบฟังเป็นแนวอินดี้ค่ะ แต่ถ้าร้องจะชอบป๊อปร็อกมากกว่า” ก่อนจะเล่าอีกว่าคุณแม่เห็นว่าชอบร้องเพลง จึงสนับสนุนด้วยการให้เรียนร้องเพลงตั้งแต่ตอนเรียนประถมปลายในช่วงอายุ 11-12 ปี

ส่วนจุดเริ่มต้นการประกวดเวทีฮอตเวฟ มิวสิก อวอร์ด นักร้องสาวเล่าว่ามีวงดนตรีที่โรงเรียนชื่อ “ไก่ไข่” ซึ่งส่วนมากแค่เล่นในงานโรงเรียน พอถึงจุดนึง เบลคิดว่าเด็กนักเรียนมัธยมที่มีวง ความฝันก็คือการที่ได้ประกวดวงดนตรีสักรายการนึง ซึ่งฮอตเวฟเป็นเวทีประกวดดนตรีมัธยมที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงมากๆ ทำให้ฝันว่าถ้าวันนึงเราได้ไปยืนอยู่บนเวทีนั้น มันน่าจะประสบความสำเร็จในจุดนั้นในช่วงชีวิตนั้น ก็เลยส่งประกวดไปเลย ตอนนั้นก็ยังไม่ได้เก่งอะไร เป็นวงดนตรีหญิงล้วน มีคาแรกเตอร์ระดับนึง ก็ลองผิดลองถูก

“ปีแรกไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร ก็เลยสมัครปีที่ 2 คือการประกวดในปี 2019 แล้วเข้าไปถึงรอบไฟนอลและได้รางวัล “วงดนตรีสุดซี้ด” ช่วงนั้นก็ชาเลนจ์ตัวเองมากๆ เหนื่อยมาก เป็นช่วงที่จะจบ ม.6 เข้ามหาวิทยาลัย ถามว่าเหนื่อยแค่ไหน ตอนนั้นรู้สึกว่าเหนื่อยมาก พอซ้อมวงเสร็จตอนเย็นหลังเลิกเรียน แล้วโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยเป็นโรงเรียนหญิงล้วนและเป็นโรงเรียนประจำ ซ้อมเสร็จก็กลับไปอ่านหนังสือแป๊บนึง แล้วกลับมาซ้อมดนตรีอีกแล้วนอน ตื่นเช้ามาแล้วเรียน ซ้อมดนตรี อ่านหนังสือ นอน ทำอย่างนี้ทุกวัน ก็รู้สึกว่ามันเหนื่อย เรารู้ว่าเราเลือกทางนี้มาแล้ว มันก็ต้องทำให้สุดค่ะ”

เมื่อถามว่าการประกวดทำให้อยากเป็นนักร้องมากขึ้นมั้ย เบลตอบว่า “เอาจริงๆ เบลไม่ได้มองว่าตัวเองจะต้องเป็นนักร้อง แต่ถ้าโอกาสเข้ามาเราก็อยากจะลองกับมัน แต่มองว่าอยากเป็นนักร้องมั้ย เรารู้สึกว่าคำว่านักร้องสำหรับเบลมันดูไกล รู้สึกว่าเราจะทำได้จริงๆ เหรอ แค่รู้สึกว่าเป็นเด็กที่ชอบร้องเพลงเฉยๆ แต่พอได้ยืนบนเวทีก็มีความหวังมากขึ้นว่าเออ…การเป็นนักร้องมันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น มันอาจเป็นไปได้ก็ได้ ตอนนั้นคิดแค่ว่าอยากเปิดช่องยูทูบเฉยๆ แต่พอร้องเพลงไปเรื่อยๆ ก็เลยรู้สึกว่า เฮ้ย ร้องเพลงแบบนี้ไปเรื่อยๆ มันยังไม่ได้ชาเลนจ์ตัวเองอะไรเลย ก็เลยโอเคงั้นเข้าค่ายแล้วกัน เบลอยากจะเป็นนักร้องแล้วจริงๆ”

ออดิชันเข้าค่าย

จากนั้นเบลเล่าถึงการส่งคลิปไปออดิชันเข้าค่าย Home Run Music ซึ่งบริหารงานโดย ติ๊ก Playground ว่า “ตอนนั้นร้องเพลง “เดี๋ยวคงหายดี” ค่ะ เพราะกติกาเขาคือส่งเพลงคัฟเวอร์ที่เป็นเพลงในค่ายเขาไปส่งประกวด คือเขามีเพลงอยู่แล้ว เป็นเพลงของพี่แทน (RUBYTAN) หลังจากนั้นประมาณเดือนกว่าๆ ก็ได้รับการติดต่อมาว่าได้เป็นศิลปิน ตอนนั้นเบลส่งปุ๊บแล้วเขาเลือก ประกาศผลค่อนข้างไว

ตอนที่เขาติดต่อกลับมาว่าจะได้เป็นศิลปินในค่าย และต้องเซ็นสัญญาเป็นระยะเวลา 3 ปี ความรู้สึกคือแฮปปี้ ดีใจมาก เรารู้สึกว่าจะได้ทำในสิ่งที่เราอยากลอง อยากทำเพลงจริงๆ จังๆ สักเพลง อยากมีเอ็มวีเป็นของตัวเอง อยากลองขึ้นเวทีที่มีโอกาสได้เจอแฟนคลับ เพราะเราร้องเพลงในยูทูบก็ไม่รู้ว่าจะได้ขึ้นเวทีที่ไหนดี เพราะว่าอยู่แค่ในออนไลน์ ตอนที่ร้องเพลงในยูทูบมีแต่งเพลง 2 เพลง ชื่อเพลง “ฝันทั้งวัน” และ “ไม่ดีไม่เอา” ส่วนแนวเพลงเอาจริงก็คือร้องไปเรื่อยเลยว่าช่วงนั้นชอบเพลงอะไร มีคนรีเควสต์เพลงอะไรก็เลือกแล้วร้องลงช่องยูทูบ ก็จะเป็นหลายๆ แนว

ฟีดแบ็กก็เรื่อยๆ มีขึ้นบ้างลงบ้างเหมือนช่องยูทูบอื่นๆ ทำในพื้นฐานตรงที่เราแฮปปี้ที่เราจะทำตรงนั้น ซึ่งตอนที่เราทำยูทูบก็มีหลายคนที่เขาไดเร็กบอกว่าพี่เบลลองไปอยู่ค่ายมั้ย ไม่สนใจอยู่ค่ายเหรอ แต่ตอนนั้นด้วยความที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยเลยยังมีความยุ่งๆ กับการเรียนอยู่ ก็เลยยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะต้องเข้าค่ายนะ อยากให้การเรียนตอนเริ่มเข้ามหาวิทยาลัยมันคงที่ก่อน พอมันคงที่แล้วเราก็เลยตัดสินใจเข้าค่ายสักค่ายนึงดีกว่า”

เบลเล่าว่าหลังจากที่เข้าค่าย Home Run ก็ใช้เวลา 2-3 เดือนก่อนจะได้ออกซิงเกิลแรก ซึ่งค่อนข้างเร็ว โดยก่อนหน้าออกอัลบั้มก็ไม่ได้ฝึกร้องเพลงอะไรเพิ่มเติม เมื่อถามถึงการร่วมงานในค่ายว่าเป็นยังไงบ้าง นักร้องสาวบอกว่า “ตอนแรกก็รู้สึกว่าเราจะเข้ากับพี่ๆ ที่ค่ายได้มั้ย คือด้วยความที่เขาโตกว่าเบล เบลก็จะรู้สึกว่าเกรงใจ กลัวไปทำให้ในค่ายอึดอัดรึเปล่า แต่พอเข้าไปคือทุกคนนิสัยเข้ากันได้ดีมากๆ เวลาไปซ้อมเพลงด้วยกันรู้สึกแฮปปี้เฮฮาดีมากๆ สนุกมากๆ พี่ติ๊กก็น่ารักด้วยค่ะ เพราะพี่ติ๊กค่อนข้างคิดบวก เป็นคนไนซ์ จะชมว่าดีครับน้องเบล ทำให้เรารู้สึกได้รับพลังบวกเวลาที่อยู่ในค่าย เป็นบรรยากาศที่ดีมากๆ ค่ะ

ถามว่าตอนแรกที่เจอพี่ติ๊กแล้วเกร็งมั้ย เบลบอกว่า “ก็รู้สึกว่าเราน่าจะทำงานได้ ไม่อึดอัด เพราะพี่ติ๊กต้อนรับเราดีมาก เป็นคนใช้คำพูดน่ารัก ค่อนข้างเป็นกันเอง เลยรู้สึกว่าเราน่าจะทำงานได้มีความสุขในค่ายนี้ ถามว่าพี่ติ๊กมีแนะนำอะไรมั้ย แนะนำเยอะเลยค่ะ เบลเคยไปออกงานอีเวนต์บ้าง พี่ติ๊กก็จะดูฟีดแบ็กแล้วบอกว่าตรงนี้เราสามารถที่จะปรับได้ ตรงไหนที่ดีก็เก็บเอาไว้ ตรงนี้ดีแล้วแต่ปรับอีกนิดนึงจะดีมาก อย่างตอนที่อัดเสียง พี่ติ๊กจะบอกว่าสามารถปรับได้นะ ทำให้ตรงนั้นมันออกมาดีขึ้น เหมือนได้พัฒนาตัวเองจากคำติชมของพี่ติ๊กเยอะเหมือนกันค่ะ”

เอาปากกามาวง

จากนั้นเบลเล่าถึงการทำเพลง “เอาปากกามาวง” ซิงเกิลแรกของตัวเองกับค่าย Home Run Music ไว้ว่า “ก็เป็นซิงเกิลแรกของเบลที่ทำกับค่าย Home Run ที่จริงแล้วไอเดียนี้มาจากแคปชั่นที่คนชอบใช้กันว่าไม่เหมือนตรงไหนเอาปากกามาวง แล้วพี่ติ๊กไปเจอมาก็รู้สึกว่ามันแมตช์กับคาแรกเตอร์ของเบลที่ดูซนๆ ดูมีอะไรให้เล่น พี่ติ๊กเลยจับมาทำและออกมาเป็นเพลงนี้ เนื้อหาก็จะแนวๆ เหมือนเรามีคนคุยมีแฟน แล้วเราก็ถามเขาว่าคบมาสักพักแล้ว แต่เราไม่รู้ว่าเขาชอบเราตรงไหน ก็เลยถามเขาแล้วบอกให้เอาปากกามาวง ตอนที่ร้องก็ไม่ได้ยากค่ะ เป็นตัวเองสุดๆ เบลเป็นศิลปินคนที่ 4 ของค่าย เป็นน้องเล็กของค่ายค่ะ”

จากนั้นเบลเล่าถึงมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ว่า ธีมเรื่องที่เห็นในเอ็มวีก็คือห้องสืบสวน เราก็ยื่นแบบสอบถามไปให้แฟน แล้วถามเขาว่าชอบเราตรงไหนแล้วยื่นปากกาให้ บอกให้เอาปากกามาวง จะมีโมเมนต์กุ๊กกิ๊ก แต่อยากให้ไปดูในเอ็มวีว่าจบแบบไหน ในส่วนท่าเต้น เบลบอกว่ามีคนคิดมาให้และเอามาปรับท่าอีกทีตอนถ่ายมิวสิกวิดีโอ เพราะบางท่าเต้นแล้วรู้สึกว่าไม่เข้ากับตัวเอง “คือท่ามันลงกับทุกคำ เอาจริงๆ วันที่ถ่ายเอ็มวีเต้นไม่ถูก เพราะมันแก้หน้างานในตอนนั้น ถ้าไปดูจริงๆ ก็คือเต้นกับพระเอกเอ็มวีไม่พร้อมกัน แต่ตอนนี้คือคล่องแล้ว”

ถามว่าภาพรวมพอใจแค่ไหน เบลบอกว่า “โห พอใจมากเลยค่ะ เอาจริงๆ คือมันมีเพลงก่อนหน้านี้ที่พี่ติ๊กแต่งเป็นสตอรี่ของเบล คือเบลเอาสตอรี่ไปแชร์ให้พี่ติ๊กฟัง พี่ติ๊กก็แต่งออกมาเป็นเพลงนึงแล้ว แต่พอพี่ติ๊กไปเจอแคปชั่นนี้ แล้วพี่ติ๊กก็ลองเอามาเขียน เบลก็เทใจให้กับเพลงเอาปากกามาวงไปก่อนเลย เพราะรู้สึกว่าฟังแล้วมันควรจะเป็นเพลงเปิดมากกว่า ภาพรวมที่ถ่ายเอ็มวี เอาเพลงมารวมกันแล้วรู้สึกว่ามันน่ารักสดใส ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ที่เรามองว่ามันน่าจะเป็นแบบนี้ น่าจะเหมาะกับเรา ดูเป็นเรา เพราะเวลาเราจะถ่ายทอดผลงานอะไรก็อยากให้มีกลิ่นอายความเป็นเรา ซึ่งเพลงนี้ค่อนข้างที่จะเป็นเบลสูงมากๆ ค่ะ”

ฟีดแบ็กที่เกินคาด

เมื่อถามถึงฟีดแบ็กของเพลงนี้ที่หลังจากปล่อยเพลงไปไม่ทันไรก็ขึ้นอันดับ 1 ชาร์ตเพลงหลายที่ และมีโอกาสไปร้องตามงานและรายการต่างๆ เบลบอกว่า “ต้องขอบคุณทุกคนมากๆ จริงๆ มันเกินความคาดหมายไปมากเลย รู้สึกตื่นมาแล้วเหมือนฝันทุกวัน ขอบคุณทุกคนมากจริงๆ ที่ซัพพอร์ต สำหรับเบลแค่มีคนชอบ เสพผลงานแล้วมีฟีดแบ็กที่ดีกลับมา แค่นั้นก็รู้สึกแฮปปี้แล้ว ก็ได้รับพลังบวกล้นหลามมาก”

ส่วนยอดวิวในยูทูบตอนนี้พุ่งไป 18 ล้านวิวแล้ว (ณ วันที่ 20 ม.ค. 2565) หลังจากปล่อยเพลงมาตั้งแต่ 18 พ.ย. 2564 เรียกว่าไม่ธรรมดาสำหรับศิลปินหน้าใหม่ เบลบอกว่า “รู้สึกแฮปปี้มากๆ เราไม่ได้คาดหวังว่าจะพุ่งเร็วพุ่งแรงขนาดนี้ แต่ก็รู้สึกดีใจ ปลื้มปริ่มมากๆ มันมีกำลังใจที่จะทำต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ”

นอกจากนี้ชาวโซเชียลรวมถึงดาราดังๆ นำเพลงนี้เต้นคัฟเวอร์ชาเลนจ์ในแอป TikTok เป็นจำนวนมาก จนมียอดวิวรวมกันพุ่งสูงหลายสิบล้านวิว ซึ่งเบลเผยว่า “คนเอาไปเต้นเยอะมากค่ะ เบลตั้งใจให้เพลงนี้มีท่าเต้น เพราะรู้สึกว่าเป็นจังหวะที่เต้นได้ ก็เลยคิดท่าเต้นแล้วก็ทำให้มันเป็นชาเลนจ์ คนก็เข้ามาเล่นเยอะมาก ก็ดีใจมาก ตื้นตันมาก แค่มีคนเต้นก็รู้สึกว่ามีคนเล่นด้วยแล้ว แต่นี่คือคนเล่นด้วยเยอะมากก็แฮปปี้มากๆ มีคนดังๆ นักร้องที่เราชื่นชอบเอาเพลงนี้ไปเล่นก็ดีใจมากๆ เกินความคาดหมายที่เรามองไว้ไปไกล”

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแฟนคลับที่นำคลิปเต้นของเบลไปเปิดให้ โดยอง NCT ศิลปินเกาหลีชื่อดัง เต้นดูอีกด้วย ซึ่งเบลเผยความรู้สึกว่า “เห็นแล้วค่ะ เบลกรี๊ดจนนิติฯ เกือบขึ้นมาด่า (หัวเราะ) ตื่นเต้นมาก เราชอบผลงานเขา ติดตามในระดับนึง มันเหมือนคอมพลีตชีวิตติ่งเล็กๆ” ส่วนดาราดังๆ ในเมืองไทยที่นำไปเต้นคัฟเวอร์ เบลบอกว่า “ตอนที่รู้ก็ตกใจมาก เพราะตอนแรกเพื่อนที่เป็นอินฟลู ดาว TikTok เราก็บอกว่า เฮ้ย เต้นให้หน่อยสิ แต่มันก็รันไปเอง ก็รู้สึกว่ามันสำเร็จมากกว่าที่คิด”

กับคำถามว่าความสำเร็จตั้งแต่เพลงแรกทำให้การปล่อยเพลงต่อไปมีกดดันหรือไม่ นักร้องสาวบอกว่า “เอาจริงๆ ไม่ได้มองว่าเพลงหน้าถ้าไม่ได้ดังเท่าเอาปากกามาวง ก็ไม่ได้รู้สึกน้อยใจหรือเสียใจอะไร เพราะเพลงนี้เบลก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะพุ่งเร็วขนาดนี้ เพลงต่อไปเบลก็ยังมีความคิดเหมือนเดิมว่าไม่ได้คาดหวังให้มันดังมากๆ นะ สิ่งที่เรารู้สึกว่าสำเร็จคือมีคนชอบ มีฟีดแบ็กที่ดีกลับมา มันคือสิ่งที่เบลรู้สึกว่าแค่นี้พอแล้ว แต่ถ้าสมมติว่าดังแบบนั้นอีกก็ดีใจมากๆ ค่ะ ตอนนี้ก็แฮปปี้นะคะ เบลว่าก็สำเร็จมากๆ กับเพลงแรก ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับเบลค่ะ”

ถามว่าชีวิตเปลี่ยนไปเยอะแค่ไหน เบลบอกว่า “เอาจริงอาจจะเพราะไม่ได้ออกไปข้างนอกเยอะด้วย ก็เลยไม่ค่อยได้เจอคน ก็เลยไม่ค่อยได้รับรู้ความรู้สึกภายนอกห้องนอนเท่าไร แต่ว่าถ้าในทางออนไลน์ก็รู้สึกว่าค่อนข้างเปลี่ยนไปเยอะมากๆ เพราะว่าคนเข้าหาเราเยอะขึ้น คนรู้จักเราเยอะขึ้น ก็จะได้กำลังใจเยอะขึ้น หนูรู้สึกว่าแต่ละวันมันมีพลังที่จะไปทำอะไรอย่างอื่นมากขึ้น เพราะบางทีเมื่อก่อนเราทำเพลงคัฟเวอร์ในยูทูบไปเรื่อยๆ บางทีมีแอบขี้เกียจบ้าง

แต่พอได้รับคอมเมนต์เยอะๆ ซึ่งเบลเป็นคนชอบอ่านคอมเมนต์มากๆ พอเราได้รับพลังบวก มันทำให้รู้สึกว่าอยากทำต่อ อยากรีบปล่อยผลงานอีกครั้ง เพื่อคนจะได้เสพความสุขจากเราค่ะ ส่วนฟอลโลเวอร์ไอจีตอนแรกอยู่ที่ 1.4 แสน ตอนนี้น่าจะ 1.8 แสน ตอนแรกเบลเป็นอินฟลูเอนเซอร์และคัฟเวอร์เพลงด้วย เคยประกวดฮอตเวฟด้วย ก็พอมีฐานแฟนคลับในระดับนึง พอมีแฟนเพลงเพิ่มขึ้นก็เลยมีคนติดตามมากกว่าเดิมค่ะ”

ศิลปินยุคโควิด

แม้จะเริ่มประสบความสำเร็จตั้งแต่ก้าวแรกเป็นศิลปิน แต่เบลยืนยันว่าจะต้องพัฒนาตัวเองต่อไป “เบลว่ายังไงก็จะต้องมีสิ่งที่พัฒนาขึ้น เอาจริงๆ เราก็ยังไม่ได้เก่งมากๆ เราแค่ร้องเพลงเป็น ชอบร้องเพลง เราแค่มีคาแรกเตอร์ที่เรายึดว่าคือคาแรกเตอร์ของเรา เป็นสิ่งที่เราเป็น แต่ว่าในเรื่องการแสดง Performance ในการโชว์ เสียงที่มันแข็งแรงได้มากกว่านี้ เราก็ค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ เพราะเราก็รู้สึกว่าเรายังไม่ได้เก่งขนาดนั้น พัฒนาขึ้นได้อีก ถ้าอะไรที่ปรับได้ก็จะค่อยๆ ปรับไปเรื่อยๆ จะไม่ค่อยกดดันตัวเองเท่าไร ทำให้มันอยู่ในพื้นฐานที่ไม่เหนื่อยเกินไปและมีความสุขที่จะทำ ไม่งั้นถ้าสมมติเหนื่อยเกินไป เบลจะเป็นคนที่ไม่ทำเลยค่ะ”

เมื่อถามถึงการเป็นศิลปินยุคโควิดที่งานต่างๆ โดยเฉพาะงานคอนเสิร์ตที่อาจจะน้อย อีกทั้งยังมีศิลปินวัยรุ่นที่ร้องเพลงสไตล์เดียวกันเยอะ ซึ่งเบลไม่กดดันกับสิ่งเหล่านี้ แต่ยอมรับว่าเสียดายที่ไม่ค่อยได้เจอแฟนๆ และทัวร์คอนเสิร์ต “ไม่กดดันค่ะ เราไม่ได้มองว่าจะมีคู่แข่ง เราปล่อยเพลงในส่วนของเรา เราแฮปปี้ที่จะปล่อยในสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข แล้วเราก็แชร์สิ่งนั้นเฉยๆ นี่คือมุมมองเวลาทำงานค่ะ ส่วนเรื่องรายได้จากคอนเสิร์ตน้อย โอกาสเจอแฟนเพลงน้อยเพราะโควิด เอาจริงๆ ก็แอบเสียดายนะคะ เพราะในช่วงนี้มันน่าจะได้เจอแฟนคลับ ออกไปทัวร์ แต่เพราะโควิดทำให้ไม่สามารถออกไปไหนหรือจัดคอนเสิร์ต ไปตามงานอีเวนต์ ไม่เชิงเสียใจแต่เสียดายมากกว่า”

เบลบอกว่าถ้ายังมีโอกาสในการทำงานศิลปินก็จะทำเรื่อยๆ ยังไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าสมมติไม่ร้องเพลงจะทำอะไร ถ้าทำแล้วยังแฮปปี้ ไม่ได้รู้สึกว่ากดดันตัวเองหรือท้อก็ทำไปเรื่อยๆ ส่วนผลงานเร็วๆ นี้ เบลบอกว่าซิงเกิลที่ 2 น่าจะได้ฟังในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค. ถ้าทำทันก็น่าจะเป็นช่วงปลายเดือน ก.พ. แต่ถ้าไม่ทันจริงๆ ก็จะได้ฟังในเดือน มี.ค. 2565

ถามว่ามีมองไปทำงานอย่างอื่นบ้างมั้ย เบลบอกว่า “มีค่ะ เอาจริงๆ เบลชอบแสดงด้วย เพราะเบลเคยมีผลงานการแสดงเรื่อง “DEEP โปรเจกต์ลับ หลับ เป็น ตาย” แล้วก็กำลังจะมีซีรีส์อีกเรื่องนึง เป็นนักแสดงสมทบค่ะ ก็รู้สึกว่าตอนเล่นหนังก็สนุก ทำแล้วแฮปปี้ แต่ถ้าไม่เล่นหนังหรือร้องเพลง พื้นฐานเบลคืออินฟลูเอนเซอร์มาเรื่อยๆ ก่อนเข้าค่าย ก็รู้สึกว่าถ้าเราไม่ได้ร้องเพลงก็คงเป็นอินฟลูฯ ไปเรื่อยๆ ก่อน ถ้าวันนึงไม่ได้เป็นเบื้องหน้าแล้วก็อยากจะลองทำงานเบื้องหลังดูค่ะ แต่หลักๆ ชอบร้องเพลงมากกว่า เพราะรู้สึกว่าทำได้เรื่อยๆ ไม่ได้ฝืนตัวเอง แต่ถ้ามีงานแสดงติดต่อมาก็ยินดีที่จะทำค่ะ”

บาลานซ์ชีวิต

กับการถูกจับตามองในฐานะศิลปินใหม่ที่มีเพลงดังตั้งแต่ซิงเกิลแรก นักร้องสาวยอมรับว่ากดดันระดับหนึ่ง ไม่ถึงกับกดดันมาก รู้สึกว่าจะต้องวางตัวให้ดี เวลาทำอะไรก็ต้องคิดก่อนมากขึ้น ต้องระมัดระวังตัวเองมากขึ้น เป็นแบบอย่างที่ดีมากขึ้น ถามว่าแบ่งเวลายังไง ทั้งเรื่องงานและเรื่องเรียนที่วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปี 2 เบลบอกว่ายากตรงแบ่งเวลา เพราะว่าบางทีงานก็ชนกับคลาสเรียน ช่วงสอบก็จำเป็นที่จะต้องไม่รับงาน แต่ถ้าคาบไหนที่พอจะย้อนเรียนได้ก็จะมาทำงานก่อน

แต่อีก 2 ปีหลังการเรียนเริ่มหนัก ไหนจะต้องทำงาน ถามว่ากังวลมั้ย เบลตอบว่า “เอาจริงๆ ก็แอบกังวลเหมือนกัน แต่คิดว่าถ้าสมมติไม่จบพร้อมเพื่อนก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจบพร้อมเพื่อน ก็คิดว่าน่าจะเป็นไปได้อยู่เพราะว่าเอกที่เบลเรียนไม่ได้เรียนยากหรือแน่นขนาดนั้น มันยังพอยืดหยุ่นให้ทำอะไรได้บ้างค่ะ ส่วนที่บ้านเอาจริงๆ ก็ไม่ได้กดดันอะไรเรื่องเรียนนะคะ แต่เขาจะเป็นห่วงว่าช่วงนี้เรียนด้วย ทำงานด้วย เหนื่อยเกินไปมั้ย ลดปริมาณงานมั้ย เพราะเขาก็ไม่อยากให้กระทบเรื่องเรียนขนาดนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้องจบปีนี้นะ แต่ขอให้เราไม่เหนื่อยเกินไปกับ 2 อย่าง”

แต่ถึงแม้จะห่วงว่าการทำงานในฐานะศิลปินจะส่งผลกระทบกับการเรียน เบลบอกว่าพ่อแม่แฮปปี้มากๆ ที่เบลได้ออกซิงเกิลเป็นศิลปิน เปิดเพลงวนทั้งวัน ดูแฮปปี้และภูมิใจที่ลูกสาวประสบความสำเร็จ แฮปปี้ในสิ่งที่เราได้ทำ สนับสนุนมาตลอด วันแรกที่พ่อแม่รู้ว่าเบลจะได้เป็นศิลปินเขาก็เป็นห่วงในระดับหนึ่ง เพราะด้วยความที่ไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นนักร้อง เขาก็ถามว่าไหวใช่มั้ย จะไม่กดดันใช่มั้ย เราจะต้องโตขึ้นไปอีก เดี๋ยวเราจะเจอปัญหาแล้วรับได้ใช่มั้ย เขาก็ให้คำแนะนำ คอยเป็นที่ปรึกษา

พอถูกถามเรื่องความรักว่าตอนนี้สถานะยังโสดอยู่มั้ย เบลยิ้มเขินก่อนตอบว่า “ก็เรื่อยๆ ค่ะ หมายถึงว่าก็มีคนคุยเรื่อยๆ แต่คุยคนเดียวนะคะ ถามว่าคุยกันนานแค่ไหนแล้ว เอาจริงจำไม่ได้ ไม่ได้นับ (หัวเราะ) แต่ก็คุยมาสักพักแล้วค่ะ” เมื่อแซวว่าประทับใจเขาตรงไหน เอาปากกามาวงเหมือนชื่อเพลงของเบลหน่อย นักร้องสาวหัวเราะก่อนตอบว่า “เอาจริงๆ เบลก็ชอบนิสัย ส่วนมากไม่ค่อยมีสเปกหน้าตาตายตัวเท่าไร แต่แค่รู้สึกว่าถ้าเราชอบนิสัยคนนี้และอยู่กับคนนี้แล้วสบายใจ ไม่ว่าเขาจะหน้าตายังไงก็น่ารักสำหรับเราแล้ว ถ้าจะให้วงก็วงที่นิสัยค่ะ (หัวเราะเขิน)”

ถามว่าคุณพ่อคุณแม่ได้เจอรึยัง นักร้องสาวบอกว่ามีโอกาสได้เจอบ้าง คุณพ่อคุณแม่ก็โอเค เพราะเขาเพิ่งอนุญาตให้ลูกมีคนคุย เพิ่งคุยเรื่องความรักกับพ่อแม่เมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา เขาก็บอกว่าขอแค่คนที่คุยเป็นคนดีก็พอ ส่วนเบลก็มีโอกาสได้เจอครอบครัวเขาแล้วเช่นกัน บรรยากาศก็โอเค แต่อาจจะเพราะโควิดเลยยังไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร เมื่อให้ระบุสถานะว่าเป็นคนพิเศษหรือคนคุย เบลยิ้มเขินอีกก่อนจะตอบว่า “เรียกว่าคนคุยดีกว่า (หัวเราะ) ตอนนี้อยากโฟกัสเรื่องงานกับเรื่องเรียนมากกว่า อยากเรียนจบให้ทันเพื่อนค่ะ”

ปิดท้าย เบล วริศรา ฝากถึงแฟนๆ ที่ติดตามผลงานมาตั้งแต่การเป็นยูทูบเบอร์จนถึงเป็นศิลปินไว้ว่า “ก็ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่คอยซัพพอร์ต สนับสนุนสิ่งที่เบลทำ คอยให้กำลังใจ เพราะว่าทุกกำลังใจที่เบลส่งมาเบลรับรู้ได้หมดเลยจริงๆ เวลาใครคอมเมนต์หรือไดเร็กมา พอเบลได้อ่านก็รู้สึกมีกำลังใจจะไปทำอย่างอื่น มันได้รับพลังบวกจริงๆ

เราอยากให้พลังนี้ตอบแทนเขากลับเหมือนกัน และอยากให้อยู่ในครอบครัวเบล วริศรา ไปนานๆ หวังว่าเราจะได้เจอกันเร็วๆ นี้ ขอให้ทุกคนปลอดภัยจากโควิด มีความสุขมากๆ ขอให้เป็นปีที่ดีของทุกคนค่ะ ก็สามารถติดตามผลงานเบลได้ที่ยูทูบ Home Run Music และมียูทูบ Bell Warisara ไอจี @bellbeawww เฟซบุ๊ก Bell Warisara และฝากพี่ๆ อีก 3 คน พี่ RubyTan, พี่ CINCIN พี่ PUIMEK รวมถึงพี่ติ๊กด้วยนะคะ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : Home Run Music
กราฟิก : Varanya Phae-araya

ดูข่าวต้นฉบับ

ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2289468
ขอขอบคุณ : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2289468